ตอนที่ 72 แสงแดดยามเช้า 2/2
ด้วยการสะบัดพู่กัน เมิ่งชวนวาดภาพประตูผ่านโลกขึ้นมาตรงใจกลางของผ้าใบ ฝูงอสูรจำนวนมากทะลักออกมาจากมันกระจัดกระจายไปทั่วทิศทาง
เขาวาดภาพอย่างช้าๆ โดยเริ่มจากวาดร่างก่อน
เขาตั้งใจวาดอสูรตัวหนึงเป็นพิเศษในหมู่อสูรที่กำลังทะลักทะลวง มันเป็นอสูรตั๊กแตนตำข้าว เขาวาดมันอย่างระมัดระวัง เพราะมันเป็นอสูรที่ติดตรึงอยู่ในใจของเขามากที่สุดนับตั้งแต่ตอนอายุหกขวบ
…
ในขณะที่วาดภาพนั้น ร่างโปร่งแสงตัวเล็กในช่องว่างแห่งจิตของเขาก็เริ่มส่องสว่างออกมา ช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้ นับตั้งแต่ที่เขาวาดภาพ “สรรพชีวิต” นี่เป็นครั้งที่สองที่มันมีการเปลี่ยนแปลง
…
เขาหมกมุ่นอยู่กับภาพวาดของเขาโดยมุ่งเน้นไปที่อสูรตั๊กแตนตำข้าวที่กำลังตามล่าครอบครัวหนึ่ง
พ่อวิ่งหนีขณะที่กำลังอุ้มลูก ส่วนคนเป็นแม่มุ่งโจมตีใส่อสูรตั๊กแตนตำข้าวพร้อมกระบี่ในมือ
เพียงฉากนี้ฉากเดียวมันกลับใช้เวลากว่าสองชั่วโมงถึงจะทำเสร็จ และนี่เป็นเพียงมุมๆหนึ่งในผืนผ้าใบอันใหญ่ยักษ์นี้เท่านั้น
เมื่อเขาหยุดวาดภาพ เมิ่งชวนก็รู้สึกได้ถึงความเปลี่ยนแปลงในช่องว่างแห่งจิต
‘คนร่างเล็กนั่นกำลังส่องแสง?’ เขารู้สึกประหลาดใจ แต่จากนั้นแสงก็ค่อยๆจางไปอย่างรวดเร็ว
‘สภาพของช่องว่างแห่งจิตนี้มันต้องมีอะไรเกี่ยวกับภาพวาดของข้าเป็นแน่’ เมิ่งชวนประหลาดใจมาก ตอนที่เขาอายุ 16 ปี เขาวาดภาพ “สรรพชีวิต” ซึ่งเป็นภาพวาดที่ดีที่สุดของเขาตลอดหลายปีที่ผ่านมา ในคืนนั้น เขาได้ค้นพบช่องว่างแห่งจิตนี้อีกทั้งพลังแห่งวิญญาณ แต่ในตอนนั้น เขาไม่รู้เลยซักนิดว่ามันจะเกี่ยวข้องกับภาพวาด
อาจเป็นเรื่องบังเอิญก็ได้
อารมณ์ของเขาในขณะที่กำลังวาดภาพนี้ก็พลุ่งพล่านไม่น้อยไปกว่าตอนที่เขาวาดภาพ “สรรพชีวิต” เลย คนร่างเล็กในช่องว่างแห่งจิตนั้นทำให้เขาคิดเช่นนี้
อ่านตอนล่าสุดที่ my-novel.co หรือ www.thai-novel.com
‘มันต้องมีอะไรเกี่ยวกับการวาดภาพเป็นแน่!’
‘ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อนว่ามีใครที่ก่อกำเนิดพลังวิญญาณปริศนานี่จากการวาดภาพ?’ หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่นาน เมิ่งชวนก็ยังคงนึกไม่ออก ‘ช่างมัน เมื่อข้าเข้าสู่เขาหยวนชูได้ เดี๋ยวข้าก็คงรู้เอง’
อย่างน้อยที่สุด “พลังแห่งวิญญาณ” นี่ก็ช่วยเขาไว้ได้มาก
…
ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เมิ่งชวนได้ใช้อารมณ์อันพลุ่งพล่านนี่ผสมเข้ากับภาพวาดอย่างเต็มที่ ภาพวาดนี้ใช้เวลาวาดนานมากเช่นกัน เขาวาดออกมาได้เพียงน้อยนิดขณะที่ใช้เวลาสองถึงหกชั่วโมงต่อวันในการวาด
หลังจากใช้เวลากว่าหกเดือนกับผ้าใบผืนนั้น ในที่สุดเขาก็วาดเสร็จ
มันเป็นภาพชุดหนึ่ง แบ่งได้ออกเป็นสามส่วน
ส่วนแรกยาว 16 ฉื่อ ตรงกลางของภาพวาดเป็นฝูงอสูรที่กำลังทะลักออกมาทุกทิศทาง พวกมันถล่มทุกสิ่งที่ขวางหน้า มีพ่อแม่ที่พยายามปกป้องลูก แต่กลับถูกหางอันแหลมคมของอสูรแทงเขาใส่
ในภาพนี้มีซากศพอยู่ทุกหนแห่ง เด็กคนหนึ่งยืนร้องไห้ขณะที่ผู้ใหญ่ต่อกรกับอสูร และยังมีพ่อที่วิ่งแบกลูกหนีไปในขณะที่แม่ต้านอสูรเอาไว้ด้วยกระบี่…
เมิ่งชวนวาดฉากทั้งหมดสามสิบแปดฉาก ทุกฉากแสดงให้เห็นถึงอสูรและมนุษย์อย่างชัดเจน และทุกฉากนั้นต่างก็เป็นภาพที่เขาเคยสัมผัสหรือเห็นด้วยตาของเขาเอง ทุกๆครั้งที่เขาวาดภาพ เปลวเพลิงในจิตใจของเขาก็ลุกโชติมากขึ้นไปอีก
…
ตรงส่วนด้านนอก ที่ห่างไกลจากอสูรพอสมควร มีลูกศิษย์สำนักเต๋า พ่อค้า และคนธรรมดาที่กำลังตื่นตระหนก
…
และตรงนอกสุดนั้น ก็มีเทพอสูรทั้งสามยืนอยู่ที่วังหยกสุริยัน เตรียมพร้อมต่อสู้
และยังมีสถานที่อื่นๆอีกมาก
ในสำนักเต๋า ศิษย์ที่อ่อนแอกว่าได้เข้าไปในอุโมงค์ ในขณะที่ศิษย์ที่แข็งแกร่งกว่านั้นเฝ้าดูอสูรที่ใกล้เข้ามาด้วยท่าทางที่มุ่งมั่นและประหม่า ด้วยการสั่งการจากอาจารย์หรือเจ้าสำนัก เหล่าจอมยุทธเตรียมพร้อมสำหรับการต่อสู้
ไม่มีข้อยกเว้นใดๆ คนที่อ่อนแอ ไม่ว่าจะเป็นใครมาจากไหน ต่างเดินแถวเข้าอุโมงค์ไป
ส่วนคนที่แข็งแกร่ง ไม่ว่าจะอายุเท่าไหร่หรือเพศอะไร ต่างยืนอยู่ข้างกันเตรียมพร้อมสำหรับการต่อสู้
…
ดวงอาทิตย์ที่ภาพวาดที่พึ่งจะขึ้นนั้น แสดงให้เห็นว่าการรุกรานของอสูรเกิดขึ้นในตอนรุ่งสาง
นี่เป็นเพียงภาพวาดแรกเท่านั้น
ภาพวาดที่สองมีความยาวประมาณ 18 ฉื่อ มันโหดร้ายและโชกเลือดกว่านี้มาก
ใจกลางของภาพแสดงให้เห็นถึงซากศพ ผลจากการโจมตีของเหล่าอสูร ร่างชายหญิงและเด็กต่างนอนแน่นิ่งอยู่ตรงนั้น และบางร่างก็เป็นร่างของศิษย์สำนักเต๋า
การต่อสู้ปะทุขึ้นทุกที่
ทหารถือโล่พยายามต้านทานการโจมตีของอสูรในขณะที่อีกคนยิงโจมตีจากระยะไกล ท้องของมนุษย์ผู้นั้นถูกแทงแต่เขาก็ยังจับรัดอสูรเอาไว้แน่นเพื่อให้เพื่อนของเขาผ่าหัวอสูรด้วยกระบี่
มนุษย์บางคนฆ่าอสูรได้สำเร็จเนื่องจากกับดักที่พวกเขาวางไว้ อย่างไรก็ตาม ยังมีอสูรอีกมากมายรุดเข้ามาจากทุกทาง มีทั้งพ่อลูกคู่หนึ่งที่ร่วมกันจัดการกับอสูร มีกระทั่งทหารผ่านศึกที่ต่อสู้ด้วยเช่นกัน
…
เมิ่งชวนได้เห็นภาพที่น่าเศร้าเหล่านี้ด้วยตัวเอง มันเป็นภาพที่พบเห็นได้ทั่วในการรุกรานเมืองตงหนิง เขาวาดมันขึ้นมาจากความทรงจำ เขาวาดสายตาที่มุ่งมั่นของผู้ที่ยอมตกตายไปพร้อมกับอสูร และสหายของพวกเขาที่ต้องสู้ต่อไปอย่างเจ็บปวด…
ทำไมพวกเขาถึงต้องพยายามขนาดนั้น? ครั้งหนึ่งเมิ่งชวนเคยสงสัยในเรื่องนี้ แต่ในตอนที่เขาวาดรูปนี้ มันทำให้เขารู้คำตอบหลังจากที่ได้วาดผู้คนเหล่านี้
พวกเขาทำเพื่อความหวัง
พวกเขาทำเพื่อคนที่รักและความหวัง ความหวังที่จะได้เห็นดวงอาทิตย์ขึ้นอีกครา
พวกเขาต้องพยายามอย่างหนักเพื่อให้มั่นใจว่าครอบครัวของพวกเขาจะมีชีวิตอยู่
…
เขาวาดฉากที่สำนักเต๋าเพลิงตะวันพยายามอย่างเต็มที่ที่จะป้องกันในขณะที่เหล่าอสูรบุกเข้าไปในนั้น เหล่าทหารผ่านศึก ทหารประจำการ และหนุ่มสาวต่างพยายามที่จะป้องกันอย่างเต็มที่ ใช้ชีวิตของพวกเขาเป็นกำแพงเพื่อขวางกั้นไม่ให้อสูรบุกเข้าไปหาคนที่อ่อนแอกว่าที่หลบอยู่ในอุโมงค์
…
ตระกูลเทพอสูรเองก็ต่อสู้อย่างสุดกำลัง เหล่าผู้อาวุโสพุ่งไปข้างหน้าเพื่อต้านอสูรเอาไว้ เหล่าหนุ่มสาวเองก็สู้ด้วยเช่นกัน ผู้อาวุโสหัวล้านที่นำการตอบโต้กลับถูกหนวดอสูรแทงเข้าใส่อก แต่ถึงกระนั้น เขาก็ยังสามารถสังหารอสูรได้ด้วยการฟาดฟันเพียงครั้งเดียว
…
เทพอสูรที่วังหยกสุริยันเองก็ต่อสู้อย่างสุดกำลัง มีเทพอสูรคนหนึ่งได้ล้มลงไปแล้วและเทพอสูรหญิงอีกคนก็พยายามอย่างเต็มที่ที่จะรั้งเอาไว้ มีเพียงเทพอสูรชายคนสุดท้ายที่ต้องต่อสู้กับราชาอสูรทั้งสี่
พวกเขามีเพียงเทพอสูรคนเดียวที่ยังต่อสู้ได้อยู่ มันเป็นการต่อสู้ที่ช่างสิ้นหวัง
แต่มันก็เพื่อความหวังเช่นกัน
…
ดวงอาทิตย์ของอีกภาพนั้นอยู่สูงขึ้นมาอีกหน่อย
ภาพวาดทั้งผืนนี้แสดงให้เห็นถึงการต่อสู้ทุกหนทุกแห่ง มันใช้เวลาไปกว่าสามเดือนกว่าเมิ่งชวนจะวาดเสร็จ
…
ภาพที่สามยาว 16 ฉื่อ สถานการณ์ในสนามรบนั้นกลับตาลปัตร ผู้คนจากทั่วทุกสารทิศเริ่มโจมตีใส่อสูรในขณะที่พวกมันหนีไปอย่างตื่นตระหนก
พวกอสูรทุกตนกำลังหลบหนี พวกมันตื่นตระหนก ดูน่าสมเพชในขณะที่ถูกไล่สังหารไปทีละตัว พวกมันหนีอย่างเอาเป็นเอาตายไปที่ประตูผ่านโลกที่อยู่ตรงกลาง ที่ๆมันจากมา และตอนนี้ นั่นคือทางรอดของพวกมัน
ในขณะเดียวกัน ในรอบนอก ลำแสงกระบี่พุ่งลงมาจากท้องฟ้าและสังหารราชาอสูรในวังหยกสุริยันในขณะที่ราชาอสูรตนอื่นๆหนีไปอย่างน่าสมเพช
ในสำนักเต๋า ทุกๆคนต่างช่วยรักษาสหายที่บาดเจ็บของพวกเขา มีทั้งเด็กและผู้ใหญ่ที่บาดเจ็บสาหัส
ผู้คนจำนวนมากไม่ว่าจะเพศอะไรต่างก็ตายในการต่อสู้ บางคนหล่อสวย หรือบางคนก็แก่หงำเหงือก คนที่เหลืออยู่ก็ได้แต่ร้องไห้เสียใจให้กับคนที่ตายไป
ทุกๆที่ ไม่ว่าจะเป็นบ้านเรือน ร้านอาหาร โรงน้ำชา ตระกูลเทพอสูร และอีกมาก ก็เริ่มที่จะรักษาคนเจ็บและขนย้ายซากศพแล้ว
สำหรับซากศพอสูรจำนวนมากที่กระจัดกระจายไปทั่วนั้น ไม่มีใครแม้แต่จะสนใจมอง พวกเขาส่วนมากต่างดูแลคนเจ็บและฝังศพคนตาย
แม้ว่าการต่อสู้จะได้รับชัยชนะ แต่ในภาพนี้กลับไม่มีความสุข กลับกัน เราสามารถรู้สึกได้ถึงความมุ่งมั่นในการต่อสู้จากภาพนี้ มันคือความมุ่งมั่นอันแรงกล้า! วีรบุรุษได้ตายไป แต่ว่าคนที่ยังอยู่นั่นก็จะมุ่งหน้าและสู้ต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง
ดวงอาทิตย์ขึ้นสูงในทิศตะวันออก
ภาพนี้ถูกวาดด้วยสีที่สว่างที่สุดจากทั้งสามภาพ
…
หลังจากที่เมิ่งชวนวาดภาพเสร็จ เขาก็นิ่งเงียบไปเป็นเวลานาน ในที่สุด เขาก็เขียนคำสี่คำในภาพสุดท้าย “แสงแดดยามเช้า” ส่วนสองภาพแรกนั้นเขาไมไ่ด้ตั้งชื่อให้