ภาพเทพอสูรบรรพกาล – ตอนที่ 34

ตอนที่ 34 เยี่ยมย่าทวด

 

“บอกข้าทีว่าเกิดเรื่องอะไรกันแน่ ทำไมเจ้าทำอะไรลับๆล่อๆ” เมิ่งต้าเจียงมาที่สนามฝึกซ้อมแล้วนั่งลง เพราะว่าสนามฝึกซ้อมนั้นทั้งกว้างขวางและว่างเปล่า ไม่มีใครอยู่ใกล้พวกเขา จึงไม่ต้องกลัวใครแอบฟัง

 

“พ่อ” เมิ่งชวนยืนอยู่ที่นั่นชี้ไปที่หว่างคิ้วของตัวเองและถามด้วยเสียงเบาๆ “ท่านเคยได้ยินเกี่ยวกับช่องว่างระหว่างระหว่างคิ้วหรือไม่” เมิ่งชวนอยากจะรู้ว่าช่องว่างที่อยู่ระหว่างคิ้วของเขาคืออะไร หากเขาไม่รู้อะไรเลย สักวันหนึ่งเขาอาจยุ่งเกี่ยวกับการฝึกวิชาต้องห้ามบางอย่างและอาจได้รับทุกข์ทรมาน

 

ในแง่ของความไว้วางใจ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเมิ่งชวนเชื่อใจพ่อของเขามากที่สุด

 

“มีช่องว่างระหว่างคิ้วของเราด้วยรึ” เมิ่งต้าเจียงรู้สึกงงงัน “ชวนเอ๋อร์ ข้าไม่ค่อยเข้าใจว่าเจ้าหมายถึงอะไร”

 

“มันเป็นเช่นเดียวกับตันเถียนของเรา” เมิ่งชวนกล่าว “ตันเถียนของเรานั้นเป็นความว่างเปล่าที่สามารถกักเก็บพลังปราณของเราได้ ช่องว่างด้านหลังหว่างคิ้วก็เช่นเดียวกัน มันมีที่ว่างอยู่ที่นั่น และยังมีคนตัวเล็กๆซ่อนตัวอยู่ด้วย”

 

“ข้าไม่รู้ ข้าไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน” เมิ่งต้าเจียงส่ายหน้า “ชวนเอ๋อร์ ทำไมจู่ๆเจ้าถึงถามแบบนี้ เจ้าได้ยินเรื่องนี้มาจากไหน”

 

“นี่ไม่ใช่คำบอกเล่า” เมิ่งชวนกล่าวอย่างจริงจัง “เป็นเพราะข้าสามารถมองเห็นช่องว่างระหว่างคิ้วของข้าได้ ช่องว่างนั้นกว้างใหญ่และมีคนโปร่งแสงเล็กๆอยู่ข้างใน บุคคลนั้นดูเหมือนกับเป็นตัวข้า”

 

รูม่านตาของเมิ่งต้าเจียงหดเล็กลง “เจ้ารู้สึกอย่างไร” เมิ่งต้าเจียงซักไซ้

 

“ยอดเยี่ยม สุดยอด” เมิ่งชวนกล่าว “ข้ารู้สึกเหมือนกับข้าได้เกิดใหม่ เมื่อข้าหลับตา ข้าจะสามารถสัมผัสได้ถึงทุกสิ่งในระยะสิบก้าว ข้ายังรู้สึกได้อย่างชัดเจนถึงขนที่อยู่บนขาของมด ภายในรัศมีหนึ่งลี้ข้าจะสัมผัสได้ถึงกระแสปราณทั้งหมด ข้ายังสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของแมวและสุนัขเหล่านั้นด้วย”

 

“เจ้าสามารถ ‘มองเห็น’ ทุกสิ่งในระยะสิบก้าวรอบๆตัวเจ้าได้แม้หลับตาอย่างนั้นรึ ทั้งยังสามารถรับรู้ในพื้นที่หนึ่งลี้ได้ด้วยรึ” เมิ่งต้าเจียงพบว่ามันเป็นสิ่งที่ไม่สามารถอธิบายได้ “ชวนเอ๋อร์ เจ้าได้รับเคล็ดการฝึกวิชาพิเศษบางอย่างที่เจ้ากำลังฝึกฝนอย่างลับๆอยู่หรือไม่”

 

“ไม่” เมิ่งชวนส่ายหน้า “ข้าไม่เคยแตะเคล็ดวิชาอื่นเลย หลังจากที่ข้าวาดภาพเสร็จเมื่อวานนี้ ข้ารู้สึกเวียนหัวเล็กน้อย จากนั้นข้าก็เห็นช่องว่างระหว่างคิ้วผ่านตาจิต”

 

“นั่นฟังดูดี แต่ก็อาจเป็นอันตรายได้ อย่าประมาท” เมิ่งต้าเจียงกล่าว “ไปพบกับย่าทวดของเจ้ากันเถอะ”

 

“ตกลง” เมิ่งชวนพยักหน้า

 

 

เมิ่งเซียนกูได้รับบาดเจ็บหนักและเธอเหลือชีวิตอยู่อีกไม่มากนัก เธอห่วงใยเมิ่งชวนมากที่สุด เนื่องจากเขาเป็นความหวังของตระกูลเมิ่ง

 

การใช้สมบัติของตระกูลทั้งหมดเพื่อแลกกับหยดน้ำไขกระดูกหยกเทพอสูร และการโอนแต้มทั้งหมดที่เธอสะสมมาเป็นชื่อของเมิ่งชวนด้วยความเต็มใจ แสดงให้เห็นว่าเขามีความสำคัญกับเธอมากเพียงใด อาจกล่าวได้ว่าเพื่อเห็นแก่เมิ่งชวนเธอสามารถสละชีวิตได้

 

เมิ่งต้าเจียงและเมิ่งชวนเชื่อใจเธออย่างถึงที่สุด

 

ภายในคฤหาสน์บรรพบุรุษ

 

“ย่าทวด” เมิ่งชวนทักทายเธอด้วยความเคารพ

 

“ชวนเอ๋อร์ ทำไมเจ้าถึงมาที่นี่” เมิ่งเซียนกูนั่งอยู่บนสนาม เธอวางหนังสือลง และพูดด้วยรอยยิ้มว่า “เจ้าฝึกท่าชักกระบี่ซ้ำแปดพันครั้งทุกวัน เป็นเรื่องยากที่เจ้าจะมาหาข้าแต่เช้า”

 

เมิ่งต้าเจียงกล่าวในทันที “มีบางอย่างที่พิเศษเกิดขึ้นกับชวนเอ๋อร์”

 

“พิเศษรึ” หัวใจของนางฟ้าเมิ่งเขม็งเครียดขึ้น ขณะที่เธอถามว่า “มันคืออะไรรึ”

 

“ย่าทวด เมื่อคืนข้ามองเข้าไปในตัวเอง และค้นพบช่องว่างระหว่างคิ้วของข้า มันคล้ายกับช่องว่างในตันเถียน ช่องว่างนี้อยู่ระหว่างคิ้วและมีคนตัวเล็กุอยู่ข้างใน ดูเหมือนข้าทุกประการ”

 

สีหน้าของเมิ่งเซียนกูเปลี่ยนไปเล็กน้อย “ช่องว่างระหว่างคิ้วของเจ้ารึ ข้าไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนเช่นกัน”

 

“ป้า ท่านก็ไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนเช่นเดียวกันรึ” เมิ่งต้าเจียงตกใจ

 

เมิ่งเซียนกูเป็นเทพอสูรมาประมาณแปดสิบปีแล้ว เธอมีเพื่อนเทพอสูรจำนวนมาก ดังนั้นปกติแล้วความรู้ของเธอต้องกว้างขวางมาก แต่ถึงกระนั้น เมิ่งเซียนกูกลับไม่เคยได้ยินเรื่องเกี่ยวกับช่องว่างระหว่างคิ้วมาก่อน มันเป็นสิ่งที่ไม่น่าเชื่อ

 

นั่นหมายความว่ามันหาได้ยากมาก หายากมากๆ

 

“อย่ากระวนกระวาย ชวนเอ๋อร์ เจ้าพบความเปลี่ยนแปลงอะไรบ้างหลังจากค้นพบช่องว่างระหว่างคิ้ว” เมิ่งเซียนกูถาม

 

“ชวนเอ๋อร์ กล่าวว่าเมื่อเขาหลับตา เขาสามารถมองเห็นทุกอย่างรอบตัวในระยะสิบก้าวได้อย่างชัดเจน แม้แต่ขาของมดและขนบนขาของมันก็ยังสามารถมองเห็นได้ชัดเจน นอกจากนี้เขายังสามารถสัมผัสได้ถึงกระแสพลังปราณทั้งหมดในระยะหนึ่งลี้” เมิ่งต้าเจียงอธิบายขณะที่เมิ่งชวนพยักหน้า

 

“หลับตาแล้วเห็นได้ถึงสิบก้าวงั้นรึ และสามารถรับรู้ได้ในรัศมีหนึ่งลี้งั้นรึ” เมิ่งเซียนกูงุนงง “เจ้าได้ปลดปล่อยพลังปราณของเจ้าด้วยหรือไม่”

 

“ข้ายังไม่เข้าใจถึง ‘พลัง’ ดังนั้นข้าจึงไม่สามารถปลดปล่อยพลังปราณของข้าได้” เมิ่งชวนกล่าว

 

“ข้ารู้ว่าเจ้าไม่สามารถปลดปล่อยพลังปราณของเจ้าได้” เมิ่งเซียนกูส่ายหน้า “ข้ายังเก่งในด้านการสำรวจ ข้าสามารถสำรวจได้ไกลสิบลี้เพียงแค่คิด แต่นั่นเป็นเพราะร่างกายที่เป็นเทพอสูรของข้า ร่วมกับการใช้เคล็ดวิชาพิเศษที่ขึ้นอยู่กับการปลดปล่อยพลังปราณ แต่สำหรับเจ้า เจ้าไม่ได้ใช้วิธีการใดๆในการรับรู้กระแสพลังภายในรัศมีหนึ่งลี้ของเจ้า ข้าไม่เคยเห็นหรือได้ยินมาก่อน”

 

เมิ่งชวนสับสน

 

“เจ้าสามารถตรวจจับกระแสพลังของข้าได้หรือไม่” เมิ่งเซียนกูถาม

 

“ย่าทวด…” เมิ่งชวนสามารถมองเห็นเสื้อผ้าของเมิ่งเซียนกูบนผิวน้ำได้ด้วยตาเปล่า แต่เมื่อเขาหลับตาลง เขาก็รู้สึกเหมือนเมิ่งเซียนกูกลายเป็นมนุษย์ดวงตะวัน กระแสพลังที่น่ากลัวทำให้ยากที่เขาจะมองเห็นเธอได้อย่างชัดเจน

 

“ย่าทวด กระแสพลังของท่านแข็งแกร่งเกินไปจนข้ามองไม่ชัด” เมิ่งชวนกล่าว “อย่างไรก็ตามกระแสพลังของท่านแข็งแกร่งกว่ากระแสพลังของสิ่งมีชีวิตอื่นๆทั้งหมดในระยะหนึ่งลี้รวมกัน ข้ารู้สึกได้และมันก็พร่างพราวราวกับดวงอาทิตย์ มันยากที่จะมองไปตรงๆ แต่ก็สะดุดตามาก”

 

เมิ่งเซียนกูครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งและพูดเบาๆว่า “ข้าไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับช่องว่างระหว่างคิ้ว แต่ข้าก็เคยได้ยินอย่างอื่น”

 

เมิ่งต้าเจียงและเมิ่งชวนตั้งใจฟัง

 

“มนุษย์มีจิตวิญญาณ เจ้าน่าจะเคยได้ยินเรื่องนี้มา” เมิ่งเซียนกูกล่าว

 

“ขอรับ” เมิ่งชวนและพ่อของเขาตอบอย่างจริงจัง การมีอยู่ของวิญญาณนั้นเป็นความรู้ทั่วไป

 

“แต่พวกเจ้ารู้ไหมว่าวิญญาณนั้นอยู่ที่ไหน” เมิ่งเซียนกูถาม

 

ทั้งสองส่ายหน้า

 

“ข้าได้ยินมาจากเพื่อนสนิทว่า วิญญาณนั้นตั้งอยู่ในทะเลแห่งจิตสำนึก” เมิ่งเซียนกูกล่าว “วิญญาณอยู่ในรูปแบบของมนุษย์ และเหมือนกับร่างกายของคนๆหนึ่ง ย้อนกลับไปตอนนั้น ข้าถามถึงที่อยู่ของทะเลแห่งจิตสำนีก ในตอนนั้นเขาได้แต่ชี้ไปที่หัวของตัวเองและบอกว่า เขาเองก็ไม่ค่อยรู้เรื่องนี้เหมือนกัน เขารู้แค่ว่าสิ่งนี้เกี่ยวข้องกับการฝึกวิชาเทพอสูรที่ทรงอำนาจยิ่งกว่า”

 

“วิญญาณมีความเกี่ยวข้องกับการฝึกวิชาเทพอสูรที่ทรงอำนาจยิ่งกว่างั้นรึ” เมิ่งต้าเจียงและเมิ่งชวนตกอยู่ในห้วงความคิดอันลึกล้ำ

 

“ช่องว่างระหว่างคิ้วนั้นฟังดูคล้ายกับทะเลแห่งจิตสำนึก” เมิ่งเซียนกูกล่าว “เป็นเพราะว่าคนตัวจิ๋วนี้ก็อยู่ในรูปร่างของมนุษย์ด้วยเช่นกันและเหมือนกับร่างกายของเจ้า ดังนั้นนั่นอาจจะเป็นวิญญาณของเจ้า”

 

เมิ่งชวนพยักหน้าเล็กน้อย

 

“แน่นอนว่านี่เป็นเพียงการคาดเดาของข้า” เมิ่งเซียนกูกล่าว “มันอาจจะจริงหรืออาจจะผิดก็ได้ เจ้าไม่อาจที่จะเชื่อใจข้าได้เต็มที่ในเรื่องนี้”

 

เมิ่งชวนพยักหน้า แต่เขารู้สึกเหมือนได้รับความรู้มามากมาย ดูเหมือนว่าคนเรามีทะเลแห่งจิตสำนึก และมีวิญญาณอยู่ภายในทะเลแห่งจิตสำนึก สิ่งนี้เกี่ยวข้องกับการฝึกวิชาเทพอสูรที่ทรงอำนาจยิ่งกว่า

 

“เจ้าทั้งคู่ต้องเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ ถ้ามันเป็นเรื่องน่ายินดีอย่างแท้จริงนั่นก็จะดีมาก แต่ถ้าหากมีการเปิดเผย… นั่นอาจมีปัญหา” เมิ่งเซียนกูกล่าว

 

“ถูกต้อง” เมิ่งต้าเจียงกล่าว “ถ้ามีอัจฉริยะสุดยอดขึ้นมาจริงๆ นิกายอสูรฟ้าจะต้องคิดหาวิธีที่จะลอบสังหารพวกเขา”

 

นิกายอสูรฟ้านั้นเห็นแก่ตัวและกังวลเกี่ยวกับผลประโยชน์ของตัวเองเท่านั้น

 

อย่างไรก็ตามหากอัจฉริยะผู้ไร้เทียมทานปรากฏตัวขึ้น อสูรก็จะให้รางวัลพวกนั้นหากการลอบสังหารนั้นสำเร็จ นี่นับว่าเพียงพอแล้วที่จะกระตุ้นให้นิกายอสูรฟ้ายอมเสี่ยงชีวิตเพื่อลอบสังหารเขา

 

มีอัจฉริยะน้อยยิ่งกว่าน้อยที่ถือได้ว่าสามารถสั่นคลอนโลกได้ พวกเขาเป็นคนที่อาจมีอิทธิพลต่อสถานการณ์โดยรวมระหว่างมนุษย์และอสูร สำหรับคนอย่างเหม่ยหยวนจื่อแล้วนิกายอสูรฟ้าไม่แม้แต่จะเหลือบมอง…เขาไม่แม้จะประสบความสำเร็จในการผ่านการประเมินเบื้องต้นในการเข้าสู่เขาหยวนชู ภัยคุกคามที่มีต่อเหม่ยหยวนจื่อคืออะไรบ้างนั้นสามารถจินตนาการออกมาได้ หากโชคไม่ดีเพียงเล็กน้อย เขาอาจตายในสนามรบและไม่สามารถกลายเป็นเทพอสูร อัจฉริยะอย่างเมิ่งชวนผู้ยังไม่สามารถเข้าถึง “พลัง” ก็ได้แต่ถือว่าเป็นที่น่าตื่นตาตื่นใจในเมืองตงหนิงเท่านั้น อสูรไม่ได้ให้ความสนใจใดๆกับเขา

 

“สิ่งที่เจ้าต้องทำคือเก็บเป็นความลับ และทำการฝึกวิชาต่อไปตามปกติ จนกว่าเจ้าสามารถเข้าสู่เขาหยวนชูได้” เมิ่งเซียนกูกล่าว “เขาหยวนชูเป็นดินแดนแห่งการฝึกวิชาที่เก่าแก่ที่สุด เมื่อเจ้าเข้าสู่เขาหยวนชูและอ่านหนังสือที่มี ข้าเชื่อว่าเจ้าจะรู้ความลับเกี่ยวกับช่องว่างระหว่างคิ้ว”

 

“ขอรับ” เมิ่งชวนพยักหน้า

 

“นั่นถูกตัองแล้ว เก็บไว้เป็นความลับและฝึกฝนให้ดี” เมิ่งต้าเจียงกล่าว

 

“เจ้าควรตระหนักถึง  ‘พลัง’ ให้เร็วที่สุด” เมิ่งเซียนกูกล่าว “ยิ่งเจ้าเข้าถึงได้เร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งดีเท่านั้น นั้นจะช่วยให้เจ้าสามารถสร้างรากฐานเทพอสูรได้เร็วยิ่งขึ้น ยิ่งสร้างรากฐานได้ลึกโอกาสในการเข้าสู่เขาหยวนชูก็จะยิ่งมากขึ้น เหม่ยหยวนจื่อตระหนักถึง ‘พลัง’ เมื่ออายุ 20 ปี แม้ว่าเขาจะเสี่ยง … แต่โอกาสที่จะประสบความสำเร็จก็มีน้อย สุดท้ายเขาก็ล้มเหลว ดังนั้นเจ้าจะต้องตระหนักถึง ‘พลัง’ ให้ได้เมื่ออายุสิบเก้าปี โอกาสของเจ้าในการเข้าสู่เขาหยวนชูก็จะเพิ่มขึ้น เมื่อมีเวลาตระเตรียมรากฐานเทพอสูรให้แข็งแกร่งเพิ่มขึ้นอีก 1 ปี

 

จริงแล้วเมิ่งชวนอยากจะบอกว่าเขามั่นใจว่าจะบรรลุถึง “พลัง” ได้ภายในไม่กี่วันข้างหน้า แต่ในเมื่อยังไม่ประสบความสำเร็จ เขาก็รู้สึกว่านั่นเป็นแค่การคุยโอ้อวดเท่านั้น

 

ข้าจะบอกเจ้าพ่อและย่าทวดหลังจากที่ข้ารู้ถึง “พลัง”

ภาพเทพอสูรบรรพกาล

ภาพเทพอสูรบรรพกาล

ภาพเทพอสูรบรรพกาล
Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง ภาพเทพอสูรบรรพกาล โลกนี้ถูกรุกรานโดยเหล่าปิศาจมานานนับศตวรรษ มนุษยชาติได้รวมตัวกันก่อตั้งสำนักที่เก่าแก่อย่างสำนักเขาหยวนชูขึ้นมา และจัดตั้งระบบการฝึกฝน พร้อมทั้งส่งเทพอสูรไปป้องกันประตูทางเข้าโลกต่างๆ เมิ่งชวนอัจฉริยะรุ่นเยาว์ที่เชี่ยวชาญกระบี่ไว แม้ว่าชีวิตนี้จะได้รับมรดกอันล้ำค่า แต่ปณิธานที่อยู่ภายในใจมีเพียงอย่างเดียวเท่านั้น นั่นก็คือกำจัดพวกปิศาจให้สิ้นซาก! ในอดีตมารดาของเขาได้ยอมสละชีวิตของตนเองเพื่อปกป้องเขา เรื่องนี้กลายเป็นแผลในใจที่ไม่อาจจะลืมเลือนได้ เขามุ่งมั่นและทุ่มเททุกอย่างเพื่อที่จะได้เข้าสู่เขาหยวนชู และได้รับทรัพยากรกับการสั่งสอนที่ดีกว่า นอกเหนือจากการฝึกฝนแล้ว สิ่งเดียวที่ทำให้จิตใจของเขาสงบลงได้ก็คือการวาดรูป และนี่คือจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขาแข็งแกร่งขึ้น…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset