ภาพรักสีจางกลางสมุทร – ตอนที่ 65 แฟนของพี่ชาย / ตอนที่ 66 ผู้หญิงโกหก

ตอนที่ 65 แฟนของพี่ชาย

 

 

เธอพยายามนึกให้ออก แต่ก็ยังจำเรื่องราวในอดีตของตัวเองไม่ได้

 

 

“มีอะไรเหรอครับ” จางหยางรู้สึกแปลกๆ เมื่อเห็นเธอชะงักนิ่งไป

 

 

ซย่าชิงอีที่ยังไม่สามารถจำเรื่องราวใดๆ ได้ ถูกจางหยางดึงออกมาจากภวังค์ห้วงความคิดของตัวเอง เธอมองเขาก่อนส่งยิ้มเล็กๆ ให้ “ไม่มีอะไรหรอกค่ะ”

 

 

อีกฝ่ายถามซ้ำ “อันที่จริงที่ผมมาวันนี้ ตั้งใจจะมาถามว่าคุณรู้ว่าฆาตกรมีความผิดปกติทางจิตได้ยังไง”

 

 

เธอนิ่งไปเมื่อได้ยินคำถาม “ฉันก็ไม่รู้หมือนกันค่ะ แค่… อยู่ๆ ก็นึกขึ้นได้”

 

 

เขาจ้องเธออย่างประหลาดใจ

 

 

“เอาจริงๆ ฉันก็ไม่รู้ว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจจะไขคดีหรือสืบคดีนี้ได้ยังไง แค่เดาความคิดของฆาตกรจากที่เกิดเหตุและลองคิดตามว่าเขาจะทำอะไรและจะเจอเขาได้ที่ไหนก็เท่านั้น อีกอย่างคำแนะนำที่ฉันบอกให้ยั่วยุฆาตกรก็เป็นแค่การคาดเดาเท่านั้น ขนาดตัวฉันเองยังไม่แน่ใจเลยค่ะ”

 

 

เขาเบิกตากว้างมองเธอ “ผมไม่มีอะไรจะพูดนอกจากบอกว่าคุณมีความสามารถด้านนี้นะครับ”

 

 

เธอยกยิ้ม “ไม่หรอกค่ะ ฉันแค่ช่วยบอกในจุดที่คุณคิดไม่ถึงมากกว่า”

 

 

“คุณสนใจมาเป็นตำรวจสืบสวนสวบสวนกับผมไหมครับ”

 

 

“ไม่ค่ะ” เธอตอบโดยไม่ต้องคิด

 

 

“ทำไมล่ะครับ”

 

 

เธอจะบอกเขาได้ยังไงว่าเธอสวมรอยใช้ชีวิตอยู่ทุกวันนี้เป็นคนอื่นอยู่ อีกอย่างคือเธอไม่ชอบตำรวจด้วย ซย่าชิงอีตอบกลับไปอย่างไร้เยื่อใย “ฉันบอกไปแล้วว่าฉันไม่รู้ว่าจะสืบคดีนี้ได้ยังไง ฉันแค่มองความคิดของคนอื่นออกเท่านั้นแหละค่ะ”

 

 

“แต่ว่าคุณไม่เสียดายความสามารถที่คุณมีบ้างเหรอครับ”

 

 

เสียดายแล้วยังไงล่ะ เธอไม่ได้อยากเข้าใจความคิดของคนอื่นมากกว่าคนอื่นเสียหน่อย ซย่าชิงอีพูดกับตัวเอง

 

 

“ฉันแค่อยากตั้งใจกับการเรียนหนังสือน่ะค่ะ” เธอขำกับตัวเองเงียบๆ เมื่อพูดประโยคน่าขันออกมา

 

 

“คุณเรียนเกี่ยวกับอะไรเหรอ”

 

 

“การจัดการทรัพยากรมนุษย์ค่ะ”

 

 

“สิ่งที่เรียนจะทำให้คุณต้องมาทำงานจุกจิกที่ต้องนั่งอยู่ในที่ทำงานทั้งวันแน่ครับ”

 

 

คนฟังทำเพียงส่งยิ้มให้และไม่ได้พูดอะไร ทว่าในใจของเธอกลับกำลังต่อว่าจางหยางไม่หยุด แต่ก็เลือกที่จะไม่แสดงออกไป

 

 

“คุณสนใจหางานนอกเวลาไหมครับ” อีกคนพยายามเปลี่ยนหัวข้อการสนทนาเพื่อคลายความเบื่อหน่าย

 

 

“อะไรนะคะ”

 

 

“แค่คิดว่าคุณน่าจะเบื่อกับชีวิตนักศึกษาน่ะ ผมรู้มาว่าเจ้าของบริษัทรับจ้างนักสืบมักจะช่วยลูกค้าสืบบางอย่างเป็นการส่วนตัว ไม่มีกำหนดเวลาทำงานและปกติงานก็ไม่ยากมากด้วย พวกเขาต้องการคนแบบคุณนะ ค่าตอบแทนก็ไม่น้อย คุณอยากให้ผมคุยกับเขาให้รับคุณเข้าทำงานไหมล่ะครับ”

 

 

ซย่าชิงอีมีท่าทีลังเล งานที่จางหยางแนะนำก็ดูไม่เลว เธอเองก็ไม่ได้ไม่ชอบมันนัก อย่างน้อยงานนี้ก็น่าจะเข้ากับเธอดี ด้วยอยากทำงานไม่ได้อยากเรียนหนังสืออยู่แล้ว แต่เธอรู้ว่าโม่หันคงไม่เห็นด้วยกับความคิดนี้

 

 

“ตกลงค่ะ ฉันคิดว่าไม่น่าจะมีปัญหานะคะ”

 

 

“มันเหมาะกับคุณแล้วครับ ถ้าพร้อมเมื่อไหร่บอกผมได้เลยนะครับ”

 

 

กว่าเธอจะคุยกับจางหยางเสร็จก็เย็นเสียแล้ว แค่คิดว่าจะต้องกลับไปเห็นแฟนสาวของโม่หันที่เมื่อวานตบเธอไปถึงสองครั้งก็พาลรู้สึกรำคาญและไม่อยากกลับบ้านแล้ว

 

 

ซย่าชิงอีไม่เคยคิดจะมีปัญหากับเฉินโหรว หวังแค่อีกฝ่ายไม่เข้ามาหาเรื่องเธอก็พอ มันจะดีมากถ้าพวกเธอไม่ต้องคุยกันอีก และจะดียิ่งขึ้นถ้าทำเป็นมองข้ามกันไปซะ

 

 

หากแต่ในที่สุดโม่หันกับเฉินโหรวก็ต้องแต่งงานกัน แล้วเธอจะทำยังไงล่ะถ้าอีกฝ่ายเข้ามาอยู่ด้วยในฐานะพี่สะใภ้ของตัวเอง

 

 

เธอคงคิดกับอีกฝ่ายเหมือนเดิมไม่ได้ตลอดไปหากต้องมาอยู่ภายใต้ชายคาเดียวกัน

 

 

อีกอย่างคือเธอไม่แน่ใจว่าโม่หัน พี่ชายตามกฎหมายของเธอจะไล่เธออกจากบ้านหรือเปล่าด้วย มันคงง่ายกับเขากว่าที่จะทิ้งคนแปลกหน้าที่ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องทางสายเลือดกันอย่างเธอ

 

 

ซย่าชิงอีอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเจ็บในใจเมื่อคิดว่าเขาอาจจะไล่เธอออกจากบ้านไปในอนาคตข้างหน้า แล้วเธอจะไปที่ไหนดีถ้าต้องเดินจากเขาออกมา เธอไม่รู้จักใครเลยด้วยซ้ำ

 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 66 ผู้หญิงโกหก

 

 

เธอกลับบ้านเย็นกว่าปกติเล็กน้อยและยังพยายามเดินทางให้ช้าที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ทว่าสิ่งที่เธอไม่อยากเห็นก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าเมื่อก้าวเข้ามาในบ้าน

 

 

เฉินโหรวที่นั่งบนโซฟามองมาที่เธออย่างเป็นมิตร ผ้ากันเปื้อนผูกอยู่รอบเอว

 

 

ซย่าชิงอีเหลือบมองเธอครั้งหนึ่งอย่างเงียบๆ เปลี่ยนรองเท้า อยากจะเดินผ่านเธอไปที่ห้องนอนของตัวเองในทันที

 

 

“นี่ น้องสาว”

 

 

คนถูกเรียกสะดุ้งตกใจจนเกือบทำกุญแจในมือหล่นเมื่อได้ยินเสียงของอีกคน

 

 

เฉินโหรวก้าวเข้ามาประชิดตัวเธอพลางดึงข้อศอกของเด็กสาว จากนั้นก็ส่งยิ้มให้อย่างต้องการพาเธอไปที่โซฟา

 

 

ซย่าชิงอีฝืนยิ้มขณะที่ดึงข้อศอกออกจากมือของอีกฝ่าย เธอเอ่ยขึ้น “ฉันคิดว่าฉันไม่ใช่น้องสาวของคุณนะคะ”

 

 

“เธอเป็นน้องสาวของโม่หันงั้นก็หมายความว่าเป็นน้องสาวของฉันเหมือนกัน ฉันจะเรียกเธอเหมือนที่เขาเรียกเธอ”

 

 

“โม่หันไม่เคยเรียกฉันแบบนั้นเหมือนกันค่ะ ฉันไม่ได้สนิทกับพี่เขาขนาดนั้นเพราะเพิ่งเจอเขาครั้งแรกเมื่อไม่นานมานี้ คุณเรียกชื่อฉันก็ได้ค่ะ” ซย่าชิงอีไม่ฝืนยิ้มอีกต่อไป

 

 

เฉินโหรวรู้สึกดีใจอยู่ลึกๆ ทีแรกเธอคิดว่าซย่าชิงอีที่อยู่ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้นจะมีความสำคัญกับโม่หัน แต่ดูท่าแล้วเธอน่าจะไม่ได้มีความสำคัญกับเขานัก

 

 

“อย่างนั้นถ้าเธอไม่ว่าอะไรฉันจะเรียกเธอว่าเสี่ยวซย่าละกัน” เฉินโหรวกระตุกแขนครั้งหนึ่งพร้อมกล่าว “ฉันหวังว่าเธอจะไม่ถือสาฉันเมื่อวานนะที่ฉันทำนิสัยไม่ค่อยดีเท่าไหร่”

 

 

“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ฉันไม่ถือสาอะไร” ซย่าชิงอีไม่ได้สนใจความรู้สึกของอีกฝ่ายอยู่แล้ว

 

 

เฉินโหรวอยากจะโกรธขึ้นมาอีกครั้ง เธอแค่ตบซย่าชิงอีท่าทางเย่อหยิ่งคนนี้ไปสองทีเท่านั้น เธอเคยต้องขอโทษใครอย่างนอบน้อมขนาดนี้และต้องพูดกับผู้หญิงคนอื่นด้วยเสียงอ่อนแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไร

 

 

“เป็นความผิดของฉันเอง พี่สาวคนนี้ผิดเอง ดูสิ ฉันทำอาหารเย็นเป็นการขอโทษเธอเลยนะ” รอยยิ้มยังฉายอยู่บนใบหน้าเฉินโหรว ขณะดึงตัวซย่าชิงอีไปทางห้องครัว

 

 

ซย่าชิงอีมองบนโต๊ะที่เต็มไปด้วยอาหาร ก่อนหันไปมองอีกฝ่าย หัวเราะในใจอย่างขบขัน

 

 

ผู้หญิงคนนี้โกหกได้อย่างหน้าไม่อายเลย

 

 

ในถังขยะยังมีถุงอาหารที่สั่งมาจากโรงแรม เธอสวมผ้ากันเปื้อนที่ไม่มีคราบอาหารเลอะอยู่แม้แต่นิด ดูท่าเหมือนเธอจะทำอาหารทั้งหมดอยู่บนโต๊ะกินข้าว

 

 

“ฉันยังไม่หิว คุณกินกับพี่… โม่หัน… แทนเถอะค่ะ” พูดจบก็หันหลังเดินเข้าห้องตัวเองไป อีกคนเรียกไล่หลังเธอมาอย่างไม่ยอมแพ้ “มากินด้วยกันสิ! เดี๋ยวโม่หันก็กลับมาแล้ว”

 

 

ผู้หญิงสองหน้าอย่างเฉินโหรวเองนั่นแหละที่ไม่อยากจะกินข้าวร่วมโต๊ะกับเธอ ซย่าชิงอีคิดขณะเดินเข้าห้อง

 

 

เมื่อโม่หันกลับมา เฉินโหรวยังคงนั่งอยู่บนโซฟา เธอดูโทรทัศน์ทั้งยังใส่ผ้ากันเปื้อนไว้อยู่ ทั้งบ้านตกอยู่ในความเงียบนอกจากเสียงจากโทรทัศน์ที่เปิดไว้

 

 

“คุณกลับมาแล้ว” เธอเดินเข้ามาต้อนรับเขา โอบแขนรอบลำคอของเขาอย่างต้องการแนบชิด

 

 

อีกฝ่ายวางกระเป๋าเอกสารในมือพลางใช้มือดันให้เธอห่างออกไป “ปล่อยก่อน ผมจะถอดเนกไท”

 

 

เธอถอยห่างเล็กน้อยก่อนแตะที่ข้อศอกของเขาแทน “คุณหิวหรือเปล่าคะ ฉันทำอาหารเตรียมไว้ให้คุณเยอะเลย”

 

 

เธอดันตัวเขาไปที่ห้องครัวให้ดูอาหารที่ยังไม่ถูกแตะต้องบนโต๊ะ “อาหารเย็นชืดหมดแล้ว ฉันจะไปอุ่นให้นะคะ คุณไม่ควรกินอาหารเย็นๆ ท้องไส้ยิ่งไม่ค่อยดีอยู่ด้วย”

 

 

โม่หันมองอาหารบนโต๊ะพลางเอ่ยขึ้น “ไม่เป็นไร ผมยังไม่ค่อยหิว วางไว้อย่างนี้ก่อนก็ได้” เขาถอดสูทที่สวมอยู่และถอดเนกไทออก ก่อนถาม “เธอกลับมาหรือยัง”

 

 

เฉินโหรวไม่พอใจเพราะรู้ว่าคนที่เขาถามถึงคือใคร “ค่ะ กลับมาแล้ว เธออยู่ในห้องนอนสักพักแล้ว”

 

 

เขาวางเสื้อผ้าลงและหันเดินไปทางห้องนอนของซย่าชิงอี เฉินโหรวดึงแขนเขาไว้ด้วยสีหน้าผิดหวังเสียใจ “ตั้งแต่คุณกลับมาเรายังไม่ได้คุยกันดีๆ เลย แต่คุณกลับถามหาเธอเนี่ยนะคะ”

ภาพรักสีจางกลางสมุทร

ภาพรักสีจางกลางสมุทร

เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เธอกลับพบว่าเธออยู่ในสภาพบาดเจ็บสาหัสและจำอะไรไม่ได้เลยสักอย่าง ชื่อ ที่อยู่ ครอบครัวและประวัติความเป็นมาล้วนถูกซัดหายไปจากความทรงจำทั้งหมด เบาะแสเดียวที่หลงเหลืออยู่มีเพียงชื่อ โม่หัน ทนายหนุ่มจากสำนักงานกฎหมายที่ลงท้ายไว้บนใบเสร็จค่ารักษาพยาบาลเท่านั้น เขาเป็นใครและเกี่ยวข้องอะไรกับเธอ ทำไมถึงดูแลค่าใช้จ่ายให้ทุกอย่างแต่ไม่เคยมาเยี่ยมเธอเลยสักครั้ง เมื่อถูกครอบงำด้วยความสงสัย เธอจึงตัดสินใจหนีออกจากโรงพยาบาลแล้วออกตามหากุญแจสุดท้ายที่จะไขความลับให้กับเธอ ทว่าเมื่อตามหาตัวโม่หันจนพบ เขากลับบอกเธอว่า “ขอโทษด้วยครับ ผมไม่รู้จักคุณ” เป็นไปได้ยังไงกัน เธอไม่เชื่อหรอกว่าเขาจะไม่รู้ว่าเธอเป็นใคร เธอต้องไขปริศนาเรื่องนี้และเรียกคืนความทรงจำทั้งหมดที่หายไปกลับมาให้ได้!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset