ฟี้…ฟี้ เสียงลมหายใจแผ่วเบาดังสะท้อนไปทั่วห้องนอนของโม่หันในยามกลางดึก
ปกติแล้วโม่หันเป็นคนตื่นง่าย เขารู้สึกตัวตื่นได้แม้เสียงรบกวนจะเบาจนแทบไม่ได้ยินก็ตาม เขาลุกขึ้นนั่ง มองไปรอบๆ ตัวหากแต่ไม่เห็นอะไรผิดสังเกต เมื่อตั้งใจฟังดีๆ เสียงนั้นก็หายไปอีกครั้ง
เขาล้มตัวลงนอนพร้อมกับความสงสัยที่ยังไม่จางหายไป หลับตาลงพร้อมตั้งท่าจะนอนต่อ ทว่าภายในสองนาทีถัดมา เขาก็สะดุ้งตื่นเมื่อนึกบางอย่างขึ้นมาได้ ตาของเขาเบิกกว้างด้วยความตกใจขณะที่ลุกขึ้นนั่งแล้วพลิกผ้าห่มของเขาออก มองไปบนพื้นรอบๆ เตียง
จริงอย่างเขาที่คาดไว้ บนพรมมีใครบางคนกำลังนอนขดตัวอยู่บนนั้น ม้วนตัวเองเข้ากับผ้าห่มในท่าทางที่กำลังหลับสบาย ไม่ใช่ใครที่ไหนนอกจากน้องสาวหมาดๆ ของเขาที่เพิ่งย้ายเข้ามาอยู่ด้วยกัน ซย่าชิงอี!
ชายหนุ่มลุกจากเตียงมาเปิดสวิตช์ แสงไฟสว่างไปทั่วห้อง เขากอดอกขณะที่มุ่นคิ้ว ระหว่างรอให้คนที่นอนบนพื้นตรงหน้าตื่นขึ้นมาสักที
ซย่าชิงอีหรี่ตามองด้วยความงุนงง ขณะที่ยกมือขึ้นบังแสงที่สะท้อนเข้าใบหน้า พยายามปรับสายตาเข้ากับแสงไฟ เธอซุกหน้าบนผ้าห่มอย่างไม่รู้ตัวว่าเกิดอะไรขึ้น
“ทำไมคุณมานอนในห้องของผมได้ล่ะครับ” โม่หันที่อยู่ในชุดนอนผ้าฝ้ายยืนมองอย่างเรียบเฉยไปที่เด็กสาวซึ่งตอนนี้กำลังตั้งสติอยู่
“พรมของคุณมันนอนสบายที่สุดนี่คะ” เธอกล่าวขึ้นซื่อๆ
เขาไม่เคยเจอใครที่ไม่ชอบนอนดีๆ บนเตียงหรือโซฟาแต่กลับเลือกจะนอนบนพรมแทนแบบนี้มาก่อนเลย โม่หันเอ่ยขึ้นอย่างเหลืออด “กลับไปนอนที่เตียงของคุณดีๆ ครับ”
อีกฝ่ายส่ายหน้าปฏิเสธ “ฟูกมันนิ่มเกินไป ฉันนอนไม่หลับค่ะ ฉันบอกคุณไปเมื่อตอนบ่ายแล้วไงคะ”
โม่หันไม่เข้าใจเธอเลยสักนิด เขารู้สึกอึ้งจนพูดอะไรไม่ออกตอนที่เห็นเธอนั่งบนพื้นพรมด้วยท่าทางน่าสงสารพลางอธิบายเหตุผลที่ชอบพรมผืนนี้นักด้วยสีหน้าตรงไปตรงมาอย่างนี้
สุดท้ายเขาจึงตัดสินใจยอมแพ้ก่อนพูดกับเธอที่ยังคงนอนอยู่บนพรม ไม่ยอมออกไปจากห้องเสียที “คุณช่วยกลับไปนอนที่ห้องของคุณได้ไหมครับ เดี๋ยวผมจะย้ายพรมไปไว้ในห้องให้ คุณจะได้นอนในห้องของคุณได้สักที”
ซย่าชิงอีท่าทางไม่พอใจกับความช่วยเหลือของเขา แม้จะเอาพรมไปไว้ที่ห้องของเธอแต่ห้องก็ยังมืดจนทำให้เธอไม่กล้านอนที่นั่นอยู่ดี ในสถานการณ์แบบนี้ ถ้าเธอเงยหน้าขึ้นคงได้เห็นอีกฝ่ายที่อยู่ใกล้ๆ อยู่ตอนนี้
เธอทำแบบนี้ไม่กลัวเลยหรือไงนะ
เพราะไม่อยากกลับไปนอนที่ห้องของตัวเองจึงลงเอยด้วยการนอนอยู่บนพรม ไม่ยอมลุกไปไหนตามที่เขาต้องการ เธอประสานมือพร้อมขอร้องด้วยน้ำเสียงน่าสงสาร “ฉันไม่อยากนอนที่ห้องนั้นนี่คะ ที่นี่น่านอนที่สุดแล้วค่ะ! คุณนอนต่อได้เลย ฉันจะไม่สร้างความวุ่นวาย จะไม่นอนละเมอ จะไม่นอนกัดฟัน แล้วก็สัญญาว่าจะไม่รบกวนการนอนของคุณเลย”
โม่หันไม่ยอมรับข้อเสนอของเธอ ตลอดเวลาเขาเอาแต่เงียบและมองไปที่เธออย่างเย็นชา
“จริงๆ นะคะ! ไม่รู้ล่ะ ฉันจะนอนใต้เตียงของคุณแบบนี้แหละ คุณมองไม่เห็นฉันหรอก
“ในห้องของฉันมันมืดมากเลย ไม่มีแสงส่องถึงเลยสักนิด ฉันกลัวน่ะค่ะ ช่วยรอจนกว่าฉันจะเคยชินกับมันภายในสองสามวันนี้แล้วฉันจะกลับไป ตกลงไหมคะ”
ซย่าชิงอีมองโม่หันที่นิ่งชะงักไปก่อนเอ๋ยต่อ “ในฐานะที่เป็นผู้ป่วยอยู่ คุณช่วยฉันหน่อยไม่ได้เหรอคะ หลังจากนี้ไม่กี่วัน แค่ไม่กี่วันเท่านั้น! พอร่างกายฉันฟื้นตัวแล้วจะกลับไปนอนที่ห้องนะคะ”
เพื่อให้เขารู้ว่าเธอยังเจ็บอยู่ เธอจึงกดมือลงบนแผลที่เพิ่งถูกเย็บไปเมื่อไม่กี่วันก่อนแล้วร้องออกมาด้วยสีหน้าซีดเซียว “ถ้า…ฉันกลับไปที่ห้องนั้น… พลิกตัวไปมาเพราะนอนไม่หลับ… แล้วแผลฉีกขึ้นมาจะทำยังไงล่ะคะ ฉันต้องไปโรงพยาบาลอีกรอบให้คุณต้องเสียทั้งเงินทั้งเวลาแน่ๆ ถ้าอย่างนั้น…”
เขาขมวดคิ้วก่อนพูดแทรก “ตกลงครับ ผมยอมคุณแล้ว ไม่ต้องพูดอะไรแล้วครับ”
เด็กสาวชะงักไปชั่วครู่ รอดูว่าเขาจะกล่าวอะไรออกมา
“แล้วแต่คุณเลย ผมให้คุณนอนที่นี่ไปอีกสองสามวันก็ได้ แต่คุณต้องรับปากว่าจะไม่รบกวนผมนะครับ”
คนฟังยิ้มออกมาอย่างพอใจ ดูเหมือนว่าพี่ชายหน้านิ่งคนนี้จะยังหลงเหลือมนุษยธรรมอยู่บ้าง
แม้เขาจะอนุญาตแต่กลับเม้มริมฝีปากแน่น ทั้งรู้ว่าตั้งแต่เธอปรากฏตัวต่อหน้าเขา นิสัยเดิมของเขาก็คล้ายจะกลับมาอีกเรื่อยๆ
“อย่ารบกวนผมละกัน จำไว้ให้ดีๆ นะครับ” เขากล่าวสำทับเธออีกทีด้วยสีหน้ากังวลขณะปิดสวิตช์ไฟ