ภาพเทพอสูรบรรพกาล – ตอนที่ 68

ตอนที่ 68 การเดินทางครั้งใหม่

 

ณ วังหยกสุริยัน

 

“ไม่เคยคิดเลยว่าลูกหลานของตระกูลหลิวจะมีสายเลือดวิหคเพลิงศักดิ์สิทธิ์” ขุนนางเมฆาใต้ใบหน้าที่เกลี้ยงเกลาไม่มีหนวดเครา รอยยิ้มของเขาทำให้เขาดูเหมือนนักปราชญ์ธรรมดาๆ “จะว่าไปแล้ว ไม่มีใครในตระกูลกงซุนปลุกสายเลือดวิหคเพลิงมาได้เกือบห้าร้อยปีแล้ว พอรวมหลิวชีเยว่ ก็มีสองคนที่มีสายเลือดวิหคเพลิงที่ต่างไม่ได้มาจากตระกูลกงซุน โลกนี้มันช่างน่าพิศวงยิ่งนัก”

 

หลิวเย่ป๋ายที่นั่งอยู่ข้างๆยิ้มขณะที่มองไปยังลูกสาวของเขา และกล่าว “ตระกูลหลิวของเราเคยแต่งงานกับตระกูลกงซุนในรุ่นยายข้า”

 

“ข้ารู้” ขุนนางเมฆาใต้พยักหน้า “เพื่อสายเลือดวิหคเพลิง ตระกูลกงซุนจึงห้ามไม่ให้มีการแต่งงานกับบุคคลภายนอก แต่หลังจากหลายศตวรรษที่ไม่มีผู้ใดปลุกสายเลือดขึ้นมาได้ อีกทั้งเพราะการคุกคามของอสูร ทำให้ในที่สุดตระกูลกงซุนก็เริ่มอนุญาตให้แต่งงานกับคนภายนอกได้ ฮ่าฮ่า กลับกลายเป็นว่าพอแต่งงานเช่นนี้แล้ว ดันทำให้พวกเราได้เทพอสูรที่มีร่างวิหคเพลิงเสียนี่”

 

“ข้าจะเป็นเทพอสูรได้อย่างนั้นหรือ?” หลิวชีเยว่อดไม่ได้ที่จะถาม “ข้าพึ่งจะเข้าถึงระดับ “หนึ่งเดียว” เมื่อปีก่อนเองนะคะ”

 

“การที่เจ้าไปถึงระดับ”หนึ่งเดียว”ได้ตั้งแต่อายุสิบหกนั้นไม่เลวเลย” ขุนนางเมฆาใต้พยักหน้า “ไม่ต้องกังวล เจ้าจะประสบความสำเร็จอย่างแน่นอนหากเขาหยวนชูเลี้ยงดูเจ้า”

 

“ชีเยว่ เนื่องจากสายเลือดวิหคเพลิงของเจ้าได้ตื่นขึ้นมา เจ้าควรจะเป็นเทพอสูรเสีย” หลิวเย่ป๋ายกล่าว

 

ขุนนางเมฆาใต้กล่าวต่ออีกว่า “ข่าวคราวเกี่ยวกับร่างเทพวิหคเพลิงของเจ้าไปถึงเขาหยวนชูนานแล้ว พวกเขาคงส่งคนออกมาแล้ว แล้วก็คงน่าจะมาถึงเมืองตงหนิงวันนี้! เมื่อถึงเวลา เจ้าจะต้องออกเดินทางไปยังเขาหยวนชู”

 

“ข้าจะต้องไปวันนี้อย่างนั้นหรือ?” หลิวชีเยว่รู้สึกเหมือนทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วเกินไป

 

“ถูกตัอง” ขุนนางเมฆาใต้พยักหน้า “ข้าอยู่ในเมืองตงหนิงไปตลอดไม่ได้ และไม่มีทางที่เขาหยวนชูจะสามารถส่งเทพอสูรที่ทรงพลังมาช่วยคุ้มกันได้ ดังนั้นจะปลอดภัยกว่าหากเจ้าเดินทางไปยังเขาหยวนชูในทันที”

 

หลิวเย่ป๋ายยังกล่าวอีกว่า “ชีเยว่ คราวนี้สายเลือดวิหคเพลิงของเจ้าได้ตื่นขึ้นมา เจ้าต้องฝึกฝนให้หนักเพื่อที่จะได้แข็งแกร่งกว่านี้นะ”

 

“ค่ะ” หลิวชีเยว่พยักหน้ารับคำ

 

เมื่อเธอได้เห็นการรุกรานของอสูร เธอก็ปรารถนาที่จะแข็งแกร่งขึ้นและกำราบอสูรเหล่านั้น

 

 

อ่านตอนล่าสุดที่ my-novel.co หรือ www.thai-novel.com

 

เมิ่งชวนและพ่อของเขาไปถึงวังหยกสุริยัน

 

“นายน้อยเมิ่งโปรดอยู่ที่นี่สักครู่ ท่านขุนนางกำลังคุยกับนายน้อยเหยียนอยู่” มีชายแก่นำทางไป เมิ่งชวนและเมิ่งต้าเจียงได้แต่รออยู่ข้างนอก พวกเขาก็เห็นหลิวเย่ป๋ายและหลิวชีเยว่นั่งอยู่ในศาลาด้วยเช่นกัน

 

“อาชวน” หลิวชีเยว่รู้สึกประหลาดใจ หลังจากการรุกรานของอสูร เธอไม่เห็นเมิ่งชวนเลย หลังจากที่เมิ่งชวนสังหารแม่ทัพอสูรสองตนที่สำนักเต๋าเพลิงตะวัน เขาก็ได้วิ่งล่อราชาอสูรบึงพิษออกไป…ส่วนหลิวชีเยว่นั้น เธอถูกนำตัวไปที่วังหยกสุริยันอย่างรวดเร็ว พวกเขาจึงไม่มีโอกาสได้คุยกัน

 

“ชีเยว่” เมิ่งชวนวิ่งไปหาอย่างมีความสุข “เจ้าสบายดีใช่ไหม? เจ้าดูบาดเจ็บหนักมากตอนที่อยู่ที่สำนักเต๋าเพลิงตะวัน”

 

“เป็นเพราะข้าใช้วิชาต้องห้ามนานเกินไป” หลิวชีเยว่ยิ้มและส่ายหน้า “แค่ต้องพักผ่อนเดือนเดียว”

 

เมิ่งชวนพยักหน้าเล็กน้อย

 

“อาชวน ขะ ข้า…” หลิวชีเยว่กระซิบ เธอไม่ค่อยอยากจะจากเขาไป “ข้าอาจจะต้องไปจากเมืองตงหนิงในวันนี้”

 

“เจ้าจะต้องออกจากเมืองตงหนิงวันนี้อย่างนั้นรึ?” เมิ่งชวนรู้สึกประหลาดใจ แต่เขาก็นึกถึงลูกธนูเพลิงที่หลิวชีเยว่ยิงออกมาได้ในทันที

 

“ทำไมจู่ๆเจ้าถึงต้องไปกันล่ะ?” เมิ่งต้าเจียงอดไม่ได้ที่จะถาม ชีเยว่เคยมาอาศัยอยู่ที่คฤหาสน์จิงหูเมิ่งตอนที่เธอยังเด็กมาก หลังจากผ่านมาหลายปี เขาก็รู้สึกราวกับว่าเธอเป็นลูกแท้ๆ เมิ่งต้าเจียงก็ไม่อยากจะจากเธอไปเช่นกัน

 

หลิวเย่ป๋ายกล่าว “สายเลือดวิหคเพลิงในตัวชีเยว่ตื่นขึ้น เขาหยวนชูต้องการจะพาตัวเธอไปทันที และเธอจะได้ไปฝึกฝนที่เขาหยวนชู”

 

“สายเลือดร่างเทพวิหคเพลิงตื่นขึ้นและกำลังจะไปเขาหยวนชู?” เมิ่งต้าเจียงค่อนข้างประหลาดใจ

 

เห็นได้ชัดว่าเขารู้จักร่างเทพวิหคเพลิง

 

ร่างเทพมีหลายประเภท โดยทั่วไปแล้วร่างเทพเช่นร่างอัสนีนั้นทรงพลังมากและฝึกยาก วิชาร่างเทพอัสนีระดับสูงๆนั้นเรียกได้ว่ายากที่จะเริ่มฝึกฝนมาก แต่ร่างเทพวิหคเพลิงนั้นมีเงื่อนไขที่ยากยิ่งกว่า คนนอกจะไม่สามารถฝึกวิชานี้ได้เลย มีเพียงผู้สายเลือดวิหคเพลิงตื่นขึ้นมาแล้วเท่านั้นที่สามารถฝึกฝนวิชาได้ เทพอสูรที่ใช้วิชาร่างเทพวิหคเพลิงนั้นหายากมากๆ ตระกูลกงซุนที่เรียกได้ว่าเป็นตระกูลของวิหคเพลิงก็ไม่มีผู้สืบวิชาในสายเลือดมากว่าห้าร้อยปีแล้ว

 

ในตอนนี้ มีเทพอสูรเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ใช้วิชาร่างเทพวิหคเพลิง รวมชีเยว่เข้าไปก็จะเป็นคนที่สอง

 

“เป็นความฝันของพวกเราที่ได้เข้าสู่เขาหยวนชู” เมิ่งต้าเจียงตอบและยิ้มให้หลิวชีเยว่ “พวกเราต้องยินดีกับชีเยว่”

 

“อาชวน” หลิวชีเยว่ไม่ค่อยอยากจะจากกับเขาซักเท่าไหร่

 

“ข้าก็จะเข้าสู่เขาหยวนชูธันวานี้ด้วยเหมือนกัน” เมิ่งชวนกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เมื่อถึงเวลานั้น เราจะได้พบกันอีก”

 

“จ้ะ” หลิวชีเยว่พยักหน้า แต่ก็ยังมีความอาลัยอยู่ในหัวใจ

 

 

ขณะที่เมิ่งชวนและหลิวชีเยว่กำลังสนทนากัน ขุนนางเมฆาใต้ก็กำลังพูดคุยกับเหยียนจินในห้องโถง

 

“ตรากระบี่ของราชาทะเลตงไห่ช่วยเมืองตงหนิงเอาไว้” ขุนนางเมฆาใต้ถอนหายใจ “นี่คือโชคชะตา หากเจ้าไม่ได้อยู่ในเมืองตงหนิง เมืองนี้อาจถูกพวกอสูรทำลายล้างไปแล้ว”

 

เหยียนจินยืนฟังอยู่อย่างสงบเสงี่ยม

 

“อย่างไรก็ตาม พวกมันจะต้องตรวจสอบเหตุผลที่มันบุกได้ไม่สำเร็จอย่างละเอียดแน่” ขุนนางเมฆาใต้กล่าว “ราชาทะเลตงไห่เฝ้าดูด่านอันไห่อยู่ตลอดเวลา และเพราะพลังของกระบี่ทัณฑ์สวรรค์นั้นเป็นเพียงหนึ่งหรือสองส่วนของราชาทะเลตงไห่ พวกอสูรก็น่าจะสรุปได้อย่างง่ายดายว่ามันเป็นเพียงตรากระบี่ การผนึกตรากระบี่นั้นยากมาก และต้องใช้ต้นทุนมหาศาล ราชาทะเลตงไห่ผนึกมันให้กับลูกๆของเขาเพียงบางคนเท่านั้น”

 

“ราชาทะเลตงไห่มีลูกเจ็ดคน ห้าคนเป็นเทพอสูรแล้ว มีเพียงคนสุดท้องสองคนเท่านั้นที่ยังเป็นมนุษย์ และลูกคนที่หกของเขาก็กำลังฝึกฝนอยู่ในตงไห่ มีเพียงเจ้าที่มาที่เมืองตงหนิง” ขุนนางเมฆาใต้กล่าว “แม้ว่าตัวตนของเจ้าจะถูกเก็บเป็นความลับ แต่พวกอสูรก็คงจะตามสืบได้อยู่ดี เมื่อพวกมันรู้ว่าเจ้าเป็นลูกชายของราชาทะเลตงไห่ พวกมันจะส่งพวกนิกายอสูรฟ้ามาสังหารเจ้า ดังนั้นเจ้าควรจะออกไปจากเมืองตงหนิงโดยไว”

 

“ไปจากเมืองนี้?” เหยียนจินตะลึง

 

“เจ้าอาจจะตายก็ได้” ขุนนางเมฆาใต้กล่าว “เจ้าสามารถตามข้าไปยังเมืองหลวงได้ ถ้าเป็นเช่นนั้นข้าจะสามารถคอยปกป้องเจ้าได้ และเจ้ายังสามารถกลับไปที่ด่านอันไห่ได้ด้วย! ไม่มีอะไรที่ต้องเป็นห่วงที่นั่น”

 

“ไม่” เหยียนจินส่ายหน้า “ข้าไม่อยากไปทั้งด่านอันไห่หรือเมืองหลวง”

 

ขุนนางเมฆาใต้ขมวดคิ้ว “ทำไมเจ้าถึงดื้อดึงขนาดนี้กัน?”

 

“ไม่ต้องกังวลไปท่านขุนนาง ข้าจะออกไปจากเมืองตงหนิง และพวกอสูรจะหาข้าเจอไม่ได้ง่ายๆหรอก” เหยียนจินกล่าว

 

“เจ้า…” ขุนนางเมฆาใต้ส่ายหน้า พอนึกย้อนไปในจดหมาย เขาก็นึกขึ้นได้ว่านายน้อยที่เจ็ดของตะกูลราชาทะเลตงไห่ที่เจ็ดนี้เป็นคนที่โดดเดี่ยวและค่อนข้างสุดโต่งในความคิดของเขา มันเป็นเช่นนั้นจริงๆ

 

“แล้วถ้าอย่างนี้ล่ะ? เจ้าจะเข้าร่วมการคัดเลือกของเขาหยวนชูในปีนี้ใช่ไหม?” ขุนนางเมฆาใต้ถาม

 

“ขอรับ” เหยียนจินพยักหน้า

 

กฎของเขาหยวนชูนั้นเข้มงวด ยกเว้นว่าคนๆนั้นจะเป็นอัจฉริยะที่ไม่มีใครเทียบได้ ทุกๆคนก็ต้องเข้าร่วมการทดสอบกันหมด ไม่ว่าจะเป็นลูกชายของราชาทะเลตงไห่หรือเป็นเจ้าชายของราชวงศ์โจวที่ยิ่งใหญ่ก็ตาม ทุกคนเท่าเทียมกัน คนที่ไม่มีคุณสมบัติต้องถูกคัดออก

 

หลิวชีเยว่นั้นเป็นคนที่สองของโลกที่มีสายเลือดวิหคเพลิง ดังนั้นเธอจึงไม่จำเป็นต้องเข้ารับการทดสอบ เขาหยวนชูยอมรับเธอในทันที

 

แต่เหยียนจินยังต้องสอบอยู่

 

“ถ้าเช่นนั้น เจ้าสามารถไปยังเมืองหยวนชูได้เลย แล้วเจ้าจะได้เข้าร่วมการทดสอบของเขาหยวนชูในเดือนธันวานี้” ขุนนางเมฆาใต้กล่าว

 

เหยียนจินคิดครู่หนึ่งแล้วพยักหน้า “ก็ได้”

 

เขาไม่ชอบด่านอันไห่ เมืองหลวงยิ่งไม่ชอบ ทั้งสองที่นั้นต่างมีคนจากตระกูลราชาทะเลตงไห่อยู่เต็มไปหมด

 

“จะมีคนจากเขาหยวนชูมารับหลิวชีเยว่วันนี้ เมื่อถึงเวลา เจ้าสามารถไปที่เมืองหยวนชูพร้อมกับพวกเขาได้” ขุนนางเมฆาใต้กล่าวด้วยรอยยิ้ม

 

“ขอรับ” เหยียนจินพยักหน้า

 

 

ในเวลาต่อมา เมิ่งต้าเจียงและเมิ่งชวนก็เข้าไปในห้องโถงและแสดงความเคารพต่อขุนนางเมฆาใต้

 

“ขุนนางเมฆาใต้” เมื่อเมิ่งชวนเห็นขุนนางเมฆาใต้ ใจเขาก็เต็มไปด้วยความตกใจ

 

ประสาทสัมผัสของเขาใช้ได้ผลมาตลอด แต่เขากลับไม่สามารถสัมผัสถึงการมีอยู่ของขุนนางเมฆาใต้ได้เลยแม้แต่น้อย อันที่จริงแล้ว แม้ว่าจะอยู่ในห้องเดียวกันและอยู่ห่างกันไม่ถึงสิบจั้ง ขอบเขตสิบจั้งของเขาก็ยังไม่สามารถสัมผัสได้ด้วยซ้ำ

 

ต้องใช้ตาเปล่ามองเท่านั้นถึงจะเห็น

 

สถานการณ์แปลกๆดังกล่าวทำให้เมิ่งชวนตกใจ และเขาก็นึกได้ ‘เหนือฟ้ายังมีฟ้า แม้ว่าประสาทสัมผัสของข้าจะพิเศษและลึกลับ แต่มันก็ไร้ประโยชน์เมื่อยู่ต่อหน้าขุนนางเมฆาใต้’ เพราะอีกฝ่ายเป็นถึงหนึ่งในเทพอสูรที่แข็งแกร่งที่สุดในรัฐอู๋ มันทำให้เข้าใจได้ว่า “ประสาทสัมผัส” ของเขานั้นใช้ไม่ได้ผล

 

“คารวะท่านขุนนาง” เมิ่งต้าเจียงและเมิ่งชวนโค้งคำนับ

 

“พวกเจ้านั่งเถอะ” ขุนนางเมฆาใต้บอกขณะที่เขามองไปที่เมิ่งชวนอย่างสงสัย หลังจากที่นั่งลง เขาก็ถามว่า “เมิ่งชวน ข้าได้ยินมาว่าเจ้าสังหารผู้บัญชาการอสูรสองตนติดต่อกันที่สำนักเต๋าเพลิงตะวันใช่หรือไม่?”

 

“ขอรับ” เมิ่งชวนตอบ

 

“เจ้าเข้าถึงระดับ “สำนึกกระบี่” หรือยัง?” ขุนนางเมฆาใต้ถาม

 

หลอมรวมร่างกาย จิต และวิชาเข้าด้วยกันคือขั้นแรก “หนึ่งเดียว”

 

และเมื่อคนๆนั้นได้ก่อให้เกิดพลังที่เฉพาะตัวแล้วนั้น ความแข็งแกร่งก็จะเพิ่มขึ้นมหาศาล ขนาดที่ว่าสามารถใช้พลังแห่งฟ้าดินได้ “พลัง” คือระดับที่สอง

 

หากก้าวไปอีกขั้น “พลังกระบี่” ก็จะก่อเป็นรูปเป็นร่าง นั่นคือ “สำนึกกระบี่” มันเป็นสิ่งที่เฉพาะตัว “สำนึกกระบี่” นั้นลึกลับและยากที่จะหยั่ง เทพอสูรหลายคนอยู่ในระดับนี้ตลอดชีวิตของพวกเขาเลยด้วยซ้ำ “สำนึกกระบี่” คือขั้นที่สามของวิชากระบี่

 

“ไม่ขอรับ ข้ายังเข้าไม่ถึง “สำนึกกระบี่” ” เมิ่งชวนกล่าวตอบ

 

“โอ้” ขุนนางเมฆาใต้ผิดหวังเล็กน้อย

 

ว่ากันว่าหนุ่มน้อยนามเมิ่งชวนในเมืองตงหนิงได้สังหารแม่ทัพอสูรด้วยการฟันเพียงครั้งเดียว แถมยังสามารถสังหารพวกมันติดๆกันได้สองตัวอีก

 

สิ่งที่ขุนนางเมฆาใต้คิดในตอนแรกนั้นคือเมิ่งชวนได้เข้าถึง “สำนึกกระบี่” และเข้าถึงระดับสามของวิชากระบี่ การเข้าถึง “สำนึกกระบี่” ตั้งแต่ยังอายุ 18 นั้นทำให้คนๆนั้นกลายเป็นยอดอัจฉริยะที่เขาหยวนชูยังต้องตกใจ เขาคงจะได้รับเชิญในทันทีโดยที่ไม่ต้องเข้าร่วมการทดสอบเลยด้วยซ้ำ

 

น่าเสียดายที่เขาคิดมากไปเอง

 

“แล้วเจ้าสังหารแม่ทัพอสูรได้อย่างไร?” ขุนนางเมฆาใต้ถามด้วยความสงสัย

 

ภาพเทพอสูรบรรพกาล

ภาพเทพอสูรบรรพกาล

ภาพเทพอสูรบรรพกาล
Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง ภาพเทพอสูรบรรพกาล โลกนี้ถูกรุกรานโดยเหล่าปิศาจมานานนับศตวรรษ มนุษยชาติได้รวมตัวกันก่อตั้งสำนักที่เก่าแก่อย่างสำนักเขาหยวนชูขึ้นมา และจัดตั้งระบบการฝึกฝน พร้อมทั้งส่งเทพอสูรไปป้องกันประตูทางเข้าโลกต่างๆ เมิ่งชวนอัจฉริยะรุ่นเยาว์ที่เชี่ยวชาญกระบี่ไว แม้ว่าชีวิตนี้จะได้รับมรดกอันล้ำค่า แต่ปณิธานที่อยู่ภายในใจมีเพียงอย่างเดียวเท่านั้น นั่นก็คือกำจัดพวกปิศาจให้สิ้นซาก! ในอดีตมารดาของเขาได้ยอมสละชีวิตของตนเองเพื่อปกป้องเขา เรื่องนี้กลายเป็นแผลในใจที่ไม่อาจจะลืมเลือนได้ เขามุ่งมั่นและทุ่มเททุกอย่างเพื่อที่จะได้เข้าสู่เขาหยวนชู และได้รับทรัพยากรกับการสั่งสอนที่ดีกว่า นอกเหนือจากการฝึกฝนแล้ว สิ่งเดียวที่ทำให้จิตใจของเขาสงบลงได้ก็คือการวาดรูป และนี่คือจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขาแข็งแกร่งขึ้น…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset