ตอนที่ 89 เด็กน้อย
“พี่เบื่อหรือเปล่าคะ” ซย่าชิงอีเอ่ยถาม
“ไม่ขนาดนั้นหรอก”
“ฉันจะพาพี่ไปเดินเล่น มานั่งบนรถเข็นนะคะ ฉันจะเข็นรถพาพี่ไปสูดอากาศข้างนอกเอง”
“เธอเองไม่ใช่เหรอที่เป็นคนอยากออกไปน่ะ” เขากล่าว
อีกฝ่ายชะงักไปชั่วครู่ก่อนพยักหน้ายอมรับ “โรงพยาบาลกลิ่นไม่ค่อยดีน่ะค่ะ ฉันไม่ชอบ”
เขามองเธอ พลิกผ้าห่มออกและขยับลงจากเตียง “ไปสิ”
“งั้นฉันจะไปเอารถเข็นข้างนอกมานะคะ” เด็กสาวลุกขึ้น
โม่หันรั้งเธอไว้ “ไม่ต้องหรอก พี่ไม่ได้เจ็บขา ยังเดินเองได้อยู่”
ความเจ็บบริเวณหน้าท้องหายไปหมดแล้วหลงเหลือเพียงความอ่อนเพลียเล็กน้อย เขาจึงนั่งพักบนเตียง ก่อนลุกขึ้นยืนพลางมองไปนอกหน้าต่างเห็นลมพัดแรงด้านนอก อากาศดูท่าทางหนาวเย็น เขาหยิบเสื้อคลุมของตัวเองที่วางอยู่ข้างเตียงมาสวมทับชุดคนไข้แล้วหันไปบอกกับซย่าชิงอี “ข้างนอกอากาศเย็น สวมเสื้อผ้าให้หนากว่านี้หน่อยสิ”
คนฟังตอบรับ “ไม่หนาวค่ะ ฉันเพิ่งกลับมาจากข้างนอก”
“สวมซะ”
เธอมองเสื้อกันลมที่ตัวเองสวมอยู่และกล่าว “แต่ฉันก็ใส่แค่ตัวนี้ทับตอนที่อยู่ด้านนอกนะคะ”
“แล้วทำไมไม่ใส่เสื้อผ้าให้หนากว่านี้ตอนออกมาด้านนอกล่ะ”
เธอต่อว่าเขาในใจ อย่างคิดว่าถ้าวันนี้เธอไม่ต้องไปๆ มาๆ ระหว่างบ้านกับโรงพยาบาล คงมีเวลากลับไปหาเสื้อผ้าใส่ให้หนากว่านี้ แต่ก็ตอบเขากลับเสียงเรียบ “ช่างมันเถอะค่ะ”
คนป่วยถอนหายใจ ถอดเสื้อคลุมที่ตัวเองเพิ่งใส่และสวมมันให้กับอีกฝ่าย เธอจ้องเขาอย่างไม่เชื่อสายตา “ไม่ต้องหรอกค่ะพี่”
“สวมซะ” เขาเอ่ยเสียงหนักขณะที่มือก็กลัดกระดุมเสื้อคลุมให้ทีละเม็ด
จังหวะที่เธอจะพูดบางอย่าง โม่หันก็เดินออกไปนอกห้องคนไข้แล้วให้เธอต้องก้าวตามเขาไป “พี่จะไปไหน”
“แล้วเธออยากไปไหนล่ะ” เขาหันหน้ากลับมาถามเธอ
เธอนิ่งคิดชั่วขณะก่อนเอ่ยอย่างยิ้มแย้ม “ไปเดินเล่นที่นั่นกันเถอะค่ะ”
“ที่ไหน”
“ห้องเด็กอ่อนค่ะ”
คนได้รับคำตอบไม่เข้าใจว่าทำไมเธอถึงอยากไปที่นั่น แต่ก็ตามเธอไปอย่างไม่ขัด เขาก้าวยาวๆ เดินไปข้างกายเธอ “เธอรู้ทางไปเหรอ”
“รู้ค่ะ” เธอก้าวไปในลิฟต์ กดไปที่ชั้นสามและกล่าวสำทับ “ฉันเคยไปที่นั่นครั้งหนึ่ง”
เขายืนข้างๆ และมองเสี้ยวหน้าด้านข้างของเธอ สัมผัสได้ถึงกระแสความสุขที่แผ่ออกมา อย่างไม่เข้าใจว่าทำไมห้องเด็กอ่อนถึงทำให้เธอมีความสุขขนาดนี้
“ถึงแล้วค่ะ” เธอพาเขาเดินมาตามทางเดิน เลี้ยวมาไม่กี่ครั้งก็เจอห้องเด็กอ่อน ในตอนนั้นเองที่เธอยืนอยู่หน้ากระจกใสและมองเข้าไปยังเด็กทารกที่นอนบนเตียงเล็กๆ ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม
ซย่าชิงอีมองเด็กน้อยที่ส่งยิ้ม ยกเท้าเตะสะเปะสะปะไปรอบๆ บนเตียง ก่อนว่าขึ้น “นี่เป็นที่เดียวในโรงพยาบาลที่ฉันชอบ”
เขาก้าวมายืนข้างๆ และทำเพียงจ้องมองเธอ “ทำไมล่ะ”
ซย่าชิงอีส่ายหัวและเอ่ย “ฉันไม่รู้ค่ะ” มือบางลูบกระจกอย่างแผ่วเบาอย่างต้องการสัมผัสเด็กน้อยตรงหน้าเหล่านั้น “ฉันรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลนี้มานาน หลังจากฟื้นขึ้นมาและเริ่มเดินได้ ฉันก็เดินไปทั่ว หาที่ที่ฉันจะได้อยู่กับตัวเองจนมาพบที่นี่”
แววตาของเธอเต็มไปด้วยความตื้นตันยินดี “พี่ไม่คิดว่าพวกเขาดูมีความสุขเหลือเกินบ้างเหรอคะ” เธอไม่ละสายตาไปจากเหล่าเด็กน้อยแม้แต่วินาทีเดียว “พวกเขามีชีวิตอีกยาวไกล มีเวลามากมายให้พบเจออีกหลายสิ่ง ได้เติบโต ได้พบโอกาสในอนาคตข้างหน้าอีกหลายอย่าง”
เขาหันมองเสี้ยวหน้าของเด็กสาวและเห็นหยดน้ำใสๆ ไหลลงมาจากดวงตาของเธอ
โม่หันเอื้อมมือไปเช็ดน้ำตาบนใบหน้าเธออย่างอ่อนโยน พลางเอ่ยขึ้น “ร้องไห้ทำไม”
อีกฝ่ายกระพริบตา ยกมือแตะใบหน้าของตัวเองและนิ่งงันไป “ฉันร้องไห้เหรอ” โม่หันทำเพียงจ้องหน้าของเธอเงียบๆ
ซย่าชิงอีปาดน้ำตาของตัวเองออกจากใบหน้า ส่งยิ้มแล้วว่าขึ้น “ฉันนี่แปลกจริงๆ”
ตอนที่ 90 พ่อแม่ของเขา
“กลับกับเถอะ” เขาเอ่ย
เธอพยักหน้ารับ “ค่ะ ไปกัน”
โม่หันเดินนำขณะที่อีกคนก้าวตามหลังเขาไปพลางพูดขึ้น “คืนนี้พี่นอนที่นี่คนเดียวนะคะ ในห้องคนไข้ของพี่มันเล็กเกินไป ฉันจะกลับไปนอนที่บ้านแล้วจะกลับมาตอนเช้าพรุ่งนี้ค่ะ”
เขาหยุดเท้าและกล่าว “พี่หมายถึง กลับบ้านกันเถอะ”
“พี่ยังต้องอยู่ที่โรงพยาบาลต่อไม่ใช่เหรอคะ”
“พี่จะไปทำเรื่องขอออกจากโรงพยาบาลแล้ว”
“แต่พี่ยังไม่…”
“พี่ไม่เป็นไรแล้ว ไปพักที่บ้านดีกว่า กลับบ้านกันเถอะ”
ทั้งคู่เดินตรงไปที่ล็อบบี้เพื่อทำเรื่องออกจากโรงพยาบาลก่อนกลับไปเก็บของที่ห้องคนไข้ และออกจากโรงพยาบาลในเวลาถัดมา พวกเขาต้องกลับบ้านด้วยแท็กซี่ เพราะรถของโม่หันถูกตำรวจยึดเอาไว้เมื่อเช้าหลังจากถูกจอดทิ้งไว้ข้างทางเมื่อคืนนี้
ซย่าชิงอีถอดเสื้อคลุมของตัวเองทันทีที่มาถึงบ้าน เธอตั้งใจจะไปอาบน้ำและเข้านอน แต่กลับถูกอีกคนรั้งเอาไว้ “พี่มีบางอย่างจะบอกเธอ”
“อะไรคะ”
เขาวางของของตัวเองบนโต๊ะพลางทิ้งตัวนั่ง และว่าขึ้น “มันเป็นสิ่งที่พี่ตั้งใจจะบอกเธอก่อนหน้านี้”
เธอนิ่งคิดย้อนไปก่อนนึกได้ว่าเขาเคยจะบอกบางอย่างกับเธอครั้งที่ทะเลาะกันก่อนหน้านี้ ตอนนั้นเขาบอกว่าจะรอให้ถึงเวลาที่เหมาะสมก่อนถึงจะบอกให้เธอรู้
“ที่เธอถามพี่ว่าทำไมถึงไม่บอกเรื่องของเธอให้แฟนเก่าและพ่อแม่ของพี่รู้”
คนฟังรู้สึกอึดอัดใจขึ้นมาเล็กน้อยเมื่อได้ยินเขาใช้คำว่า ‘แฟนเก่า’ เฉินโหรวเพิ่งจะประกาศกับเธออย่างภาคภูมิใจว่าเป็นแฟนสาวของเขาเมื่อไม่นานมานี้เอง ในชั่วพริบตาเดียวเธอก็กลายเป็นแฟนเก่าเสียแล้ว
“นั่งลงสิ” เขาชี้ที่ที่ว่างข้างตัว “เรื่องมันค่อนข้างยาวน่ะ”
เมื่อดูท่าทีของเขา เธอก็สัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่จริงจังขึ้น เธอนั่งลงตามคำเขาอย่างว่าง่าย
“เธอคิดว่าพี่เป็นคนยังไง” เขาถาม
“คิดว่าพี่เป็นนักกฎหมายที่น่าเกรงขามและมีฐานะค่ะ” เธอตอบไปตามความรู้สึกตรงๆ
อีกฝ่ายหัวเราะ “เธอเคยได้ยินเรื่องพ่อแม่ของพี่ไหม”
ซย่าชิงอีส่ายหน้า เธอเคยได้ยินมาบ้างจากผู้ช่วยของเขาที่บริษัท พวกเขาบอกว่าโม่หันเป็นคนลึกลับและเรียนอยู่ที่อเมริกา ตอนที่ได้ยินว่าเขากลับมาตั้งสำนักงานกฎหมายของตัวเองที่จีนด้วยเงินของตัวเองโดยที่ไม่ได้มีใครยื่นมือเข้าช่วยเหลือก็ยังตกใจอยู่ไม่น้อย เขากลับมาทำงานตัวคนเดียวหลังจากเรียนจบ
ล่าสุดที่ได้ข่าวเกี่ยวกับพ่อแม่ของเขาคือพวกเขาเป็นนักธุรกิจที่ร่ำรวยในอเมริกา จึงเป็นที่เข้าใจได้ว่าเหตุใดเขาจึงมีเงินทุนมากพอในการตั้งบริษัทของตัวเองขึ้นมา ที่น่าแปลกคือแม้จะเป็นคนสนิทกับเขาเพียงใดก็ไม่เคยมีใครได้ยินเขาพูดถึงเรื่องของพ่อแม่ของตัวเองมาก่อน ครั้งหนึ่งเคยมีคนพูดถึงเรื่องนี้ต่อหน้าเขาจนโดนโม่หันไล่ออกไปเมื่อเดือนก่อน
จากนั้นก็ไม่มีใครกล้าพูดเรื่องนี้ต่อหน้าเขาอีก
“พี่โตที่อเมริกา ตอนยังเล็กก็เป็นเหมือนเด็กคนอื่นๆ นั่นล่ะที่พ่อแม่คอยประคบประหงมดูแล พี่เหมือนเด็กคนอื่นที่มีของเล่นมากมาย เหมือนเด็กคนอื่นที่ถูกส่งไปเรียนมหาวิทยาลัยชั้นนำ แล้วก็เป็นหนึ่งในสามอันดับแรกของรุ่น ชีวิตของพี่ดูเหมือนจะมีพร้อมทุกสิ่ง อาจจะดีกว่าบางคนด้วยซ้ำ
“จนกระทั่งวันหนึ่ง ตอนนั้นพี่อายุแปดขวบ พี่กลับมาจากโรงเรียนและเห็นพ่อทำร้ายแม่ แม่ล้มลงบนพื้นในห้องนั่งเล่น เลือดและเศษแก้วแตกกระจายเต็มพื้น ผมเผ้าของแม่พันกันยุ่งเหยิง น้ำตาพรั่งพรูอาบแก้มขณะที่พ่อดุด่าว่ากล่าวใส่และเตะอย่างแรงจนร่างของแม่กลิ้งจากห้องนั่งเล่นมาจนถึงจุดที่พี่ยืนอยู่ แม่จับขากางเกงของพี่หลังจากเห็นพี่แล้วขอให้พี่ช่วย”
ความหวาดกลัวจนน่าขนลุกแล่นไปทั่วร่างของซย่าชิงอีระหว่างฟังเรื่องที่เขาเล่า ทว่าเขากลับไม่ได้แสดงท่าทีใดๆ ขณะที่เธอมองดูเขาย้อนเล่าเรื่องราวในอดีตของตัวเอง