หลังจากไป๋ปวี่จากไป ทั้งคู่ก็ยืนเงียบอยู่หน้าประตู ต่างฝ่ายต่างไม่พูดอะไรออกมา
เขาพูดเสียงอ่อนลง “อยู่ที่นี่ต่อเถอะคุณ รอจนกว่าร่างกายจะหายดี เดี๋ยวผมจะช่วยไปส่งคุณที่สถานีตำรวจและช่วยตามหาครอบครัวของคุณเอง”
เด็กสาวดื้อดึง “ฉันไม่อยากไปสถานีตำรวจค่ะ”
โม่หันเริ่มหงุดหงิด “คุณความจำเสื่อมแถมยังบาดเจ็บอยู่ แต่คุณไม่อยากอยู่ที่โรงพยาบาล ไม่อยากไปสถานีตำรวจ แล้วคุณจะไปที่ไหน บอกผมมาสิ ดูสภาพคุณตอนนี้เสียก่อน ต่อให้คุณตายอยู่ข้างนอกก็ไม่มีใครเขามาสนใจหรอกนะครับ”
เธอก้มหน้าลงแล้วทิ้งตัวพิงเข้ากับกำแพงอย่างอ่อนแรงเพราะบาดแผลที่หน้าท้องยังคงทำให้เธอรู้สึกเจ็บอยู่ จากนั้นเด็กสาวก็หันมองไปอีกด้าน “ฉันนอนสลบอยู่ที่นี่เป็นเดือนแต่ไม่มีใครมาตามหาฉันเลยสักคน ถ้าครอบครัวของฉันอยากตามหาฉันจริงๆ พวกเขาก็คงมาตั้งแต่ตอนที่นอนป่วยอยู่แล้วล่ะค่ะ
“คงจะดีถ้ามีใครสักคนมาเยี่ยมฉัน คนที่บอกฉันได้ว่าฉันเป็นใคร ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่”
บรรยากาศในโรงพยาบาลตอนตีสามเงียบเชียบ แสงไฟตามทางเดินสะท้อนเข้าตาคนทั้งคู่ มีเพียงพวกเขาที่ยืนเถียงกันว่าเธอจะไปที่ไหนอย่างเคร่งเครียดขึ้นเรื่อยๆ เขาไม่เห็นว่าเธอทำสีหน้าอย่างไรเพราะเธอก้มตัวพิงกำแพงอยู่ โม่หันจ้องมองเธอที่อยู่ในเสื้อสีเทาตัวหลวมอย่างไม่รู้ว่าสิ่งที่เขากำลังรู้สึกในใจคืออะไร
เวลาผ่านไป เขาคิดย้อนไปถึงสิ่งที่เห็นตอนอยู่ที่โรงพยาบาล สุดท้ายเขาก็หาคำตอบให้ตัวเองได้ มันคือความรู้สึกปวดใจนั้นเอง
เขาในตอนนี้ยังไม่รู้ตัวว่าเด็กสาวได้เริ่มก้าวเข้ามาอยู่ในชีวิตอย่างเงียบๆ เสียแล้ว
“ไปกันเถอะ” เธอได้ยินเสียงอ่อนโยนจากเขา เหมือนกับว่าเขายอมทำตามที่เธอขอแล้ว
“ไปที่ไหนคะ”
“บ้านผม” เขาหันหลังเดินออกไป เสียงฝีเท้าค่อยๆ ดังขึ้น
บนทางเดินแคบๆ และเงียบสงัดของโรงพยาบาล เธอได้ยินเพียงเสียงรองเท้าที่กระทบพื้นเป็นจังหวะของชายหนุ่ม เขาก้าวไปข้างหน้า ส่วนเธอเดินตามหลังเขาไป แต่แล้วจู่ๆ เด็กสาวก็ชะงักเท้าเมื่อเห็นแสงไฟริบหรี่ที่ปลายทางเดินส่องสะท้อนให้เห็นแผ่นหลังกว้างและกำยำของชายข้างหน้า ทันใดนั้นเองเธอก็ตระหนักว่าเขากำลังพาเธอออกไปสู่โลกภายนอก
ราวกับว่านอกจากเขาแล้ว ไม่มีใครที่เธอจะเชื่อใจได้เลย
นี่อาจเป็นเพราะเขาทำให้เธอรู้สึกปลอดภัยตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกันก็ได้
เวลาผ่านไป โม่หันขับรถมุ่งหน้ากลับบ้าน กว่าจะถึงก็ปาเข้าไปตีสี่แล้ว
ทันทีที่เขาเปิดไฟ เด็กสาวก็มองสำรวจไปรอบๆ บรรยากาศเย็นชาเหมือนตัวเจ้าของบ้านคือสิ่งแรกที่เธอรู้สึกเมื่อก้าวเข้ามาด้านใน สีเทาและขาวทำให้บ้านดูดีอย่างเรียบง่าย ที่นี่สะอาดจนแม้แต่พื้นก็มีฝุ่นเกาะเพียงเล็กน้อยเท่านั้น บ้านดูโล่งสบายด้วยของตกแต่งที่มีเพียงไม่กี่ชิ้น
หลังจากสำรวจไปทั่ว เธอก็รู้ว่าเขาคงไม่ค่อยได้อยู่บ้าน รู้สึกเหมือนกำลังเดินเข้ามาในบ้านของคนบ้างานอย่างไรอย่างนั้น
“คุณนอนที่ห้องนอนแขกไปก่อนแล้วกันครับ ถ้าหนาวก็หยิบผ้าห่มในตู้ได้เลย” เขาเปิดประตูให้พลางอธิบาย
“ห้องผมอยู่ข้างๆ คุณ ถ้าอยากได้อะไรเพิ่มก็บอกได้”
โม่หันเหลือบมองเธอก่อนชะงักไป “ทำไมคุณไม่เปลี่ยนเสื้อผ้าสักหน่อยล่ะครับ ถ้าคุณไม่รังเกียจ ใส่เสื้อผ้าผมไปก่อนก็ได้”
เธอก้มลงมองเสื้อยับย่นสีเทาเปื้อนเลือดและกางเกงสีฟ้าขาวของเธอแต่ไม่ได้ตอบอะไรกลับไป เธอเองก็ไม่ได้อยากสวมชุดที่น่าหดหู่แบบนี้อยู่แล้วเหมือนกัน
“เดี๋ยวผมจะออกไปทำงานตอนเช้า คุณพักไปก่อนละกัน ไว้เราค่อยมาตกลงกันเรื่องของคุณตอนเย็นหลังจากผมกลับมาแล้ว”
เด็กสาวนิ่งเงียบเชื่อฟังคำสั่งของเขา ตอนนี้เธอไม่มีเหตุผลอะไรต้องไปเถียงเขา
เขาเอาเสื้อผ้าฝ้ายแขนยาวกับกางเกงขายาวที่เขาไม่ค่อยได้ใส่ส่งให้เธอ “เอาตามนี้ละกันนะ ไปนอนก่อนเถอะครับ”
โม่หันเดินออกไปก่อนปิดประตูลง เขาได้ยินเสียงเธอที่เอ่ยตามหลังมา “อืม… ขอบคุณนะคะ”
เธอมองไปที่เงาสะท้อนของตัวเอง รอยยิ้มเล็กๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าขณะที่พูดด้วยน้ำเสียงจริงใจ
รอยยิ้มที่เขาไม่เคยเห็นเลยสักครั้งตั้งแต่ครั้งแรกที่เขาเจอเธอ