คฤหาสน์กระจกทะเลสาบตระกูลเมิ่ง
เมิ่งชวนฝึกเพลงกระบี่ใบไม้ร่วงในสนามฝึกซ้อม ร่างกายของเขาเหมือนลมกระโชกแรง ท่ามกลางประกายแสงกระบี่ที่กระพริบวูบวาบ เขาร่ายรำเพลงกระบี่ทั้งชุดเสร็จในพริบตา จากนั้นเขากึเดินไปที่ม้านั่งหินและนั่งลงจมอยู่ในห้วงความคิด
เขานึกถึงบทสนทนาของเขากับเจ้าสำนักเก๋อหยูเมื่อวานนี้
“ท่านเจ้าสำนักขอรับ หลังจากที่ข้าค้นพบวิชาลับ กระบี่ใบไม้ร่วงของข้าก็ถึงสภาพสมบูรณ์ ไม่มีช่องทางที่จะให้ปรับปรุงอีกต่อไป ข้าควรจะฝึกฝนอย่างไรต่อไปเพื่อค้นหาพลังกระบี่ ”
“เมิ่งชวน ยิ่งเจ้าฝึกฝนวิชากระบี่มากเท่าไหร่ เจ้าก็จะต้องพึ่งพาตัวเองมากขึ้นเท่านั้น สิ่งที่ข้าสามารถสอนเจ้าได้นั้นมีจำกัด” เจ้าสำนักเก๋อหยูกล่าวพร้อมรอยยิ้มขณะที่เขาดื่มเหล้า “ข้าบอกเจ้าได้แค่ว่าข้าได้ค้นพบพลังอย่างไรเท่านั้น ย้อนกลับไปตอนที่ข้าอยู่ในสนามรบในเส้นทางฉินหยาง ข้าต้องเผชิญหน้ากับอสูรในการต่อสู้แบบเอาชีวิตเข้าแลก ข้าเริ่มพบว่าเพลงกระบี่ของข้าค่อนข้างเป็นภาระ ดังนั้นข้าจึงค่อยๆปรับเปลี่ยนเพลงกระบี่ของข้า”
“ข้าใช้อะไรก็ได้ที่ฆ่าอสูรได้ง่ายที่สุด หลังจากรับราชการทหารข้าได้ขออยู่ที่เส้นทางฉินหยาง และใช้เวลาสิบสองปีที่นั่น วันหนึ่ง เพลงกระบี่ที่สร้างขึ้นเองของข้าก็ได้มาถึงจุดสูงสุดและข้าก็ค้นพบพลังกระบี่” เจ้าสำนักเก๋อหยูกล่าว
“เพลงกระบี่ที่สร้างขึ้นเองรึ” เมิ่งชวนรู้สึกประหลาดใจ
“ถูกตัองแล้ว” เก๋อหยูยิ้มขณะดื่มเหล้า “เมื่อเจ้าฝึกฝนเพลงกระบี่ชั้นยอดจนสมบูรณ์แบบแล้ว เจ้าจะสามารถเข้าใจวิชาลับและเข้าถึงขั้นหนึ่งเดียว และเจ้าจะสามารถเข้าใจพลังกระบี่ได้หากเจ้าสร้างสุดยอดวิชาที่เรียกได้ว่าเป็นของเจ้าเอง”
“ท่านเจ้าสำนัก ท่านสร้างเพลงกระบี่แบบไหนรึ ขอข้าดูหน่อยได้ไหม” เมิ่งชวนถามอย่างสงสัย
“ฮ่าฮ่า ให้เป็นบุญตาของเจ้า” ในเวลานั้นเจ้าสำนักเก๋อหยูที่เมาไปแล้วครึ่งหนึ่งก็เริ่มตื่นเต้นขึ้นขณะที่เขาเริ่มแสดงเพลงกระบี่ของเขา
เพลงกระบี่ของเขานั้นน่ากลัวยิ่ง มหัศจรรย์ยิ่ง และดุร้ายยิ่ง
เก๋อหยูนั้นผอม แต่เขาถือกระบี่ยาวเหมือนลิงที่ถือกระบี่ กระบี่ส่งแสงวาววับล้อมรอบตัวเขาราวกับว่าทุกส่วนในร่างกายของเขาสามารถสร้างแสงกระบี่ได้ สนามกว้างหนาวเย็นลง ใบไม้นับไม่ถ้วนฉีกออกเป็นชิ้น ๆ และโบยบินอยู่ภายใต้ประกายกระบี่ เมิ่งชวนรู้สึกหนาวสั่นเมื่อได้เห็นเพลงกระบี่ที่น่ากลัวและมหัศจรรย์นี้
นี่เป็นเพียงการฝึกซ้อมให้ดูเท่านั้น ซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องกับการสังหารศัตรูด้วยกำลังทั้งหมดของเขา มันอาจจะมีพลังมากกว่าสิบเท่าเมื่อต้องฆ่าศัตรู
นี่คือกระบี่ที่รวดเร็วที่สุดของเมืองตงหนิง
“เพลงกระบี่นี้ไม่เหมาะกับเจ้า” เจ้าสำนักเก๋อหยูสะบัดกระบี่เสียบเข้าไปในฝักที่ห้อยอยู่ข้างตัว เขายิ้มและพูดว่า “นี่เป็นเพลงกระบี่ที่เหมาะสมที่สุดสำหรับข้า ข้าตัวเล็กและผอม แต่แขนค่อนข้างยาว เพลงกระบี่นี้เหมาะสำหรับโครงสร้างร่างกายของข้า สำหรับคนทั่วไปเช่นเจ้าก็ควรฝึกฝนกระบี่ใบไม้ร่วง กระบี่ใบไม้ร่วงถูกสร้างโดยเทพอสูรจากเขาหยวนชู ดังนั้นจึงเหมาะสมที่สุดที่จะใช้เป็นพื้นฐานด้วยเช่นกัน”
“สำนักเต๋าจิงหูไม่เหลืออะไรสอนเจ้าอีกแล้ว เพราะเจ้าได้ฝึกฝนกระบี่ใบไม้ร่วงจนสมบูรณ์แบบแล้ว เจ้าจะต้องพึ่งพาตัวเองแล้ว” เก๋อหยูกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ ในฐานะเจ้าสำนัก ข้าไม่มีความปรารถนาอื่นใดมากมาย ข้าแค่ต้องการสร้างเทพอสูรเขาหยวนชูเท่านั้นในชีวิตของข้า ฮ่าฮ่า หากเป็นเช่นนั้น ข้า เก๋อหยู ย่อมจะสามารถคุยโม้ไปได้ตลอดชีวิต”
…
เมิ่งชวนครุ่นคิดขณะที่เขานึกถึงบทสนทนา
“ชวนเอ๋อร์” เมิ่งต้าเจียงมาที่สนามฝึกซ้อม
“พ่อ.” เมิ่งชวนลุกขึ้นยืน
“มา ตามข้าไปที่คฤหาสน์ของบรรพบุรุษเพื่อพบกับย่าทวดของเจ้า” เมิ่งต้าเจียงกล่าว
เมิ่งชวนเต็มไปด้วยความตื่นเต้น “ย่าทวด…พ่อกำลังหมายถึง…”
“ใช่แล้ว เซียนกู” เมิ่งต้าเจียงกล่าวเบาๆ
ดวงตาของเมิ่งชวนสดใสขึ้น นี่คือความภาคภูมิใจของตระกูลเมิ่ง เป็นเสาหลักในการสนับสนุนตระกูลเมิ่ง เทพอสูรคนที่สองในประวัติศาสตร์ตระกูลเมิ่ง
“พ่อ เราไปกันเถอะ” เมิ่งชวนตื่นเต้นมากและแทบรอไม่ไหวที่จะได้เห็นย่าทวดของเขา
…
ในคฤหาสน์บรรพบุรุษ ที่อยู่อาศัยของเมิ่งเซียนกูดูธรรมดา เพียงแต่มีลานบ้านที่ใหญ่กว่าบ้านหลังอื่นในคฤหาสน์บรรพบุรุษเล็กน้อย
“ตามข้ามา” เมิ่งต้าเจียงพาเมิ่งชวนเข้าไปในลานอย่างระมัดระวัง ไม่กล้าส่งเสียงดัง
ในลานบ้านหญิงชราคนหนึ่งกำลังถือไม้เท้าดูดอกท้อ เธอมองดูดอกไม้ที่เพิ่งผลิบานอย่างตั้งอกตั้งใจ
เมิ่งชวนสังเกตอย่างรอบคอบ
หญิงชราเงียบมากเมื่อสังเกตเห็นดอกท้อราวกับว่าเธอกลายเป็นหนึ่งเดียวกับฟ้าดิน หากหลับตาลงก็คงไม่สามารถสัมผัสได้ถึงการมีอยู่ของหญิงชรา เมิ่งชวนเข้าใจว่าหญิงชราคนนี้น่าจะเป็นเมิ่งเซียนกู ย่าทวดของเขา
“เจ้าอยู่ที่นี่รึ” เมิ่งเซียนกูหันหน้าไปทางเธอและยิ้มให้กับคู่พ่อลูก
“เร็วเข้าทักทายย่าทวดของเจ้า” เมิ่งต้าเจียงกระตุ้นเบาๆ
จากนั้นเมิ่งชวนก็รีบไปข้างหน้า เขาคุกเข่าคำนับ “ สวัสดีขอรับย่าทวด”
“ลุกขึ้นเร็ว” เมิ่งเซียนกูนั่งลง “พวกเจ้าทั้งสองคนก็นั่งลง”
ดังนั้นเมิ่งต้าเจียงและเมิ่งชวนก็นั่งลงที่ด้านข้าง
เมิ่งชวนสงสัยมากเกี่ยวกับย่าทวด เขาสังเกตรูปร่างหน้าตาของเธออย่างระมัดระวัง เธอจะต้องสวยมากเมื่อยังเด็ก เมิ่งเซียนกูดูเหมือนคนทั่วไปในวัยสามสิบหรือสี่สิบก่อนที่เธอจะบาดเจ็บ
“ชวนเอ๋อร์มานี่ซิ เข้ามาใกล้ข้ามากกว่านี้” เมิ่งเซียนกูกล่าวอย่างอ่อนโยน
เมิ่งชวนนั่งลงบนเก้าอี้ที่อยู่ใกล้ๆในทันที
เมิ่งเซียนกูจับมือของเมิ่งชวนและมองไปที่เขา ยิ่งเธอมองมากเท่าไหร่เธอก็ยิ่งชอบเขามากขึ้นเท่านั้น นี่คือความหวังของตระกูลเมิ่ง
“ชวนเอ๋อร์เจ้าน่าจะอยู่ที่ระดับชำระแก่นแท้ที่สมบูรณ์ในอีกสองหรือสามเดือนข้างหน้านี้ใช่ไหม” เมิ่งเซียนกูถาม
“ใช่” เมิ่งชวนพยักหน้า
“ระดับสร้างรากฐาน ระดับกำเนิดปราณ ระดับชำระแก่นแท้ ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเพียงการหล่อหลอมรากฐานของเจ้า มันช่วยให้คนเราสามารถฝึกฝนร่างกายของพวกเขาให้สมบูรณ์ได้” เมิ่งเซียนกูกล่าว “เมื่อคนผู้หนึ่งอยู่ในระดับก่อกำเนิด พวกเขาจะเริ่มปลดเปลื้องพ้นธะความเป็นคนธรรมดา สร้างร่างเทพอสูรและค่อยๆครอบครองพลังของเทพอสูร นี่คือการเปลี่ยนแปลงตามลำดับธรรมชาติของชีวิต คล้ายกับมดที่กลายร่างเป็นเสือหรือเสือดาว เราจะค่อยๆเปลี่ยนจากคนธรรมดาไปเป็นเทพอสูร”
“ขั้นตอนแรกในการเปลี่ยนแปลงคือระดับก่อกำเนิด”
“ขั้นตอนนี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง ในขั้นตอนนี้เราสามารถสร้างรากฐานเทพอสูรที่แข็งแกร่งอย่างยิ่งได้ตราบเท่าที่มีการจัดหาสมบัติที่ล้ำค่ามากเพียงพอ ..”
“สร้างรากฐานของเทพอสูรรึ” เมิ่งชวนตะลึง
“การเติบโตของทารกในครรภ์มารดามีความสำคัญมาก” เมิ่งเซียนกูกล่าว “ตระกูลเทพอสูรโบราณบางตระกูลจะให้หญิงตั้งครรภ์กินสมบัติล้ำค่าทุกชนิด เมื่อคลอดออกมาแล้วลูกของพวกเขาจะเหนือล้ำเกินใคร”
“ระดับก่อกำเนิดนั้นก็คล้ายกับการเติบโตในครรภ์ของเทพอสูร” เมิ่งเซียนกูกล่าว “มันสามารถเปลี่ยนพรสวรรคฐของคนผู้หนึ่งได้ในช่วงเวลาที่วิกฤตที่สุด ข้าได้ใช้สมบัติทั้งหมดที่ตระกูลของเราเก็บมาตลอดหลายปีที่ผ่านมา เพื่อแลกกับน้ำไขกระดูกหยกเทพอสูรหนึ่งหยด เมื่อเจ้าเริ่มสร้างร่างเทพอสูร เจ้าก็จะสามารถกินได้ทันที นั่นจะทำให้เจ้ามีรากฐานที่แข็งแกร่ง ความแข็งแกร่งของร่างกายและความบริสุทธิ์ของปราณของเจ้าจะเหนือกว่าคนรุ่นราวคราวเดียวกับเจ้า”
“น้ำไขกระดูกหยกเทพอสูรรึ” เมิ่งต้าเจียงตกใจ “ นี่…ป้าทำแบบนี้…” บางทีเงินออมของตระกูลเมิ่งกว่าครึ่งคงจะหมดไปแล้ว
ไม่มีการพูดคุยเรื่องนี้กับผู้นำตระกูลและผู้อาวุโส ดังนั้นเมิ่งต้าเจียงจึงไม่รู้
“นี่เป็นการตัดสินใจของข้าและข้าก็ได้ทำไปแล้ว” เมิ่งเซียนกูกล่าว “รากฐานของเทพอสูรนั้นสำคัญมาก หากเจ้าพลาดช่วงแรกสุดในช่วงระดับก่อกำเนิดก็จะไม่มีสมบัติใดในอนาคตที่สามารถเปลี่ยนรากฐานได้อีก มันคุ้มค่าที่จะใช้ทรัพยากรทั้งหมดของตระกูลเราสำหรับหนึ่งหยดของน้ำไขกระดูกหยกเทพอสูร”
ทันใดนั้นเองเมิ่งชวนก็รู้สึกกดดันเป็นอย่างมาก
เหตุใดย่าทวดจึงใช้ความพยายามทั้งหมดของเธอในเรื่องนี้ ถึงต้องการแลกเปลี่ยนสมบัติของตระกูลทั้งหมดเป็นน้ำไขกระดูกหยกเทพอสูรเพียงหยดเดียว และเหมือนจะเฉพาะสำหรับตัวเขาด้วย ปกติแล้วตระกูลจะรักษากฎเกณฑ์ที่ยุติธรรมมาโดยตลอด เขาเพียงแค่สำเร็จวิชาลับเท่านั้น การที่เขาจะได้กลายเป็นเทพอสูรหรือไม่นั้นยังไม่แน่นอน แต่ทำไมตระกูลถึงได้ดูแลเขามากขนาดนี้
“ชวนเอ๋อร์” เมิ่งเซียนกูยิ้มขณะมองเด็กที่ร่วมสายเลือดกับเธอคนนี้ เธอบอกได้ว่าเขารู้สึกไม่สบายใจ “ข้าได้รับบาดเจ็บสาหัสและสามารถมีชีวิตอยู่ได้อีกเจ็ดถึงแปดปี ดังนั้นข้าไม่สามารถรอได้อีกต่อไป ข้าต้องทำให้ดีที่สุดเพื่อดูแลเจ้า”
เมิ่งชวนตกตะลึง
เสาหลักของตระกูลสามารถอยู่ได้อีกเจ็ดถึงแปดปีเท่านั้นรึ
เมิ่งเซียนกูกล่าวต่อไปว่า“ ไม่เพียง แต่ข้าแลกเปลี่ยนน้ำไขกระดูกหยกเทพอสูรมาให้เจ้าเท่านั้น แต้มทั้งหมดที่ข้าสะสมกับเขาหยวนชูจากการต่อสู้กับอสูรมาเป็นเวลากว่า 80 ปีจะถูกโอนมาให้เจ้า ทันทีที่เจ้าสำเร็จพลังกระบี่ก่อนอายุครบยี่สิบปีบริบูรณ์”
“ย่าทวดเจ้าสะสมแต้มนี้มาหลายปีแล้ว” เมิ่งต้าเจียงกล่าว
“มันคุ้มค่าตราบใดที่ตระกูลสามารถสร้างเทพอสูรขึ้นมาได้อีก” เมิ่งเซียนกูมองไปที่เมิ่งชวน “ชวนเอ๋อร์ เจ้าคือความหวังเดียวของตระกูลเรา ข้ามีความรู้สึกว่าเจ้าสามารถแบกรับภาระทั้งหมดนี้ได้”
เมื่อเมิ่งชวนอายุหกขวบเขาประสบกับหายนะ อารมณ์ของเขานั้นหนักแน่นเป็นพิเศษ ดังนั้นเขาจึงยอมรับมันได้อย่างรวดเร็ว เขาพยักหน้าและพูดว่า “ย่าทวดข้าไม่รู้ว่าข้าจะกลายเป็นเทพอสูรได้ไหม แต่ข้าจะทำทุกอย่างที่ทำได้”
“จงสงบสติอารมณ์เสียในตอนนี้” เมิ่งเซียนกูยิ้มและพยักหน้า “ดีแล้ว เจ้าไม่ทำให้ข้าผิดหวัง”
เมิ่งต้าเจียงรู้สึกกังวลอยู่บ้าง
“ต้าเจียง” เมิ่งเซียนกูกล่าว “บางทีเจ้าอาจไม่เห็นด้วยกับการที่ข้าบอกชวนเอ๋อร์ทุกอย่างและพนันทุกอย่างไว้กับเขา แต่การที่จะกลายเป็นเทพอสูรนั้น เราจะไม่มีความแข็งแกร่งได้อย่างไร เจ้าต้องเชื่อมั่นในตัวลูกชายของเจ้า เมิ่งชวนแข็งแกร่งกว่าที่เจ้าคิด”