ตอนที่ 87 โจ๊กลูกเดือย
หากแต่เธอไม่รู้ว่าคนไข้หนุ่มตรงหน้าเธอกลับนึกถึงแต่ภาพสุดท้ายที่เห็นซย่าชิงอีในรถของเขาเมื่อวานนี้ เธอคงเป็นคนที่คอยดูแลเขาตลอดทั้งคืน
ความรู้สึกหลากหลายถาโถมเข้ามาในใจของเขา เขาอยากพูดอะไรสักอย่างแต่ไม่รู้ว่าจะเริ่มจากตรงไหน
ไป๋อวี่เอ่ยขึ้นเสียงเบาอยู่ข้างเขา “อาจดูไม่น่าเชื่อ แต่นายเป็นคนสำคัญของน้องสาวนายจริงๆ นะ”
หลังจากหมอจากไป เขาก็ขอให้ไป๋อวี่ส่งโทรศัพท์ให้เขา โม่หันตั้งใจจะโทรหาหลิวจื้อหย่วน ผู้ช่วยหนุ่มของสำนักงานกฎหมายเพื่อบอกเรื่องที่เขาเข้าโรงพยาบาลและผ่าตัดอย่างกะทันหัน คิดว่าพวกเขาคงยังไม่รู้เรื่องนี้ อย่างเกรงว่าสถานการณ์ในสำนักงานคงต้องวุ่นวายหลังจากติดต่อเขาไม่ได้
ทว่าเมื่อเขาต่อสายหาอีกฝ่ายกลับพบว่าซย่าชิงอีได้ติดต่อไปที่บริษัทเพื่อบอกให้พวกเขาทราบเรื่องและเลื่อนงานของเขาออกไปก่อนรอให้เขาติดต่อกลับแล้ว
เมื่อได้ยินดังนั้นเขาก็นิ่งงันไป ก่อนหน้านี้เขาทำและจัดการทุกอย่างด้วยตัวคนเดียว แต่ตอนนี้ใครบางคนกลับก้าวเข้ามาทำหน้าที่นั้นในยามที่เขาป่วย ในขณะที่เขานอนอยู่บนเตียงเฉยๆ เท่านั้น
ทันใดนั้นเองความรู้สึกที่ตัวเขาเองก็อธิบายไม่ถูกก็ก่อตัวขึ้นในช่วงเวลาที่เขานอนอยู่เฉยๆ
ความเจ็บปวดบริเวณหน้าท้องบรรเทาลงมาก เขาไม่รู้สึกง่วงขณะที่นั่งอยู่บนเตียงสักนิด อาจเป็นเพราะได้นอนหลับไปนาน หลังจากจ้องมองออกไปนอกหน้าต่างราวยี่สิบนาทีเต็ม เขาก็วานไป๋อวี่ให้ไปเอาเอกสารที่ที่ทำงานมาให้ รู้สึกเบื่อที่ต้องนั่งบนเตียงเฉยๆ จึงตัดสินใจหาบางอย่างทำ
ไป๋อวี่จากไปพร้อมกับซย่าชิงอีที่กลับมาในเวลาพลบค่ำ
เธอยังคงสวมเสื้อผ้าชุดเดิมกับเมื่อคืน เสื้อคลุมตัวยาวพันอยู่รอบเอวของเธอจนถึงหัวเข่า สะพายกระเป๋าไว้บนหลัง ในมือถือถุงพลาสติกที่ไม่รู้ว่าใส่อะไรไว้ เธอไม่ได้แสดงสีหน้าอะไรออกมามากนักเมื่อเห็นเขาตื่นขึ้นมาแล้ว ทำเพียงมองมาที่เขาแวบหนึ่งก่อนก้มหน้าลงแล้วก้าวเข้ามาในห้องเงียบๆ อย่างรับรู้ว่าเขาฟื้นแล้ว
วางถุงพลาสติกในมือลงบนโต๊ะทั้งยังก้มหน้าอยู่ ก่อนเปิดมันออกมา
“อะไรน่ะ” โม่หันเอ่ยถาม
“อาหารค่ะ” ซย่าชิงอีเปิดถุงและหยิบกล่องเหล็กเก็บอุณหภูมิสีขาวออกมาเปิดฝาอย่างระมัดระวัง “โจ๊กลูกเดือยค่ะ ฉันซื้อมาจากทางเข้าโรงพยาบาลระหว่างทางที่กลับมาที่นี่น่ะค่ะ”
เธอหยิบช้อนออกมาจากกระเป๋า เทโจ๊กลงในชามก่อนส่งให้เขาพร้อมช้อน “กินสิคะพี่”
อีกฝ่ายมองเธอ มือของเขานิ่งไม่ขยับ
“มองอะไรล่ะคะ กินสิ หมอบอกว่าพี่กินได้แต่ไอ้นี่หลังจากผ่าตัด” ซย่าชิงอีคิดว่าเขาคงไม่ชอบกินโจ๊กลูกเดือย
เขามองเธออีกครั้ง รับชามมาและค่อยๆ กิน “เมื่อคืนเธอพาพี่มาส่งที่นี่ได้ยังไง”
“ฉันขับจักรยานพาพี่มาส่งค่ะ” ทันใดนั้นเธอก็นึกบางอย่างขึ้นมาได้และตะโกนขึ้นมากะทันหัน “อ๊ะ! ฉันลืมเอาจักรยานไปคืน”
“จักรยาน?” เขากล่าว
เธอหันมามองเขาก่อนพูด “ใช่ค่ะ อยู่ๆ พี่ก็ดับเครื่องและฉันก็ขับรถไม่เป็น แต่บังเอิญเจอจักรยานที่ไม่ได้ล็อกไว้ข้างทางตอนกลางดึกพอดีเลยพาพี่นั่งด้านหลังแล้วปั่นพาพี่มาส่ง”
โม่หันไม่รู้ว่าทำไมตัวเองถึงรู้สึกโกรธขนาดนี้และพูดเสียงดุ “ทำไมเธอไม่รอรถที่ขับผ่านมาช่วยหรือโทรเรียกรถพยาบาลล่ะ กลางดึกอย่างนั้น แถมโรงพยาบาลก็อยู่ตั้งไกล ทำไมเธอถึงเลือกจะขับจักรยาน คิดว่าตัวเองเก่งนักเหรอ ทำไมถึงคิดเรื่องไม่เข้าท่าแบบนี้!”
“พี่โกรธอะไรเนี่ย! คิดว่าฉันไม่อยากทำแบบนั้นเหรอ พี่หมดสติไประหว่างขับรถเมื่อวาน ฉันกลัวใจจะขาด ไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไง ดีแค่ไหนแล้วที่เจอจักรยานคันนั้นอยู่ข้างทาง ฉันเลยไม่ลังเลที่จะใช้มันพาพี่มาส่งที่นี่ยีงไงล่ะคะ”
โม่หันกล่าวขึ้น “ครั้งหน้าอย่าทำแบบนี้อีก ถ้าเกิดเรื่องอย่างนี้ขึ้นอีก อยู่เฉยๆ แล้วโทรเรียกรถพยาบาลให้เขามารับเธอ อย่าตัดสินใจบุ่มบ่ามแบบนี้”
ตอนที่ 88 ไม่ต้องทำงานแล้ว
“อีกนิดเดียวก็ถึงโรงพยาบาลแล้ว ทำไมฉันต้องโทรเรียกรถพยาบาลและรบกวนคนอื่นด้วยล่ะคะ”
โม่หันกินโจ๊กพลางคุยกับเธอไปด้วยจนไม่รู้ตัวว่าอาหารในชามพร่องหายไปหมดแล้ว เขาวางชามลงบนโต๊ะแล้วพูดกับอีกฝ่ายต่อ ระหว่างนั้นเอง ไป๋อวี่ก็กลับมา เขาพิงตัวกับประตูด้วยใบหน้ายิ้มแย้มขณะมองไปยังทั้งคู่ที่ถกเถียงกันอยู่
เขาก้าวเข้ามาและโยนเอกสารไปบนเตียงของโม่หันก่อนเอ่ยขึ้น “ฉันไม่เคยคิดว่าจะมีวันได้เห็นใครบางคนทำท่าไม่พอใจใส่เขาแบบนี้เลยนะเนี่ย”
โม่หันปรายตามองเขา “ยังมีเรื่องอีกมากที่นายไม่เคยเห็นมาก่อน”
ทว่าสายตาของไป๋อวี่ไม่ได้มองมาที่เขา กลับมองด้วยสายตายิ้มๆ ไปทางซย่าชิงอีที่นั่งบนเก้าอี้ข้างเตียงของโม่หัน “เธอเป็นน้องสาวของโม่หันจริงๆ เหรอ”
“ค่ะ ก่อนหน้านี้เราเคยเจอกันที่ร้านอาหาร” น้ำเสียงของเธอดังขึ้นอย่างไม่ปิดบังความรู้สึกใดๆ
ไป๋อวี่ส่งยิ้ม “โอ้ เธอจำได้ด้วย” และถามขึ้น “เธอดูเด็กมากเลย อายุเท่าไหร่แล้วล่ะ ยังเรียนหนังสืออยู่ใช่ไหม”
“ฉันอายุยี่สิบแล้วค่ะ ตอนนี้เรียนมหาวิทยาลัยอยู่”
เขาขยับเข้ามามองเธอใกล้ๆ ราวกับถูกเธอดึงดูด เขาไม่รู้มาก่อนว่าเด็กสาวผมสั้นเช่นเธอจะมีแววตาเด็ดเดี่ยวขนาดนี้ ดวงตาเป็นประกายราวกับตากวาง ระยิบระยับเหมือนกับดวงดาวบนฟากฟ้ายามค่ำคืน
“เธอดูน่ารักจังเลย แตกต่างจากพี่ชายของเธอลิบลับ” ไป๋อวี่ว่าเข้าให้
“ไป๋อวี่!” โม่หันมองเขาตาขวาง ขณะที่เธอส่งสายตาไปหาเขาอย่างสงสัย
“ฉันพูดจริงๆ นะ หน้าตาดีแล้วจะมีประโยชน์อะไรในเมื่อเขาเอาแต่ทำหน้าบูดบึ้งอยู่อย่างนี้ เธอดีกว่าเขาตั้งเยอะ” ไป๋อวี่เย้าแหย่อีกฝ่าย
ซย่าชิงอีเหลือบมองพี่ชายตัวเองและหันไปหาเพื่อนของอีกฝ่ายด้วยสีหน้าบึ้งตึงอย่างไม่สบอารมณ์ ก่อนเอ่ยขึ้น “ฉันก็รำคาญที่พี่เขาเอาแต่ทำหน้าแบบนั้นเหมือนกันค่ะ อย่างกับมีใครไปติดหนี้เขาอยู่แปดล้าน
ดอลลาร์อย่างนั้นแหละ”
จบประโยค ไป๋อวี่ก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะท้องคัดท้องแข็งพลางเอามือกุมท้องไปด้วย หันไปพูดกับเพื่อนของตัวเอง “นี่ โม่หัน ทำไมน้องสาวนายถึงคุยสนุกแบบนี้เนี่ย แนะนำเธอให้ฉันหน่อยสิ!”
อีกฝ่ายส่งสายตาเย็นยะเยือกให้เขาแทนคำตอบ
“เอาล่ะๆ ถ้านายไม่อยากแนะนำเธอให้ฉันรู้จักก็ไม่เป็นไร!” ไป๋อวี่กล่าวอย่างยอมแพ้
เขามองไป๋อวี่แล้วเอ่ย “นอกจากเอกสาร ฉันก็ไม่มีอะไรต้องรบกวนนายแล้ว กลับไปซะ”
“นายจะไล่ฉันออกไปแบบนี้เลยเหรอ” ไป๋อวี่ไม่อยากจะเชื่อ “ลองคิดดูสิ ฉันอยู่เป็นเพื่อนนายตั้งนานเท่าไหร่”
“นั่นเป็นเหตุผลที่นายควรกลับไปได้แล้ว” เขายังคงกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา
ไป๋อวี่กลอกตามองโม่หัน พูดขึ้น “ได้ๆ ไปแล้วๆ … เอาเถอะ ถ้าคราวหน้านายป่วยแล้วมาขอให้ฉันช่วยอีก ฉันจะคิดให้ดีๆ ก่อนแล้วกัน”
อีกฝ่ายไม่หันมองเขาพร้อมหยิบเอกสารขึ้นมาพลิกดูและกล่าวลา “ลาก่อน”
ไป๋อวี่จากไปอย่างจำใจ ทิ้งให้ซย่าชิงอีนั่งอยู่ข้างเตียงของชายหนุ่มหนึ่งเดียวในห้อง เมื่อเห็นว่าเขายังคงกวาดสายตาไปตามเอกสารในมือทั้งที่ยังป่วยอยู่ เธอก็รู้สึกโกรธเล็กๆ “พี่เพิ่งฟื้นขึ้นมา ทำไมรีบร้อนกลับไปทำงานนักล่ะคะ”
เขาแปลกใจนิดๆ กับน้ำเสียงของเธอ แต่ก็ทำเพียงส่งยิ้มให้ “ทั้งวันมานี้พี่ไม่ได้ทำงานเลย แค่เอาเอกสารมาอ่านคร่าวๆ เท่านั้นเอง”
“มันก็ยังนับว่าเป็นงานนี่คะ โรคกระเพาะของพี่รุนแรงขึ้นจนกลายเป็นอาการกระเพาะทะลุแล้ว พี่ช่วยใส่ใจสุขภาพของตัวเองมากกว่านี้ไม่ได้เหรอคะ”
คนฟังจ้องเข้าไปในแววตาของเธอเนิ่นนาน ราวกับถูกดึงดูดให้เข้าไปหา รับรู้ได้ถึงความเป็นห่วงที่เธอมีให้จนทำให้เขาอดยิ้มออกมาไม่ได้
นี่เป็นครั้งแรกที่ความอบอุ่นได้เข้ามาเติมเต็มในใจของเขาจนเอ่อล้น
เขาส่งยิ้มให้เธออย่างอ่อนโยนก่อนวางเอกสารในมือลง “พี่หยุดก็ได้ จะเลิกทำแล้ว ไว้ค่อยกลับไปทำงานหลังจากหายดีแล้วกันนะ”
ซย่าชิงอีคิดไม่ถึงว่าครั้งนี้เขาจะยอมฟังคำของเธอ ปกติเขาไม่ค่อยใส่ใจคำพูดของคนอื่นไม่ใช่เหรอ