ตอนที่ 81 อย่าล้ำเส้น
อันนาผลักประตูก่อนค่อยๆ ก้าวเขาไปหาโม่หัน เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ได้เงยหน้าขึ้นมาและจัดการกับเอกสารตรงหน้าต่อ เธอผิดหวังเล็กน้อยแต่ก็ยังฉีกยิ้มขณะวางกาแฟลงบนโต๊ะทำงาน “เจ้านายคะ ฉันวางกาแฟไว้ตรงนี้นะคะ”
ทนายโม่พยักหน้าและตอบรับในลำคอเบาๆ “อืม” ตายังคงจ้องมองบนเอกสาร
อันนายังไม่ออกไปและยืนอยู่ข้างๆ เขาอยู่นานจนกระทั่งโม่หันเงยหน้าขึ้นมาถาม “มีอะไรเหรอ”
“เอ่อ เจ้านายคะ ฉันแค่อยากจะถามเรื่องคดีพิพาทของบริษัทอสังหาริมทรัพย์เซิ่งต้าว่าเราควรส่งเอกสารผลการเจรจาให้ทางบริษัทเซิ่งต้าไหมคะ”
โม่หันทำเพียงมองมาที่เธอ ก่อนก้มหน้าอ่านเอกสารในมือต่อ “ผมไม่ได้บอกคุณไปแล้วเหรอว่าจะส่งผลการเจรจาไปให้พวกเขาพรุ่งนี้เช้า”
เมื่อเห็นว่าเขาไม่สนใจ เธอก็หัวเราะออกมาอย่างรู้สึกเสียหน้า แต่เธอก็ไม่ยอมแพ้จึงแอบทำปากกาตกใกล้ๆ เท้าของโม่หัน “อุ๊ย ฉันบังเอิญทำปากกาของคุณตก ให้ฉันเก็บให้นะคะ”
อันนาส่งยิ้มพลางก้มตัวลง เธอมั่นใจว่าจากมุมนี้เขาจะต้องเห็นเนินอกของเธอ ผู้ชายทุกคนมีสัญชาตญาณและเธอไม่เชื่อว่าเขาจะไม่มีปฏิกิริยาอะไรเช่นกัน
ในจังหวะที่ลุกขึ้นยืน เธอก็เห็นเขายังคงนั่งอ่านเอกสารพลางจิบกาแฟ ท่าทางไม่ได้เปลี่ยนไปจากก่อนหน้านี้
เขายังคงเป็นทนายโม่ที่เย็นชาและห่างเหินซึ่งปฏิเสธคนอื่นโดยที่ไม่ต้องพูดอะไรสักคำ
อันนาผิดหวังเล็กน้อยก่อนวางปากกาลงบนโต๊ะแล้วเอ่ยขึ้น “ถ้าอย่างนั้นฉันขอตัวนะคะ”
โม่หันไม่ตอบอะไร ทว่าเมื่อเธอก้าวไปเพียงไม่กี่ก้าว น้ำเสียงเย็นชาของเขาก็ดังขึ้น “อันนา อย่าล้ำเส้น”
เธอหันกลับไปมองเขา “เจ้านาย…”
เขายังคงจ้องมองเอกสารบนโต๊ะ “อย่าเสียเวลาทำสิ่งที่ไม่มีประโยชน์”
เธอเกือบจะก้าวเข้ามาหาเขาและพูดเสียงดังว่าเธอรักเขา รักเขาจนหึงหวงแฟนสาวที่อยู่ต่างประเทศของเขาอยู่ทุกวัน เธอต้องการบอกทุกความรู้สึกของเธอให้เขาได้รู้ แต่เสียงโทรศัพท์ของเขาก็ดังขึ้นเสียก่อน เขามองหน้าจอโทรศัพท์ก่อนส่งสายตาบอกให้เธอออกไป
อันนาก้าวออกไปอย่างไม่เต็มใจนัก
หลังจากอันนาจากไป โม่หันก็กดรับสายหลังเห็นว่าเป็นสายจากซย่าชิงอี
[สวัสดีค่ะ ฉันมีบางอย่างจะบอกพี่] เธอกล่าว
เขามุ่นคิ้ว เหมือนจะเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยดีนัก “อะไรเหรอ”
[ฉันทำเรื่องย้ายคณะเรียบร้อยแล้วนะคะ หลังจากการสอบเดือนหน้า ฉันก็จะย้ายไปเรียนอีกคณะได้]
เขาหลับตาลง สูดหายใจเข้าลึกอย่างอดกลั้นอารมณ์ไว้ก่อนเอ่ยถามขึ้นในที่สุด “เธอรีบขนาดนั้นเลยเหรอ”
[ค่ะ]
“ย้ายไปคณะอะไรล่ะ” เขาถาม
[จิตวิทยาค่ะ] เธอเลือกคณะจิตวิทยาเพราะจากดูหลักสูตรทั้งหมดในมหาวิทยาลัย ดูเหมือนจิตวิทยาจะเป็นเพียงหลักสูตรเดียวที่เธอน่าจะเรียนจบได้ ว่ากันตามจริง หากไม่คิดถึงความรู้สึกของโม่หัน เธออยากจะลาออกเสียมากกว่า
“ช่างเถอะ เลือกตามที่เธออยากเรียนแล้วกัน อะไรก็ได้ที่คิดว่าเหมาะกับตัวเอง อีกอย่างทำไมวันนั้นเธอไม่บอกพี่ว่าทะเลาะกับคนอื่นในมหาวิทยาลัย เราต้องคุยกันเรื่องนี้ตอนเธอกลับมาถึงบ้าน”
[ทำไมฉันต้องบอกพี่ด้วย การทะเลาะกับคนอื่นเป็นเรื่องส่วนตัวของฉัน ไม่เกี่ยวกับพี่สักหน่อย]
“ไม่เกี่ยวกับพี่อย่างนั้นเหรอ” เขายกยิ้มน้อยๆ “พี่หวังว่าเธอจะยังจำได้ว่าพี่เป็นพี่ชายตามกฎหมายของเธอ เป็นผู้ปกครองคนเดียวของเธอ และมีสิทธิ์ที่จะรู้ทุกเรื่องที่เธอทำ”
[ฉันรู้ว่าพี่เป็นพี่ชายของฉัน ไม่ต้องย้ำนักหรอกค่ะ]
โม่หันรู้สึกตัวว่าเขาพูดเกินไป เขาจึงพูดเสียงอ่อนลงและเอ่ยอย่างอ่อนโยน “เธอแค่บอกพี่มาว่าเกิดอะไรขึ้น พี่แค่อยากจะรู้เท่านั้น”
ตอนที่ 82 หลบซ่อน
ซย่าชิงอีไม่อยากจะต่อล้อต่อเถียงกับปลายสายนานนักจึงปั้นเรื่องขึ้นมา “ไม่มีอะไรมากหรอกค่ะ เธอแค่ทำของรักฉันพังและก็ไม่ยอมขอโทษ วันนั้นฉันอารมณ์ไม่ดีเลยลงไม้ลงมือกับเธอไป”
เมื่อได้ยินดังนั้น โม่หันก็สังเกตได้ถึงความผิดปกติจากสิ่งที่เธอพูดแต่ไม่ได้กล่าวทักท้วงอะไร [แค่นั้นเองเหรอ]
“แค่นั้นแหละค่ะ”
[ถ้าเธอไม่อยากพูดถึงก็ช่างมันเถอะ แต่เธอก็น่าจะรู้ว่าพี่จะหาความจริงจนได้]
เธอไม่อยากจะคุยต่อและต้องการวางสายจากเขาตอนนี้
[อาการไข้ดีขึ้นหรือยัง] โม่หันถามต่อ
อีกฝ่ายงุนงง พนักงานในบริษัทต่างบอกว่าทนายโม่ของพวกเขาเป็นคนเงียบๆ แต่ทำไมเธอถึงรู้สึกว่าเขาจู้จี้ขี้บ่นกับเธออย่างกับคุณยายแก่ๆ เลย
เธอตอบผ่านๆ “ค่ะ ดีขึ้นแล้วค่ะ”
[อีกสักพักพี่จะกลับไป อย่าลืมกินยาด้วยล่ะ]
“ฉันรู้แล้วค่ะๆ แค่นี้นะคะ”
อันที่จริงเธออยากจะวางสายตั้งแต่ก่อนหน้านี้เพราะกลัวว่าเขาจะจับได้ว่าเธอโกหก ยังมีบางอย่างที่เธอไม่กล้าบอกเขา
เธอยอมฟังเจ้าหน้าที่จางหยางและรับงานนอกเวลาที่สำนักงานนักสืบระหว่างที่เธอเรียนหนังสือไปด้วย ไม่มีงานอะไรต้องทำมากนัก ถ้าไม่มีอะไรเธอก็ไม่ต้องไปที่นั่น เพียงแค่ต้องติดต่อกับเจ้านายเมื่อมีงานเข้ามาเท่านั้น ช่วยเขาวิเคราะห์ความคิดของเป้าหมายและพยายามที่หาเบาะแส และเพราะเธอได้รับการแนะนำจากจางหยาง เขาจึงคาดหวังกับความสามารถของเธอเป็นพิเศษพ่วงมาด้วยค่าแรงที่ค่อนข้างสูง
ซย่าชิงอีรู้สึกพอใจ เพราะหมายความว่าเธอไม่ต้องใช้เงินของโม่หันอีกต่อไป
โม่หันอยู่ที่บริษัทต่ออีกไม่นานนัก เขาอยากกลับให้เร็วขึ้นเพื่อถามซย่าชิงอีถึงการทะเลาะกันที่เกิดขึ้นให้รู้เรื่อง และรู้สึกปวดท้องขึ้นมากะทันหัน อีกทั้งยังไม่มียาอยู่ในห้องทำงาน ยาที่เหลือก็อยู่ที่บ้าน เขาจึงกลับบ้านหลังจากวางสายซย่าชิงอีไปไม่นานนัก
เมื่อเขามาถึงบ้านก็เห็นซย่าชิงอีในชุดนอนนั่งอยู่บนพรม กำลังดูโทรทัศน์พลางกินขนมไปด้วยในห้องนั่งเล่นตามปกติ เมื่อเห็นเขากลับมา เธอเพียงแค่หันหน้ามามองเขานิ่งๆ แล้วเอ่ยขึ้น “พี่กลับมาแล้ว”
เขาก้มตัวลงเปลี่ยนรองเท้า ก้าวเข้าไปทิ้งตัวนั่งบนโซฟาข้างพรม วางกระเป๋าลงอีกด้าน ยังคงปวดท้องอยู่และไม่อยากขยับตัวหลังจากขับรถกลับมาบ้านจึงเอนหลังลงบนโซฟาและหลับตาลง
“เข้าไปในห้องนอนของพี่ หยิบขวดยาเม็ดสีขาวจากลิ้นชักชั้นที่สองจากด้านซ้ายให้ที” เขาเอ่ยทั้งยังปิดตาอยู่ รู้สึกไม่มีเรี่ยวแรงหลงเหลืออยู่
เธอหันไปเห็นเขาที่ดูอาการไม่ค่อยดีนักก่อนถามขึ้น “พี่เป็นอะไรคะ”
“โรคกระเพาะน่ะ” เขาตอบกลับ
เธอรู้สึกแย่เล็กน้อยที่เห็นเขาอาการเป็นอย่างนี้ ลุกขึ้นยืนและเดินไปหยิบยาจากห้องนอนของเขาอย่างว่าง่าย และก้าวไปยังห้องครัวเพื่อเทน้ำอุ่นใส่แก้วมาให้
เขายังคงนั่งอยู่บนโซฟาหลังจากได้กินยาไป รู้สึกอาการดีขึ้นเล็กน้อย ก่อนพูดกับเธอ “เธอจะเริ่มเรียนจิตวิทยาเมื่อไหร่”
“อีกสองเดือนค่ะ”
“เธอแน่ใจเหรอว่าจะสอบผ่านแบบทดสอบเพื่อย้ายคณะน่ะ”
“แน่ใจค่ะ” เธอยืนกรานหนักแน่นกับเขา
โม่หันส่งยิ้ม “เธอจะไม่บอกพี่ว่าทะเลาะเรื่องอะไรจริงๆ เหรอ”
“ฉันไม่ได้บอกพี่ไปแล้วเหรอคะว่าผู้หญิงคนนั้นทำของฉันพังน่ะ”
“คิดว่าพี่จะเชื่อเธอเหรอ”
ซย่าชิงอีเกรงว่าถ้าเธอไม่ยอมบอกความจริงกับเขา เธอคงโดนถามและกดดันแบบนี้ต่อไปไม่หยุดแน่ เขาต้องการให้เธอรู้ว่าเขาอยากได้ยินความจริงจากปากเธอ
“พี่อยากรู้จริงๆ เหรอ” เธอเอ่ยถาม
“แน่นอนสิ แล้วตกลงทำไมเธอถึงทะเลาะกับเพื่อนร่วมชั้นจนถึงขั้นจะลาออกล่ะ”
“ถ้าพี่รู้แล้วพี่จะเสียใจไหม”
โม่หันส่งยิ้มให้แทนคำตอบ