โม่หันปฏิเสธความคิดของเธอทันทีและยังย้ำอีกว่าไม่มีทางปล่อยให้เธอทำอย่างนั้นเด็ดขาด ไม่ว่าจะดึกแค่ไหนเธอก็ต้องกลับมานอนที่บ้านทุกคืน เขาจะไปรับเธอกลับมาเอง
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยืนกรานปฏิเสธ เธอก็ไม่ดื้อแพ่งอีกและได้แต่ตั้งใจเรียนในตอนเช้าและกลับมาทำงานตอนกลางคืนให้น้อยลง
เธออดทนอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งเข้าสู่ช่วงสอบ หลังจากสอบข้อเขียนเสร็จเธอก็รู้สีกผ่อนคลายขึ้น ก่อนถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่และตั้งใจจะกลับไปกินข้าวที่บ้านเร็วๆ เสียหน่อย
แต่เมื่อก้าวออกมาด้านนอกก็พบจางหยางที่อยู่ในเครื่องแบบ เขายืนอยู่ด้านหน้าตึกเรียนและมองหันรีหันขวางไปทั่วให้คนมองสงสัยว่าเขาทำอะไรอยู่
เธอตะโกนเรียกเขา “คุณมาทำอะไรที่นี่”
จางหยางยิ้มเมื่อหันหน้ามาเจอเธอ “เฮ้ ไม่เจอกันนานเลยนะ”
เธอยิ้มตอบเช่นกัน “แล้วคุณมาทำอะไรที่มหาวิทยาลัยล่ะคะ มาทำคดีอีกแล้วเหรอ”
อีกฝ่ายส่ายหน้าและเลื่อนสายตาไปมองทางตึกเรียน “เปล่าหรอก เพื่อนร่วมงานของฉันแวะมาเอาบางอย่างให้แฟนของเขาน่ะ เดี๋ยวเขาก็ลงมาแล้วล่ะ”
เธอเอ่ย “ฉันคิดว่ามีคดีเกิดขึ้นที่นี่อีกแล้ว ถ้ามีจริงๆ มหาวิทยาลัยคงไม่ปลอดภัยแล้วล่ะ”
“เปล่าเสียหน่อย จะมีคดีใหญ่ขึ้นที่นี่อีกหลังจากเพิ่งเกิดขึ้นไปได้อย่างไร ช่วงนี้เรากำลังยุ่งอยู่กับการจับกุมเฉินเทียน หัวหน้ากลุ่มผู้มีอิทธิพลอยู่น่ะ”
เธอถามด้วยความสงสัย “เฉินเทียน ใครเหรอ”
“หัวหน้ากลุ่มผู้มีอิทธิพลชื่อดังในวงการใต้ดินน่ะ ในที่สุดเขาก็ถูกจับหลังจากลอยนวลมานาน เธอคงรู้จักเขาในชื่อยาพิษหมายเลขสามมากกว่าเฉินเทียนล่ะนะ”
ซย่าชิงอีนิ่งค้างไป รอยยิ้มค่อยๆ จางหายไปก่อนจะส่ายหน้า “ฉันไม่รู้จักเขา”
“เธอไม่รู้จักก็ไม่แปลกหรอก คนทั่วไปคงไม่รู้อะไรเกี่ยวกับวงการใต้ดินมากนักอยู่แล้ว”
เธอยิ้มออกมาบางๆ ก่อนจางหยางจะเอ่ยขึ้น “มันอาจจะดูแปลกๆ นะ เธอรู้หรือเปล่าว่าเมื่อหลายวันก่อนทนายโม่แวะไปที่สถานีตำรวจและยังขอเข้าไปคุยกับเขาอีกด้วยนะ”
เธออึ้งไป “พี่ไปที่สถานีตำรวจและคุยกับเขาเหรอ!”
อีกฝ่ายที่เห็นเธอตกใจเสียใหญ่โตกลับรู้สึกแปลกใจยิ่งกว่า “เขาไม่ได้ตั้งใจไปหานายน้อยสามหรอก เขามาส่งเอกสารให้หัวหน้าจางและเห็นพวกเรากำลังสอบปากคำเขาอยู่พอดี เลยขอเข้าพบกับนายน้อยสาม ตอนแรกฉันคิดว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับคดีความแต่เขาบอกว่าไม่ใช่ เลยคิดว่าเรื่องนี้มันทะแม่งๆ ไปหน่อย”
“พวกเขาคุยอะไรกันเหรอ”
“ฉันก็ไม่แน่ใจนะ พวกเขาคุยกันผ่านกระจกที่กั้นไว้ภายใต้การควบคุมของเจ้าหน้าที่ ตอนนั้นฉันถูกหัวหน้าเรียกไปพบพอดีน่ะ”
เธอก้มหน้าครุ่นคิด ดูเหมือนว่านายน้อยสามคงจะบอกทุกอย่างระหว่างเธอกับเขาในอดีตให้โม่หันฟังแล้ว แล้วเขาคิดกับเรื่องนี้ยังไงกัน เมื่อหลายวันก่อนทำไมเขาถึงไม่พูดถึงเรื่องนี้เลยล่ะ
ในที่สุดเธอก็รู้สาเหตุที่ทำให้โม่หันดูสีหน้าไม่ค่อยดีตอนที่เขากลับมาบ้านเมื่อหลายวันก่อน
เขาคงรู้เรื่องทุกอย่างแล้ว
“เฉินเทียน…ถูกพิจารณาคดีหรือยังคะ… เขาต้องอยู่ในคุกกี่ปี” เธอเอ่ยถาม
“ยังหรอก แต่ใกล้แล้วล่ะ อีกไม่กี่วันจะมีการพิจารณาคดีในชั้นศาล คาดว่าเขาน่าจะได้รับโทษสิบห้าปีหรืออาจจะมากกว่านั้นเพราะเขาฆ่าคนไปสองคน”
เธอมุ่นคิ้วขึ้น นายน้อยสามน่ะหรือจะฆ่าคน ตอนที่ยังทำงานให้เขาเธอยังจำได้ว่าเจ้าตัวไม่ชอบฆ่าคน เขารู้ขีดจำกัดของตัวเองดีและมักจะไว้ชีวิตคนในเสี้ยวนาทีสุดท้ายเสมอ ก่อนปล่อยให้คนเหล่านั้นเอาชีวิตรอดไปโรงพยาบาล แล้วทำไมเขาถึงลงมือฆ่าคนสองคนด้วยตัวเองกัน เขาทำมันก่อนที่เธอจะพบกับเขาเหรอ
“เขาฆ่าใครเหรอ” เธอถามซ้ำ
“อืม… รายแรกเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นมานานแล้วล่ะ เขาไปทวงหนี้และคนคนนั้นไม่มีคืนให้ เขาเลยไม่ปล่อยไปง่ายๆ และฟันอีกฝ่ายจนตาย อีกคนถูกฆ่าเมื่อไม่กี่เดือนก่อน จำตอนที่พบศพแถวชานเมืองฟากตะวันตกได้หรือเปล่า ศพถูกตัดแขนและตายอย่างน่าสยดสยอง เราสืบพบว่าเป็นความขัดแย้งระหว่างกลุ่มผู้มีอิทธิพล เขาเป็นคนพาลูกน้องไปฆ่าพวกคนพวกนั้นจนตาย”
“ความขัดแย้งระหว่างกลุ่มผู้มีอิทธิพลเหรอ” เธอรู้สึกว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นดูผิดปกติไม่น้อย และทวนคำพูดของอีกฝ่ายขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว
“ใช่…” จางหยางเงยหน้าและอยู่ๆ ก็โพล่งขึ้น “ได้ยินเธอพูดแบบนี้ก็นึกได้ขึ้นมาเลย… คนที่ตายไปมีความเกี่ยวข้องกับเธอด้วยนะ”
ก่อนจะว่าต่อ “เธอจำคดีที่เธอแจ้งความไว้ครั้งก่อนได้ไหม ที่เธอถูกชายกลุ่มหนึ่งเข้าทำร้ายในซอยนั้น คนที่ตายเป็นคนจากกลุ่มนั้นล่ะ… บังเอิญไปหรือเปล่านะ… ฉันเพิ่งนึกได้… ต้องโทษเขาที่ลงโทษพวกมันอย่างโหดร้าย เขาโชคไม่ดีที่ต้องตายเพราะเรื่องแบบนั้น” จางหยางพึมพำกับตัวเองและไม่เห็นว่าใบหน้าของซย่าชิงอีซีดลงเรื่อยๆ
เธอคาดเดาได้รางๆ เรื่องที่เกิดขึ้นจะเป็นเหตุบังเอิญจริงๆ น่ะเหรอ หากนายน้อยสามหาตัวเธอเจอได้ การรู้ว่าเธอเข้าแจ้งความคงไม่ใช่เรื่องยากนัก ถ้าอย่างนั้นเรื่องชายกลุ่มนั้นที่เธอเจอในซอย หรือว่าจะ… หรือว่าจะเป็น…
เธอไม่กล้าคิดปะติดปะต่อเรื่องนี้
ดูเหมือนว่าเธอจะเข้าใกล้ความลับที่น่ากลัวและเป็นปริศนาไปทุกที
“ซย่าชิงอี… ซย่าชิงอี…” จางหยางตะโกนเรียกเธอ
เจ้าของชื่อเงยหน้าขึ้นมามองเขาและพบว่ามีเจ้าหน้าที่อีกคนที่เธอไม่รู้จักยืนอยู่ข้างเขา ก่อนที่เจ้าตัวจะกล่าวขึ้น “เพื่อนของฉันมาแล้ว อย่างนั้นฉันไปก่อนแล้วกันนะ”
เธอพยักหน้ารับทั้งที่จริงแล้วเธอพูดอะไรไม่ออกมากกว่า
อีกฝ่ายโบกมือลาเธอก่อนที่จะเดินจากไป “ไว้คุยกันวันหลังนะ”
เธอโบกมือกลับอย่างเหม่อลอยอย่างไม่รู้จะพูดอะไรออกมา ได้แต่ยืนนิ่งค้างมองตามหลังจางหยางไป ความคิดยังคงวนเวียนกับสิ่งที่ได้ยินก่อนหน้านี้
อารมณ์กระเจิดกระเจิงอย่างควบคุมไม่ได้ เธอรักนายน้อยสามมาหกปีเต็มและไม่มีแม้แต่ความหวังที่เก็บซ่อนไว้ในใจตลอดช่วงเวลานั้น และในที่สุดตอนนี้เธอก็ได้ใช้ชีวิตเหมือนคนปกติและปล่อยวางทุกอย่างจากในอดีตหลังจากผ่านความลำบากมามากมาย เธออยากใช้ชีวิตที่สดใสไปกับโม่หัน
ทว่าในตอนนี้อยู่ๆ เธอก็รู้ว่านายน้อยสามฆ่าคนกลุ่มหนึ่งที่เคยทำร้ายเธอมาก่อน
หลายปีที่อยู่ข้างกายเขา เธอไม่เคยเห็นอีกฝ่ายฆ่าใครสักคนเดียว ทำไมเขาเลือกที่จะฆ่าใครบางคนหลังจากที่เธอจากมาโดยที่ไม่ได้ส่งผลดีใดๆ กับตัวเองกัน
เธอเริ่มรู้สึกว่าตลอดหลายปีเธอไม่เคยเข้าใจนายน้อยสามจริงๆ เลยสักครั้ง
เมื่อมาถึงบ้านในเวลาราวหกโมงเย็น เธอผลักประตูเข้าไปและเห็นโม่หันกำลังนั่งดูโทรทัศน์อยู่บนโซฟา ทำให้เธอแปลกใจเพราะเขาไม่ค่อยดูโทรทัศน์คนเดียว ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นเธอที่มักต้องลากเขามาดูด้วยกันบนโซฟา แล้วทำไมวันนี้เขาถึงเลิกงานเร็วนัก ปกติแล้วเขาจะเลิกงานและกลับมาถึงบ้านตอนสองสามทุ่มไม่ใช่เหรอ
“ทำไมวันนี้พี่กลับมาเร็วนักล่ะคะ” เธอเอ่ยถาม
“งานเสร็จไวน่ะเลยได้กลับเร็วหน่อย” เขาหยิบแก้วน้ำตรงหน้ามาดื่มก่อนที่จะหันมามองเธอ “สอบเสร็จแล้วเหรอ”
เธอพยักหน้ารับอย่างเหนื่อยล้า ทิ้งตัวลงนั่งข้างอีกคนและบิดคอไปมา “ในที่สุดฉันก็จะได้พักเสียที”
เขาละสายตาจากโทรทัศน์พลางขยับเข้ามาใกล้ๆ ซุกศีรษะลงที่ลำคอของเธอและสูดหายใจลึก คนถูกกระทำขยับถอยห่างและดันตัวเขาออก “ทำอะไรของพี่เนี่ย!”
“ดมกลิ่นผู้ชายคนอื่นบนตัวเธอ” เขาพูดหน้าตาย
เธอส่งยิ้ม “แล้วได้กลิ่นไหมล่ะคะ มีกลิ่นผู้ชายของคนอื่นไหม”
“ไม่มี” โม่หันจูบที่ติ่งหูของเธอก่อนกระซิบข้างหู “มีแต่กลิ่นของพี่”
ร่างของเธอสั่นไหวเมื่อรู้สึกถึงสัมผัสของเขาที่ใบหู ความวาบหวามแล่นไปทั่วร่าง เธอเบี่ยงตัวหนีและพยายามหลบหน้าเขา “ไม่ว่าจะได้กลิ่นหรือเปล่าแต่ฉันไปข้างนอกมาทั้งวัน คงมีแต่กลิ่นเหงื่อและพี่ก็คงไม่ทันรู้ตัวว่ามันสกปรกนะคะ”
เขาจ้องมาที่เธอและเห็นท่าทางประหม่าของอีกฝ่ายก่อนเอ่ยขึ้น “มานี่มา”
“ฉันไม่ได้นั่งอยู่ข้างๆ พี่อยู่แล้วเหรอคะ จะให้ฉันไปไหนอีกล่ะ” เธอท้วง
“มานั่งบนตักพี่มา” เขาตบขาของตัวเอง
เธออึ้งไปพร้อมเอนตัวถอยห่างจากเขา “วันนี้พี่เป็นอะไรไปเนี่ย”
โม่หันออกแรงดึงเธอเข้ามาในอ้อมกอดในครั้งเดียวให้เธอนั่งอยู่บนตักของเขา เธอรีบขยับลุกขึ้นแต่กลับถูกอีกฝ่ายตรึงจับมือเอาไว้กับเอวของตัวเองและไม่ยอมปล่อยตัวเธอไป
“วันนี้เกิดอะไรขึ้นกับพี่คะ”
“จูบก่อนสิแล้วพี่จะบอก” เขายกศีรษะไปด้านข้างและมองใบหน้าของเธอ
เธอมุ่ยหน้าและเขย่าแขนพร้อมถามซ้ำ “เกิดอะไรขึ้นกันแน่คะ”
“จูบก่อนสิ” เขาว่า
ซย่าชิงอีก้มหน้าและจุ๊บที่ใบหน้าของเขา “ทำแล้วยังไงต่อคะ”
“ไม่พอ”
เธอส่งยิ้มบางๆ และจูบเบาๆ ที่ริมฝีปากของเขาอีกครั้ง “พอหรือยังคะ!”
มือขวาของโม่หันวางลงที่ท้ายทอยของเธอก่อนดันใบหน้าให้เข้าหาตัวเอง เงยหน้าประกบริมฝีปากจูบเธอที่นั่งอยู่บนตักอย่างดูดดื่มและเนิ่นนาน เธอรู้สึกราวกับทั้งร่างอ่อนปวกเปียกไปหมด ไม่รู้จะวางมือตัวเองไว้ที่ไหนก่อนจะพาดโอบรอบคอและกอดอีกฝ่ายอย่างไม่รู้ตัว
เขาสัมผัสได้ถึงความเคลื่อนไหวของเธอก่อนดึงเข้ามาจูบอีกครั้ง ความเงียบโรยตัวไปทั่วห้อง มีเพียงเสียงลมหายใจของพวกเขาที่ก้องดัง
เมื่อพวกเขาผละออกจากกัน ซย่าชิงอีซบลงพักบนไหล่ของเขาพร้อมจังหวะหายใจหนักๆ ในขณะที่อีกฝ่ายยังคลอเคลียริมฝีปากลงบนท้ายทอยของเธออย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุด
“ตกลงเกิดอะไรขึ้นกันแน่คะ” เธอเอ่ยถามเขาซ้ำ
เขากอดเอวเธอไว้ ทั้งคู่อิงแอบแนบชิดกันอยู่บนโซฟาตัวเล็ก “คนที่บริษัทรู้เรื่องของเราแล้ว”
เธอเงยหน้าขวับขึ้นมาจากไหล่ของเขา “พี่พูดว่าอะไรนะคะ!”
“หลิวจื้อหย่วนกับทนายเหลียวรู้เรื่องของเราแล้ว คิดว่าพรุ่งนี้ทุกคนในบริษัทก็น่าจะรู้เรื่องนี้” เขาพูดเสียงเบาแต่กลับสร้างความตื่นตระหนกให้คนฟังอย่างซย่าชิงอี เธอรีบผละออกมาอ้อมแขนของอีกฝ่าย
ก่อนจะว่าขึ้น “พวกเขารู้ได้ยังไงคะ”
Related