จิ๋งจิ่วพลันงุนงง กล่าวถามว่า “อะไรนะ?”
หลิ่วสือซุ่ยกล่าวอย่างหวาดกลัว “หากท่านเป็นสายลับของสำนักอื่น เช่นนั้นท่านก็รีบไปเสียเถอะ ข้ามิบอกผู้อื่น”
เวลานี้จิ๋งจิ่วถึงได้เข้าใจความหมายของเขา จึงยิ้มพลางส่ายหัว จากนั้นวางเม็ดทรายที่คีบอยู่ในนิ้วมือลง
เมื่อหนึ่งปีก่อนเขาเคยถามหลิ่วสือซุ่ยว่าเหตุใดจึงยังอยู่ข้างกายเขา
หลิ่วสือซุ่ยไม่ยอมตอบ คล้ายจะฟังมิเข้าใจ ทว่าจิ๋งจิ่วรู้ว่าเขาฟังคำถามของตนเข้าใจ
เวลานั้นหลิ่วสือซุ่ยได้เกิดความคลางแคลงสงสัยในตัวเขาแล้ว ถึงขนาดจงใจจัดฉากตอบคำถามครั้งนั้นขึ้นมา เนื่องเพราะอยากให้เขาทำความดีความชอบให้แก่สำนักบ้าง เพื่อเป็นผลดีแก่ตัวเขาในอนาคต จริงอยู่ที่ความคิดและการวางแผนเช่นนี้มันช่างเด็กน้อยแลไร้เดียงสา แต่สำหรับเด็กชายคนหนึ่งแล้ว ยังหวังจะให้เขาทำอะไรได้มากกว่านี้อีก?
หลังจากวันนั้น หลิ่วสือซุ่ยก็มิเคยพูดถึงเรื่องทำนองนั้นอีก จนกระทั่งวันนี้ ในที่สุดเขาก็ถามออกมา
เนื่องเพราะเขากำลังจะเข้าเป็นศิษย์ในสำนัก กลายเป็นศิษย์สำนักชิงซานที่แท้จริง มิได้เป็นแค่เพียงเด็กรับใช้ของจิ๋งจิ่วอีก
จิ๋งจิ่วมิได้ผิดหวัง ยิ่งมิได้รู้สึกโกรธเคือง หากแต่รู้สึกน่ารัก
นี่มิใช่การทรยศหักหลัง เพียงแค่เติบโตขึ้นเท่านั้น
ดังนั้นเขาจึงยิ้มออกมา
เขายิ้มได้งดงามนัก ราวกับก้อนน้ำแข็งที่ไม่ละลายมาเป็นเวลาหมื่นปีในที่สุดก็ถูกแสงอาทิตย์ในฤดูใบไม้ผลิหลอมละลาย จากนั้นมีดอกบัวที่สวยสดงดงามดอกหนึ่งงอกออกมา
หลิ่วสือซุ่ยมองรอยยิ้มของเขาจนตาลาย จึงกล่าวอุทานออกมาว่า “คุณชายยังคงรูปงามถึงเพียงนี้”
จิ๋งจิ่วมองดูใบหน้าที่สะท้อนอยู่บนจานกระเบื้อง กล่าวว่า “นั่นสิ ผ่านมาสองปีแล้ว ยังรู้สึกไม่ชินเท่าไร”
หลิ่วสือซุ่ยได้สติขึ้นมา ก่อนจะถามอย่างไม่สบายใจว่า “คุณชาย ท่านเป็นใครกันแน่?”
จิ๋งจิ่วกล่าว “ข้ามิอยากบอกเจ้า”
หลิ่วสือซุ่ยก้มหน้าซึมเซา ส่งเสียงอื้อในลำคอ
จิ๋งจิ่วมองดูท่าทางของเขา จึงกล่าวปลอบใจว่า “เอาเป็นว่าข้ามิใช่สายลับ”
หลิ่วสือซุ่ยครุ่นคิดจริงจัง พบว่าเป็นเช่นนั้นจริง จึงมิรู้สึกกังวลใจอีก
คนที่รูปโฉมงดงามเหมือนอย่างคุณชาย จะเป็นสายลับได้อย่างไรกัน? ยิ่งไปกว่านั้นเขายัง…เกียจคร้านถึงเพียงนี้
บนโลกมีสายลับที่เกียจคร้านเช่นนี้ที่ไหนกัน? ทั้งวันเอาแต่เหม่อลอยอยู่ในที่พัก จะไปสืบอะไรได้?
……
……
เหล่าศิษย์นอกสำนักทั้งหมดของศาลาหนานซงต่างมารวมตัวกันอยู่หน้าหอกระบี่ เหล่าผู้ดูแลเหล่านั้นก็มาด้วยเช่นกัน
หลิ่วสือซุ่ยยืนอยู่บนบันไดหินหันหน้ามองกลับไป ในใจวิตกกังวลเล็กน้อย มิได้เป็นเพราะสายตาที่บ้างคาดหวังบ้างริษยาเหล่านั้น หากแต่เป็นเพราะจิ๋งจิ่วมิได้มาจริงอย่างที่คิดเอาไว้
อาจารย์หลี่ว์ตบบ่าเขา กล่าวว่า “ไม่มีปัญหา”
เขารู้ดีว่าตนเองมิใช่คนแรกที่ค้นพบว่าหลิ่วสือซุ่ยคือเมล็ดพันธุ์แห่งเต๋าแต่กำเนิด แต่หลิ่วสือซุ่ยคือคนที่เขาพากลับมาจากหมู่บ้านแห่งนั้น ในหนึ่งปีมานี้เขาให้การเอาใจใส่และปกป้องหลิ่วสือซุ่ยอย่างดีที่สุด เขาคิดว่าตัวเองก็เข้าใจหลิ่วสือซุ่ยเป็นอย่างดีเช่นกัน เด็กคนนี้ไม่เพียงแต่จะมีพรสวรรค์ที่ยอดเยี่ยม สติปัญญาที่ไม่ธรรมดา ที่สำคัญกว่านั้นคือมีความสัตย์ซื่อ ขยันบำเพ็ญเพียร ฝึกปรือพื้นฐานได้ดีเยี่ยม โอกาสที่วันนี้จะผ่านการทดสอบมีสูงมาก
จากนั้นเขาก็ครุ่นคิดถึงคนที่เดิมทีตัวเองก็ให้ความสำคัญอย่างมากอีกคนหนึ่ง นั่นคือจิ๋งจิ่ว สำหรับเขาแล้ว พรสวรรค์ของจิ๋งจิ่วธรรมดา สติปัญญาก็ธรรมดา แต่ความสามารถในการวิเคราะห์และความรอบรู้ยอดเยี่ยมเหนือกว่าศิษย์ธรรมดาทั่วไปอย่างมาก บางทีอาจจะเหนือกว่าเขาเสียด้วยซ้ำ เพียงแต่…บุรุษหนุ่มผู้นั้นไม่มีใจแสวงหาความก้าวหน้าเลย เมื่อครึ่งปีก่อนเขาเคยใช้จิตจำแนกแห่งกระบี่มองดูครั้งหนึ่ง พบว่าจิ๋งจิ่วยังไม่มีเมล็ดพันธุ์แห่งเต๋างอกออกมา นี่ทำให้เขาผิดหวังเป็นอย่างยิ่ง
อาจารย์หลี่ว์มิได้ครุ่นคิดเรื่องนี้อีก เขากล่าวกับหลิ่วสือซุ่ยว่า “จำไว้ ใจที่ไม่ฟุ้งสำคัญที่สุด”
หลิ่วสือซุ่ยพยักหน้า ก่อนจะเดินเข้าไปในห้องที่ดูเหมือนจะเป็นห้องธรรมดาห้องหนึ่งที่อยู่ด้านในหอกระบี่ โดยมีอาจารย์แลเพื่อนร่วมสำนักยืนมองดูอยู่
ผู้ที่รับผิดชอบการทดสอบครั้งนี้คืออาจารย์เซียนท่านหนึ่งจากยอดเขาซีไหลซึ่งเป็นยอดเขาที่หก และยังมีหมิงกั๋วซิ่งซึ่งเป็นอาจารย์เซียนที่ทำการจดบันทึกอยู่ด้านนอกประตูศาลาหนานซงครานั้นด้วย
“คารวะอาจารย์อาหมิง คารวะอาจารย์อาท่านนี้”
จวบจนวันนี้หลิ่วสือซุ่ยก็ยังมิเคยเข้าไปในยอดเขาทั้งเก้า ทว่าชื่อเสียงของเขาได้ขจรขจายไปทั่วยอดเขาทั้งเก้าแล้ว
เมล็ดพันธุ์แห่งเต๋าแต่กำเนิด ย่อมต้องคนที่สำนักชิงซานให้ความสำคัญในการเลี้ยงดู ผู้ใดกล้าดูแคลน?
อาจารย์อาจากยอดเขาซีไหลผู้นั้นพยักหน้าด้วยสีหน้าอ่อนโยน หมิงกั๋วซิ่งดีใจเป็นอย่างยิ่ง เขายิ้มพลางตบบ่าหลิ่วสือซุ่ย
เพราะชื่อของหลิ่วสือซุ่ย เขาเป็นคนที่เขียนมันลงไปบนสมุดรายชื่อด้วยตัวเอง ในอนาคตหากเด็กคนนี้มีชื่อเสียงไปทั่วทั้งแผ่นดิน ก็นับเป็นเกียรติของเขาเช่นเดียวกัน
หมิงกั๋วซิ่งคิดถึงบุรุษหนุ่มชุดขาวที่ใบหน้าหล่อเหลางดงามอย่างยิ่งคนนั้น จึ่งถามว่า “ช่วงนี้คุณชายของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?”
หลิ่วสือซุ่ยมิรู้ว่าควรจะตอบอย่างไร
อาจารย์อาจากยอดเขาซีไหลผู้นั้นเหลือบมองหมิงกั๋วซิ่ง ก่อนใช้สายตาสอบถาม
หมิงกั๋วซิ่งใช้มือขวาวาดไปบนใบหน้า อาจารย์อาที่มาจากยอดเขาซีไหลท่านนั้นทราบทันทีว่าเขาพูดถึงใคร ก่อนจะยิ้มเล็กน้อย มิได้ว่ากระไร
“ไม่ว่าหลังจากนี้เจ้าจะผ่านการทดสอบหรือไม่ เนื้อหารายละเอียดในการทดสอบ โดยเฉพาะความรู้สึกที่รับรู้ในนั้น ห้ามเจ้านำไปบอกคนอื่น”
อาจารย์อาที่มาจากยอดเขาซีไหลท่านนั้นหุบยิ้ม ก่อนจะมองหลิ่วสือซุ่ยพลางกล่าว
หลิ่วสือซุ่ยนิ่งเงียบไปครู่จึ่งส่งเสียงตอบรับ
หมิงกั๋วซิ่งและอาจารย์อาท่านนั้นเดินออกไปจากห้อง พลางปิดประตู
หลิ่วสือซุ่ยเดินไปหน้าโต๊ะ ก่อนจะสูดหายใจอย่างตื่นเต้น
บนโต๊ะมีแท่นวางของตั้งอยู่ตัวหนึ่ง บนแท่นมีวัตถุทรงยาวอยู่อันหนึ่ง สีดำขลับ แต่ผิวนอกเรียบลื่นเป็นมันวาว คล้ายมีกลิ่นอายอันเยือกเย็นแผ่กระจายออกมา
นี่คือหน่อกระบี่
หลิ่วสือซุ่ยสงบสติอารมณ์ วางมือไปบนหน่อกระบี่ จากนั้นหลับตา แล้วเริ่มขับเคลื่อนปราณก่อกำเนิดที่ไหลเวียนอยู่ในเส้นลมปราณ
หน่อกระบี่สามารถรับรู้ถึงปริมาณปราณก่อกำเนิดของผู้บำเพ็ญพรต แล้วก็สามารถไหลย้อนขึ้น เพื่อทำการสะท้อนทะเลวิญญาณออกมาอย่างละเอียด
มีเพียงทะเลวิญญาณที่ถูกถมจนเต็ม จึงจะสามารถหล่อเลี้ยงเมล็ดพันธุ์แห่งเต๋าให้เติบโต้ และทำให้ผลแห่งกระบี่งอกออกมาได้
ผู้บำเพ็ญพรตที่ไม่มีหวังออกผลแห่งกระบี่ ย่อมไม่มีสิทธิ์เข้าเป็นศิษย์ในสำนักของชิงซาน
……
……
เสียงหวึ่งดังขึ้น
เสียงนั้นฟังดูทุ้มต่ำ ทว่าความจริงกลับชัดเจนแจ่มแจ้ง ราวกับกระบี่จำนวนนับไม่ถ้วนฟาดฟันใส่กันในเวลาเดียวกัน
หมิงกั๋วซิ่งแลอาจารย์อาจากยอดเขาซีไหลที่อยู่ด้านนอกประตูสบตากัน ในใจเปี่ยมด้วยความรู้สึกตกตะลึงและยินดี
เป็นเมล็ดพันธุ์แห่งเต๋าแต่กำเนิดอย่างที่ร่ำลือจริงด้วย ถึงกับสามารถทำให้หน่อกระบี่ส่งเสียงสะท้อนได้รุนแรงเพียงนี้!
เด็กคนนั้นเพิ่งจะบำเพ็ญเพียรมาได้เพียงหนึ่งปี ตอนนี้เพิ่งจะอายุได้เพียงสิบสองปีเท่านั้น!
……
……
หลังจากนั้นครึ่งชั่วยาม หลิ่วสือซุ่ยก้าวเดินออกมาจากหอกระบี่
อาจารย์หลี่ว์ ลูกศิษย์คนอื่นและเหล่าผู้ดูแลที่อยู่ด้านนอกหอกระบี่ได้ยินเสียงกระบี่นั้นแล้ว แต่ยังคงมองเขาอย่างวิตกกังวล
หลิ่วสือซุ่ยพยักหน้า จากนั้นฉีกยิ้มดีใจขึ้นมา
อาจารย์หลี่ว์ปลื้มปีติยิ่งนัก เหล่าลูกศิษย์นอกสำนักตะโกนออกมาอย่างตื่นเต้น เสียงโห่ร้องยินดีดังออกไปไกล
เสียงโห่ร้องดังลอยมาถึงที่พักที่อยู่ในป่าลึกหลังนั้น จิ๋งจิ่วยิ้มขึ้นมา
เขามิเคยคิดมาก่อนว่าหลิ่วสือซุ่ยจะไม่ผ่านการทดสอบเป็นศิษย์ในสำนัก เขาจึงเกียจคร้านที่จะไปดู
เมล็ดพันธุ์แห่งเต๋าแต่กำเนิด ฝึกปรือพื้นฐานมาก่อนเป็นเวลาครึ่งปี ทั้งยังกินยาจื่อเซวียนไปแล้วเม็ดหนึ่ง มีหรือที่จะไม่ผ่าน?
นอกเสียจากคนผู้นั้นจะมีทะเลวิญญาณที่ลึกจนยากหยั่งถึงอย่างเขา ทว่าบนโลกนี้ไหนเลยจะมีเขาคนที่สองได้?
ประตูถูกผลักออก หลิ่วสือซุ่ยวิ่งเข้ามา แต่กลับพูดอะไรไม่ออก
เขาไม่รู้ว่าควรจะแสดงความรู้สึกของตนออกมาอย่างไร
คิดไม่ถึง จิ๋งจิ่วลุกยืนขึ้นมาจากเก้าอี้ไม้ไผ่
เขายืนไพล่หลังมองดูหลิ่วสือซุ่ย จากนั้นกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบและจริงจังว่า “ธรรมวิธียากลำบากและยาวไกล น้อยนักที่จะมีคนเดินเคียงไปด้วยจนสุดทาง เจ้าได้ก้าวเดินไปบนเส้นทางแล้ว ยิ่งต้องตั้งใจ จากกันครานี้คงยากได้พบพาน หากแม้นลืมเลือนก็จงปล่อยมันไป มิต้องคอยหวนคิดจดจำ เช่นนั้นไม่ดี”
หลิ่วสือซุ่ยงุนงงก่อนจะเข้าใจว่าเขากำลังพูดอะไร จึงกล่าวอย่างโมโหว่า “ข้าไม่มีทางลืม”
…………………………………………………………….