“มันแพงไหมคะ…” ซย่าชิงอีเอ่ยถาม
“ทั้งชุดสามร้อยแปดสิบแปดหยวนค่ะ”
“อืม… ถ้าอย่างนั้นฉันเอาชุดนั้นแหละค่ะ…”
พนักงานสาวยังคงนิ่งอึ้งที่ขายเสื้อผ้าได้ภายในไม่กี่นาที
“แค่ช่วยฉันดูขนาดให้พอดีก็พอค่ะ ตราบใดที่ฉันใส่ได้พอดีมันก็ไม่แพงและเหมาะกับฉันแล้วล่ะ ฉันจะซื้อตัวนี้แหละค่ะ” ซย่าชิงอีที่รู้สึกเหนื่อยล้าทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟา มองไปที่พนักงานสาวอย่างไม่สนใจจะซื้อของเพิ่มแต่อย่างใด
พนักงานขายมองเธอหวั่นๆ จริงหรือนี่ เกิดอะไรขึ้นกัน เธอมาที่นี่เพื่อซื้อของจริงๆ หรือ
ขณะที่กำลังตกใจอยู่นั้นเธอก็ปิดการขายได้เร็วที่สุดเท่าที่ร้านเคยมีมา หลังจากจ่ายเงินเสร็จ เด็กสาวก็เข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดใหม่ที่เพิ่งซื้อมาในห้องลองเสื้อก่อนเดินออกมาพร้อมถุงในมือ
หลังจากซื้อของใช้จำเป็นเสร็จเรียบร้อย เธอก็เดินออกมานอกห้างสรรพสินค้า แล้วก็พบว่าท้องฟ้ามืดลงแล้ว ชั้นเมฆที่ซ้อนกันหนาแน่นเหนือศีรษะแสดงให้เห็นว่าฝนกำลังจะตก
เธอนึกขึ้นได้ว่าโม่หันบอกว่าให้โทรหาตอนซื้อของเสร็จแล้ว หากแต่ในขณะที่กำลังจะกดต่อสายหาเขา เธอก็เพิ่งคิดได้ว่าเธอไม่มีเบอร์ติดต่อของใครเลย และตอนนั้นเองที่เธอรู้ตัวว่าเจอปัญหาใหญ่เข้าแล้ว
เธอไม่รู้เบอร์โทรศัพท์ของเขา
อีกฝ่ายนึกได้ว่าเธอไม่มีโทรศัพท์และไม่สามารถโทรหาเขาได้ แต่เขากลับลืมนึกไปว่าเธอไม่มีเบอร์โทรศัพท์ของเขาเช่นกัน และที่ยิ่งไปกว่านั้น แม้ว่าเธอจะพยายามหาทางกลับบ้านตอนนี้ เธอก็จำบ้านของเขาไม่ได้อยู่ดี ครั้งสุดท้ายที่เธอไปถึงบ้านคือตอนตีสามซึ่งด้านนอกยังเต็มไปด้วยความมืดและมองไม่เห็นอะไร จำได้แต่ประตูรั้วสีส้มเท่านั้น
แต่มันจะมีประโยชน์อะไรกันล่ะ! เธอไม่สามารถบอกคนขับให้พาเธอไปส่งที่ที่มีประตูรั้วสีส้มได้สักหน่อย!
ซย่าชิงอีรู้ตัวว่ากำลังตกอยู่ในสถานการณ์ลำบากเสียแล้ว เธอเงยขึ้นมองท้องฟ้ามืดหม่นด้านนอกและถอนหายใจหนักๆ ออกมา ไฟข้างทางติดพร้อมอากาศที่ชื้นขึ้นเป็นสัญญาณว่าพายุฝนกำลังจะมา
เธอยืนคิดอยู่ริมถนนชั่วครู่ ก่อนจะตัดสินใจขึ้นรถแท็กซี่ไปที่สำนักงานของโม่หันเพราะนั่นเป็นที่เดียวที่เธอรู้จัก
เมื่อมาถึงที่หมาย เธอที่รู้ตัวว่าแผลยังไม่หายดีจึงค่อยๆ เดินอย่างระมัดระวังไม่ให้กระทบกระเทือนแผล เด็กสาวอยู่ในสภาพเหงื่อซกไปทั้งตัวขณะที่เธอวางถุงใส่ของที่มุมหนึ่งของห้องรับรอง เธอเหนื่อยจนแทบจะลุกไม่ขึ้น ได้แต่ค่อยๆ พาตัวเองไปที่โต๊ะพนักงานต้อนรับพร้อมหอบหนักๆ พลางวางถุงลง
พนักงานต้อนรับมองมาที่เธออย่างแปลกใจก่อนเอ่ยถาม “ขอโทษนะคะ มีอะไรให้ฉันช่วยไหมคะ”
เธอยังคงอยู่ในอาการหอบอยู่ “ฉัน… ฉันมา…หา… ทนายโม่ค่ะ”
พนักงานต้อนรับที่ชื่อจางลี่คิดว่าเธอเป็นหนึ่งในลูกความของทนายโม่ จึงตอบกลับไปอย่างมีมารยาท “ขอโทษด้วยนะคะ แต่ถ้าไม่ได้นัดเอาไว้ คุณก็เข้าพบทนายโม่ไม่ได้ค่ะ”
ซย่าชิงอีจำได้ว่าครั้งที่แล้วที่เธอมาที่สำนักงาน ผู้หญิงคนนี้ไม่ได้อยู่ที่นี่แต่เป็นผู้ชายไว้หนวดตัวไม่สูงมากนัก เป็นไปได้สองทางคือผู้หญิงคนนี้มาทำงานในกะของเขา หรือไม่ก็เขามาทำงานในกะของเธอ แต่ดูแล้วน่าจะเป็นอย่างหลังมากกว่า
เธอสูดหายใจเข้าก่อนลุกขึ้นยืน แม้จะรู้สึกอึดอัดเล็กน้อยแต่เธอก็พูดพึมพำออกมา “ฉันเป็นน้องสาวของทนายโม่ค่ะ”
จางลี่ผงะไป เธอไม่เคยรู้มาก่อนว่าทนายโม่มีน้องสาวด้วย เขามีชื่อเสียงในวงการกฎหมายมาก นี่อาจเป็นกลลวงที่เธอตั้งใจจะให้เขารับทำคดีให้เธอก็เป็นได้ แต่เธอดูหอบเหนื่อยและถือของมาเยอะแยะ ไม่น่าจะเป็นแบบที่คิดได้เลย
ซย่าชิงอีเห็นท่าทีของจางลี่ที่ดูไม่เชื่อเธอ จึงกล่าวซ้ำอีกรอบ “ฉันเป็นน้องสาวของเขาจริงๆ ค่ะ คุณช่วยโทรบอกเขาให้หน่อยนะคะ”