ภาพรักสีจางกลางสมุทร – ตอนที่ 115 พี่ชายผู้หล่อเหลา / ตอนที่ 116 ชีวิตและความตาย

ตอนที่ 115 พี่ชายผู้หล่อเหลา

 

 

กลุ่มเด็กสาวนั่งคุยกับซย่าชิงอีพลางใช้หางตาเหลือบมองใบหน้าหล่อเหลาของโม่หันเป็นระยะ

 

 

ก่อนที่พวกเธอจะจากไป เด็กสาวคนหนึ่งกระซิบถามข้างหูซย่าชิงอี “ฉันขอเบอร์พี่ชายของเธอได้หรือเปล่า”

 

 

ซย่าชิงอีสังเกตสายตาของอีกฝ่ายที่มองไปที่โม่หันอยู่เนืองๆ ตั้งแต่ที่เขาเข้ามา และหวังให้เธอบอกเบอร์ของเขากับเธอ เธอจึงตอบกลับเธอไปเบาๆ “ไม่ได้ค่ะ ยอมแพ้ซะเถอะ”

 

 

เธอไม่ได้หันกลับไปมองคนถามเป็นรอบที่สองขณะที่อีกฝ่ายหน้าขึ้นสีทันทีและวิ่งหนีไปอย่างเขินอาย เธอหันกลับมาพร้อมอาการกลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่

 

 

“พวกเธอพูดอะไรกัน” เขาเอ่ยถาม

 

 

“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ”

 

 

เธอเพิ่งมานึกบางอย่างขึ้นได้และมองเขาอย่างอารมณ์ดีก่อนว่าขึ้น “พี่คะ พี่ต้องเลี้ยงมื้อเที่ยงฉันด้วยนะคะ”

 

 

“ทำไมล่ะ”

 

 

“เพราะฉันช่วยพี่แก้ปัญหาน่ะสิ”

 

 

“ปัญหาอะไรของเธอ”

 

 

“ไม่บอกหรอกค่ะ” เธอเงยหน้ามองและทำเพียงหัวเราะใส่เขา

 

 

ตลอดสองวันที่เมือง F ซย่าชิงอีไม่ได้พาเขาไปสถานที่ท่องเที่ยวที่มีคนพลุกพล่านมากนัก พวกเขาทำเหมือนเป็นวันหยุดธรรมดาและใช้เวลาส่วนใหญ่ในการอาบแดดและเดินเล่น

 

 

ในคืนสุดท้าย ตอนแรกเด็กสาวอยากพาเขาไปนวดผ่อนคลาย บอกว่ามันจะช่วยให้เขาผ่อนคลายจากความเมื่อยล้าแต่เขาก็ปฏิเสธ เธอจึงลงเอยด้วยการมานอนนวดบนเตียงคนเดียวและมันก็เจ็บจนเธอแทบร้องไห้ออกมา ก่อนที่หลังจากนั้นจะผลฌอยหลับลงไปให้โม่หันต้องตามหาตัวไปทั่วกว่าครึ่งชั่วโมงและแบกเธอกลับมานอนที่ห้องพัก

 

 

หลังกลับมาจากเมือง F เขาก็กลับเข้าสู่โหมดคนบ้างาน ยังมีงานรอให้เขาสะสางอยู่ และเขาก็พบว่าเป็นเรื่องยากไม่น้อยที่จะสลัดความขี้เกียจออกจากตัวหลังจากกลับมาจากการเที่ยว

 

 

เป็นครั้งแรกในชีวิตที่รู้สึกว่าไม่มีแรงจูงใจในการทำงานนัก

 

 

อาจเป็นเพราะอยากหาเงินให้ได้มากๆ แต่สำหรับเขาที่สำนักงานกฎหมายของเขากำลังไปได้สวยและชื่อเสียงที่ได้รับมาจากการทำรายได้ถล่มทลายก็เป็นสิ่งที่ใครๆ ต่างก็ทราบดี ทำไมเขาต้องทำงานหนักทุกวันเช่นนี้ เขาสามารถกลับบ้านเร็วๆ ไปกินข้าวกับซย่าชิงอีและใช้ชีวิตให้สบายกว่านี้ได้ด้วยซ้ำ

 

 

เมื่อคิดดังนั้น เขาก็ยิ้มและส่ายหน้ากับตัวเอง ดูหมือนเขาจะยังติดความสบายระหว่างที่ไปเที่ยววันหยุดจนคิดเรื่องพวกนี้ขึ้นมา

 

 

อีกด้านหนึ่ง หลังจากกลับมาไม่นานซย่าชิงอีได้รับการแจ้งจากมหาวิทยาลัยว่าเธอสอบผ่าน และสามารถย้ายไปเรียนจิตวิทยาได้ในเทอมหน้า

 

 

เธอบอกเรื่องนี้กับโม่หันและเรียกร้องรางวัลจากเขาด้วยการให้พาไปกินอาหารทะเลนอกบ้าน

 

 

อีกฝ่ายเอ่ยกับเธอว่าช่วงนี้เขาค่อนข้างยุ่งกับการทำคดีที่ยาก เขาจะพาเธอไปหลังเสร็จจากการทำคดีนี้

 

 

เธอเฝ้ารอวันที่เขาจะพาเธอไปกินเลี้ยงอย่างใจจดใจจ่อ แต่ก่อนที่จะถึงวันนั้นกลับมีบางอย่างเกิดขึ้นเสียก่อน

 

 

กลางดึกคืนหนึ่ง ซย่าชิงอีเริ่มรู้สึกกังวลเมื่อเห็นว่าโม่หันยังไม่กลับบ้าน

 

 

เธอจำได้ว่าโทรหาเขาตั้งแต่ตอนที่เธอกลับมาถึงบ้านและตั้งใจจะบอกให้เขาช่วยซื้อเค้กถั่วแดงมาให้ จากนั้นก็นั่งลงบนโซฟาและดูโทรทัศน์รอเขา แต่จนเวลาล่วงเลยไปถึงห้าทุ่มแล้วเขาก็ยังไม่กลับมา

 

 

ความกังวลเริ่มก่อตัวขึ้น ปกติแล้วอีกฝ่ายมักกลับมาดึกที่สุดก็ราวๆ สี่ทุ่มเสมอแม้ว่าจะงานยุ่งมากแค่ไหน แต่นี่ปาเข้าไปห้าทุ่มแล้วเขาก็ยังไม่ปรากฏตัวให้เห็น

 

 

เธอโทรหาเขาแต่กลับได้ยินแต่เสียงที่บอกว่าโทรศัพท์ถูกปิดเครื่องไว้อยู่ จึงโทรไปที่บริษัทของเขา รอสายอยู่นานก็ไม่มีใครรับสาย ในที่สุดจึงจำต้องโทรหาเลขาของเขาและในที่สุดก็มีคนรับสายเธอเสียที

 

 

เลขาของเขาบอกว่าโม่หันบอกให้เธอจองตั๋วเครื่องบินไปอเมริกาตอนที่เธอกำลังจะเลิกงาน เป็นเที่ยวบินตอนกลางคืนจึงคิดว่าตอนนี้เขาน่าจะอยู่บนเครื่องบิน

 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 116 ชีวิตและความตาย

 

 

ซย่าชิงอีที่คิดว่าเขายุ่งอยู่กับงานรู้สึกโกรธขึ้นมา เขาไม่บอกเธอสักคำว่าจะบินไปอเมริกา เธอไม่รู้ว่าเขาจะกลับมาเมื่อไรด้วยซ้ำ และที่สำคัญเขาไม่ได้ซื้อเค้กถั่วแดงของโปรดของเธอมาให้ด้วย

 

 

คืนนั้นเธอนอนไม่หลับตลอดทั้งคืนราวกับว่ามีหินหนักๆ อยู่ในสมองกดทับให้เธอสับสนมึนงง รู้สึกเวียนหัวและปวดขมับขึ้นมาทันที อยากจะพูดแต่ก็พูดอะไรไม่ออก

 

 

เช้าวันถัดมา เด็กสาวตื่นขึ้นมาด้วยเสียงแตกของบางอย่างที่ดังขึ้น เธอเปิดเปลือกตาขึ้นและคิดบางอย่างขึ้นมาได้ทันที

 

 

เธอรู้แล้วว่าทำไมเขาถึงไปอเมริกา

 

 

เธอลุกจากเตียงและเห็นขวดแก้วข้างหน้าต่างตกลงมาแตกเป็นชิ้นๆ กระจัดกระจายบนพื้น แต่เธอก็ไม่มีแรงที่จะลุกไปเก็บกวาดมันตอนนี้ ปาดเหงื่อเย็นๆ ออกจากใบหน้าก่อนหยิบโทรศัพท์มาโทรหาโม่หัน

 

 

รอสายอยู่นานก่อนที่คนปลายสายจะรับ ได้ยินเสียงเหนื่อยๆ ของเขาดังลอดเข้ามา [มีอะไรเหรอ]

 

 

“พี่ไม่เป็นอะไรใช่ไหมคะ”

 

 

เขาเงียบไปนานและตอบกลับ [พี่สบายดี]

 

 

เมื่อได้ยินเสียงของเขาเธอสัมผัสได้อย่างบอกไม่ถูกทันทีว่าตอนนี้เขาคงรู้สึกไม่ค่อยดีนัก

 

 

“จริงๆ ฉันโทรหาพี่เมื่อวานแต่พี่ไม่รับสาย เลยโทรไปถามคนอื่นดูเลยรู้ว่าพี่บินไปอเมริกา”

 

 

[พวกเขาพูดอะไรกับเธอหรือเปล่า] เขาถาม

 

 

“ไม่ค่ะ บอกแค่ว่าไปเพราะเรื่องส่วนตัว”

 

 

โม่หันนิ่งเงียบไปเนิ่นนานจนเธอได้ยินเสียงลมหายใจแผ่วเบาของอีกฝ่ายผ่านปลายสาย

 

 

[พ่อพี่… เขา… ตายแล้ว…] เขาเอ่ยขึ้น

 

 

น้ำเสียงปวดใจถูกส่งมาตามสายโทรศัพท์ผ่านมาถึงในใจของเธอ

 

 

แม้จะอยู่ห่างกันคนละซีกโลกและเชื่อมหากันและกันด้วยเพียงโทรศัพท์สองเครื่อง แต่ทว่าก็เป็นครั้งแรกที่เธอสัมผัสได้ถึงความโศกเศร้าและสิ้นหวังของเขา แม้ว่าอีกฝ่ายจะพยายามหลบซ่อนมันเพียงใดก็ตาม

 

 

เพราะบางอย่างก็ไม่สามารถปิดบังได้

 

 

ซย่าชิงอีอยากจะปลอบเขาแต่คำพูดก็ติดอยู่ที่ปาก จนสุดท้ายก็พูดอะไรออกมาไม่ออก

 

 

พลางคิดว่าทุกสิ่งที่เธอพูดมันคงไม่จำเป็นและพบว่าการพูดปลอบโยนใครสักคนไม่ใช่เรื่องง่ายดายนัก

 

 

มีเรื่องอีกมากมายที่ซับซ้อนมากกว่าที่คิดไว้

 

 

[เขาเสพยาเกินขนาดจนเห็นภาพหลอนและเริ่มร้องตะโกนไปตามถนนทั้งที่ถือปืนในมือ เขาทำร้ายคนที่เดินผ่านมา… และในที่สุดตำรวจก็ยิงเขา

 

 

[หลังจากถูกส่งตัวเข้าโรงพยาบาล หมอฉีดยาระงับประสาทให้เขาแต่ก็ตรวจเจอว่าเส้นเลือดของเขาทั้งหมดของเขาอยู่ในสภาพที่ย่ำแย่

 

 

[แม้เขาจะไม่ถูกยิง เขาก็จะตายในไม่ช้าอยู่ดี

 

 

[ชีวิตของเขา… ต้องมาจบลงแบบนี้เพราะเขาทำตัวของเขาเอง]

 

 

โม่หันพูดต่อ พึมพำเสียงเบาราวกับบอกกับตัวเองอยู่และต้องการพูดทุกอย่างที่เขารู้ [พี่กลับมาแค่วันเดียวก็มารู้ว่าพ่อกับแม่หย่ากันได้สองปีแล้ว สองปีที่ไม่แม้แต่จะบอกพี่ว่าพวกเขาหย่ากัน]

 

 

เธอเงียบฟังอยู่ที่อีกฝั่งของปลายสายและไม่ได้ตอบกลับไป

 

 

น้ำเสียงของเขาค่อยๆ หนักแน่นขึ้น [พี่ว่าจะอยู่ที่นี่สักพัก จัดการเรื่องงานศพ หุ้นบริษัทของเขาตกฮวบเพราะเรื่องนี้ ไม่ว่าจะเพราะความรู้สึกของพี่หรือความเหมาะสม พี่ก็ต้องรับผิดชอบมัน]

 

 

“พี่จะกลับมาเมื่อไรคะ” เธอส่งเสียงออกมาเป็นครั้งแรก

 

 

[เร็วที่สุดเท่าที่พี่ทำได้]

 

 

“ฉันจะรอพี่อยู่ที่บ้านนะคะ” เธอคิดก่อนเอ่ยสำทับ “พี่รู้ดี ฉันจะอยู่ตรงนี้รอพี่กลับมาเสมอนะคะ”

 

 

ประโยคจากปลายสายที่ได้ยินทำให้เขานิ่งชะงักไป

 

 

ความเงียบไหลเนิบช้าไปตามเวลาที่หมุนผ่าน

 

 

เขายืนอยู่ที่หัวมุมของถนนสายหนึ่งในอเมริกา เสียงระฆังที่ดังมาจากโบสถ์ด้านหลังลอยกระทบเข้าโสตประสาท

 

 

ประตูโลหะเก่าแก่ของโบสถ์ถูกปิดสนิท ผู้คนด้านในต่างกุมมือสวดภาวนาและร้องเพลงสรรเสริญต่อพระเจ้าด้วยแรงศรัทธา

 

 

ในตอนนั้นเองเขาหันหน้าไปมองยอดสูงของโบสถ์ที่อยู่ลิบๆ และว่าขึ้นเสียงอ่อนโยนกับคนปลายสาย [รอพี่กลับไปนะ]

 

 

ครั้งหนึ่งเรื่องทุกอย่างที่เกี่ยวกับพ่อแม่เคยเป็นฝันร้ายสำหรับเขา ทว่าในตอนนี้ไม่ว่าจุดจบจะดีหรือร้าย เรื่องเหล่านั้นจะไม่มีความสำคัญกับเขาอีกต่อไป

 

 

เพราะเขาต้องการจะจบมันลง เขาอยากจะเริ่มต้นใหม่

ภาพรักสีจางกลางสมุทร

ภาพรักสีจางกลางสมุทร

เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เธอกลับพบว่าเธออยู่ในสภาพบาดเจ็บสาหัสและจำอะไรไม่ได้เลยสักอย่าง ชื่อ ที่อยู่ ครอบครัวและประวัติความเป็นมาล้วนถูกซัดหายไปจากความทรงจำทั้งหมด เบาะแสเดียวที่หลงเหลืออยู่มีเพียงชื่อ โม่หัน ทนายหนุ่มจากสำนักงานกฎหมายที่ลงท้ายไว้บนใบเสร็จค่ารักษาพยาบาลเท่านั้น เขาเป็นใครและเกี่ยวข้องอะไรกับเธอ ทำไมถึงดูแลค่าใช้จ่ายให้ทุกอย่างแต่ไม่เคยมาเยี่ยมเธอเลยสักครั้ง เมื่อถูกครอบงำด้วยความสงสัย เธอจึงตัดสินใจหนีออกจากโรงพยาบาลแล้วออกตามหากุญแจสุดท้ายที่จะไขความลับให้กับเธอ ทว่าเมื่อตามหาตัวโม่หันจนพบ เขากลับบอกเธอว่า “ขอโทษด้วยครับ ผมไม่รู้จักคุณ” เป็นไปได้ยังไงกัน เธอไม่เชื่อหรอกว่าเขาจะไม่รู้ว่าเธอเป็นใคร เธอต้องไขปริศนาเรื่องนี้และเรียกคืนความทรงจำทั้งหมดที่หายไปกลับมาให้ได้!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset