โม่หันเหลือบมองข้างเตียงขณะเอนตัวลงนอน ส่วนซย่าชิงอีขดตัวนอนสบายบนพรม เธอกระชับผ้าห่มไว้ในมือด้วยใบหน้าเปี่ยมสุข โม่หันไม่เข้าใจเลยว่าพรมผืนนี้นอนสบายมากถึงขนาดทำให้เด็กสาวยืนกรานจะนอนที่นี่ให้ได้เลยเหรอ
หากแต่เขาก็ต้องยอมรับว่าเธอนอนหลับได้เงียบมากจริงๆ ตอนแรกเขาคิดว่าคนตื่นง่ายอย่างเขาคงนอนไม่หลับแน่ๆ ใครจะไปคาดคิดว่าซย่าชิงอีจะนอนได้เงียบขนาดนี้!
เงียบจนแทบจะไม่ได้ยินเสียงลมหายใจของเธอ
ท่ามกลางบรรยากาศเงียบงันเช่นนี้ เขาค่อยๆ ตกอยู่ในห้วงนิทราลึก และตื่นขึ้นมาในยามเช้าเพราะเสียงนาฬิกาปลุกเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของเขา! ก่อนหน้านี้เขามักจะตื่นก่อนเวลาที่ตั้งปลุกไว้ครึ่งชั่วโมงอยู่เสมอ
เขาเอื้อมมือไปปิดนาฬิกาปลุกก่อนลุกขึ้นนั่ง เมื่อมองไปก็เห็นเด็กสาวยังนอนเงียบๆ อยู่บนพื้นอยู่ ผมเผ้าของเธอยุ่งเหยิงเล็กน้อยและยังคงอยู่ในเสื้อผ้าที่เขาให้เธอยืมใส่เมื่อวาน เธอกระชับพรมเข้าหาตัวด้วยมือเพียงข้างเดียวขณะที่อีกข้างกอดรองเท้าเดินในบ้านที่เขาวางไว้ใต้เตียง!
คนมองกลอกตาก่อนสะกิดเธอเบาๆ ด้วยเท้าของเขา “ตื่นได้แล้วครับ!”
เธอขมวดคิ้วพลางพลิกตัวหนีขณะยังคงกอดรองเท้าของเขาไว้ ท่าทางยังไม่รู้ตัวว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น
“ลุกขึ้นมาแล้วช่วยคืนรองเท้าให้ผมด้วยครับ” เขาพูดเสียงดังขึ้น
ซย่าชิงอีที่เพิ่งตื่น เธอมองโม่หันที่กำลังขมวดคิ้วแล้วขยี้ตาอย่างยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
เขาเอื้อมมือหยิบรองเท้าจากเธอราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น และเดินเข้าห้องน้ำไป “ตื่นได้แล้วครับ วันนี้ผมจะพาคุณไปตรวจร่างกายและทำแผลใหม่ที่โรงพยาบาล”
เธอลุกขึ้น ขยี้ผมด้วยท่าทางงัวเงียก่อนเดินกลับห้องของเธอไปพร้อมผ้าห่มในมือ
ไม่นานหลังจากนั้น ขณะที่ชายหนุ่มแปรงฟันอยู่ เธอก็สำรวจไปรอบห้องที่ว่างเปล่า และยังคงสวมเสื้อผ้าที่เขาให้ยืม จากนั้นเด็กสาวก็เดินไปที่ห้องน้ำ ยกมือขึ้นเคาะประตู “ฉันไม่มีเสื้อผ้าเปลี่ยนน่ะค่ะ ทำยังไงดี แล้วก็ไม่มีของใช้ในห้องน้ำด้วยเหมือนกัน”
ตอนนั้นเองที่เขานึกขึ้นได้ว่าตั้งแต่เธอฟื้นขึ้นมาที่โรงพยาบาล เธอสวมแต่เสื้อแขนยาวตัวหลวมที่เขาให้ ไม่ได้มีเสื้อผ้าเป็นของตัวเอง
“เดี๋ยวผมซื้อให้คุณก่อนไปโรงพยาบาล ใส่ชุดนี้ไปก่อนครับ หลังจากเรากลับมา คุณก็เอาบัตรผมไปซื้อของใช้จำเป็นที่ร้านสะดวกซื้อแล้วกัน”
เธอเดินจากไปเงียบๆ อีกครั้ง ล้างหน้าล้างตา หวีผมและออกไปนั่งรอโม่หันบนโซฟาด้านนอก
เขาอยู่ในชุดสูทเรียบร้อยกับเนกไทสีน้ำเงิน หน้าตานิ่งเฉยอย่างที่ทนายความหลายคนเป็น ในมือถือกระเป๋าเอกสาร ก้าวเดินลงบันไดมา
อีกฝ่ายเดินตามเขาเข้าไปนั่งในรถ เขาเอ่ยขึ้นในขณะที่จะออกรถ “ผมเลือกซื้อเสื้อผ้าไม่เป็น เดี๋ยวผมส่งคุณที่ทางเข้าห้าง คุณเอาบัตรผมไปซื้อของที่คุณจำเป็น เสร็จแล้วโทรหาผมแล้วกันนะครับ”
ก่อนจะนึกบางอย่างขึ้นได้ จึงกล่าวต่อ “เดี๋ยว คุณไม่มีโทรศัพท์ใช่ไหม”
“ไม่ค่ะ”
“ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวผมซื้อโทรศัพท์ให้คุณด้วย แบบนั้นมันน่าจะสะดวกกว่า”
“ฉันต้องไปเรียนเมื่อไหร่เหรอคะ”
“รอจนกว่าแผลของคุณจะหายดีกว่านี้ ผมจะบอกกับมหาวิทยาลัยให้ว่าเป็นคำสั่งของแพทย์ครับ”
“มหาวิทยาลัยห่างจากบ้านมากไหมคะ”
สำหรับโม่หัน คำว่า บ้าน ฟังดูเป็นคำที่ไม่คุ้นหูนัก นานมากแล้วที่คำนี้หายไปจากใจของเขา ในโลกของเขามีแค่คำว่าสถานที่และที่พักอาศัยเท่านั้น ไม่มีความคิดเกี่ยวกับบ้านแม้แต่นิด
“ไม่ครับ มีหอพักอยู่ในมหาวิทยาลัยด้วย แต่ถ้าคุณไม่อยากอยู่ที่นั่นก็กลับมานอนที่นี่ได้”