“ประเดี๋ยวไม่ว่าจะเกิดปรากฏการณ์ที่น่าตกตะลึงเพียงใด ก็อย่าได้แตกตื่นลนลาน”
ศิษย์ชิงซานขอร้องให้ชาวเมืองกลับบ้านของตน นักท่องเที่ยวต่างถิ่นที่มีจำนวนไม่มากต่างก็รีบกลับโรงเตี๊ยมเช่นเดียวกัน ไม่นานบนถนนก็มิเหลือผู้ใด
ศิษย์คนหนึ่งมองดูศพบนถนนร่างนั้น พลางเอ่ยถามอย่างสงสัยว่า “เพลิงวิญญาณของศิษย์เผ่าหมิงผู้นี้ธรรมดา พลังฝีมือต่ำต้อย เหตุใดถึงกล้ารั้งอยู่ที่นี่?”
ศิษย์อีกคนรับคำขึ้นมา “ใครจะรู้ล่ะ? บางทีมันอาจคิดอยากดูปรมาจารย์อาบรรลุกลายเป็นเซียนกระมัง ภาพอันยิ่งใหญ่เช่นนี้ มีผู้ใดมิอยากดู?”
ทันใดนั้นลมพลันพัดโบก ใบไม้หลุดร่วงปลิดปลิว
เหล่าศิษย์แหงนหน้ามองฟ้า ลำแสงกระบี่นับหลายร้อยสายพุ่งตรงไปยังหมู่ยอดเขาจากทุกทิศทาง จากนั้นพลันมีแสงอันเป็นเอกลักษณ์ของอาวุธวิเศษอีกสิบกว่าสายพร่างพราวเจิดจ้าเต็มคุ้งฟ้า สุดท้ายเป็นฐานดอกบัวใหญ่ยักษ์ฐานหนึ่งลอยมาจากบนฟ้า พลังสภาวะอันแก่กล้าลอยฟุ้งเต็มนภา
“หรือนั่นจะเป็นเหล่าไท่จวินแห่งสำนักเสวียนหลิง”
“เจ้าสำนักอู๋เอินเหมิน!”
“รองอัครมหาเสนาบดีจิ้งจง!”
“ลำแสงกระบี่ที่พุ่งขึ้นไปบนฟ้าอันนั้น ช่างน่าอัศจรรย์จริงๆ หรือจะเป็นผู้นั้น?”
“เหล่าศิษย์พี่แห่งยอดเขาเหลี่ยงว่างกลับมาแล้ว หัวหน้าผู้อาวุโสแห่งยอดเขาซั่งเต๋อก็กลับมาแล้ว!”
“เจวี่ยนเหลียนเหรินก็มาด้วยหรือนี่?”
เหล่าลูกศิษย์ตะลึงลานจนมิสามารถบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้ หากไม่เป็นเพราะเหตุการณ์สำคัญที่จะอุบัติขึ้นในวันนี้ ไฉนเลยจะมีโอกาสได้เห็นผู้ยิ่งใหญ่พร้อมกันมากมายขนาดนี้
เจ้าล่าเยวี่ยมิได้สนใจแยแสเรื่องเหล่านี้ นางหิ้วร่างไร้วิญญาณของอินซานเดินออกไปนอกเมือง
……
……
อาจารย์เมิ่งผู้นั้นมิได้จากเมืองไป หากแต่ยืนอยู่บนต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งด้านนอกเมือง สายตามองไปยังยอดเขาสูงใหญ่ยอดนั้น อารมณ์สับสนเล็กน้อย
ปรมาจารย์อาจิ่งหยางสถานะสูงส่งยิ่ง เขาคือศิษย์น้องของท่านนักพรตไท่ผิง ทั้งยังเป็นผู้ที่ท่านเจ้าสำนักต้องขานเรียกอาจารย์อาเล็กด้วยความเคารพ
ว่ากันว่าปรมาจารย์อาผู้นี้พรสวรรค์เป็นเลิศเหนือมนุษย์ สร้างสรรค์บันทึกแห่งการบำเพ็ญพรตอันน่าเหลือเชื่อมาแล้วนับไม่ถ้วน ทว่าเก็บตัวบำเพ็ญเพียรอยู่บนยอดเขาที่เก้าอย่างเงียบๆ เป็นเวลายาวนาน น้อยครั้งนักที่จะพบคนนอก เหล่าศิษย์เอกในสำนักมีเพียงไม่กี่คนที่เคยได้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของปรมาจารย์อาผู้นี้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเขาเลย
วันนี้ไม่เพียงแต่เจ้าสำนักใหญ่ๆ เท่านั้นที่มารวมตัวกัน กระทั่งผู้ยิ่งใหญ่ที่ใช้ชีวิตสันโดษอยู่ในโลกภายนอกอีกมากมายก็มาด้วยเช่นกัน
เขามิคาดคิดเลยว่ากระทั่งฉานจึแห่งฝอจง[1] ที่ผู้คนพากันร่ำลือผู้นั้นก็มาด้วย
ได้ยินว่าในส่วนลึกของชั้นเมฆอาจจะมีผู้ยิ่งใหญ่จากส่วนอื่นของแผ่นดินหลบซ่อนอยู่
เป็นเรื่องอัศจรรย์ที่ไม่เคยพบพานในรอบพันปีจริงๆ ด้วย
หากลำแสงกระบี่นั้นมาจากเทพกระบี่ แล้วเทพดาบเล่า?
อาจารย์เมิ่งเหม่อลอยเล็กน้อย
นามเหล่านั้นห่างไกลตัวเขาเกินไป
ยอดเขายอดนั้นห่างไกลจากเขายิ่งกว่า
เรื่องราวเกี่ยวกับปรมาจารย์อาผู้นั้น เขาเพียงเคยได้ยินข่าวลือบางส่วนเท่านั้น
ว่ากันว่าเมื่อครั้งหลังจากที่รับตำแหน่งเจ้าสำนักแล้ว ในตอนที่เจ้าสำนักเอ่ยถึงผู้อาวุโสที่เก็บตัวบำเพ็ญเพียรอยู่บนยอดเขาผู้นี้ เขาพูดเพียงอาจารย์อาเล็กไม่กี่พยางค์นี้แล้วไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาอีก ยังมีอะไรอีกหลายอย่างเกี่ยวกับอาจารย์อาเล็กผู้นี้ที่เจ้าสำนักไม่ได้กล่าวออกมา
เขาเข้าใจดีว่าเป็นเพราะเหตุใด ก็คล้ายกับที่ทั่วทั้งสำนักชิงซานต่างรู้ดีว่าเหตุใดเวลาที่อาจารย์ลุงเจี้ยนลวี่แห่งยอดเขาซั่งเต๋อเอ่ยถึงปรมาจารย์อาผู้นี้ถึงไม่เคยมีความเคารพยำเกรง มักจะมีเพียงเสียงแค่นหัวเราะเยือกเย็นอยู่ในลำคอ
ปรมาจารย์อาคนเล็กนั้นคือผู้ฝึกตนที่มีสภาวะแก่กล้าที่สุดในสำนักชิงซานไปจนถึงทั่วทั้งโลกแห่งการบำเพ็ญพรต
ทว่านับแต่ที่ย่างก้าวเข้าไปในเขาชิงซาน เขาก็เอาแต่เก็บตัวบำเพ็ญเพียรอยู่บนเขา น้อยครั้งที่จะปรากฏตัวต่อหน้าผู้คน ยิ่งมิต้องพูดถึงเรื่องแสดงฝีมือ
เขามิเคยเป็นตัวแทนของสำนักชิงซานเข้าร่วมงานชุมนุมเหมยฮุ่ย[2] มิเคยต่อสู้กับยอดฝีมือของราชสำนักแห่งเจาเกอ ไม่เคยประมือกับผู้เยี่ยมยุทธ์ของสำนักอื่นที่หลบซ่อนตัวอยู่ ในสงครามอย่างลับๆ ของฝ่ายธรรมะกับผู้อาวุโสของเผ่าหมิงก็มิเคยเห็นเขา กระทั่งในศึกที่สู้กับผู้บำเพ็ญเพียรของแคว้นเสวี่ยทั้งสามคราก็มิเคยเห็นเขาปรากฏกาย
บนเส้นทางแห่งพรตอันยาวนาน เขามิเคยทำอะไรเลย นอกจากบำเพ็ญเพียร
ถูกต้อง คงจะมีเพียงผู้ฝึกตนที่ไม่สนใจโลกภายนอกแลตัดขาดจากอารมณ์ความรู้สึกเช่นนี้ ถึงจะสามารถเดินไปถึงสุดทางของเส้นทางแห่งพรต และก้าวข้ามไปยังดินแดนที่สุดจะจินตนาการได้ถึงกระมัง
เพียงแต่การฝึกตนเช่นนี้…ต่อให้สภาวะของปรมาจารย์อาจะสูงส่งเพียงใด แล้วมันจะมีความหมายอันใดต่ออนุชนรุ่นหลังอย่างพวกเขากันเล่า? มันจะมีความหมายอันใดต่อสำนักชิงซานกันเล่า? มันจะมีความหมายอันใดต่อสรรพชีวิตในใต้หล้านี้กันเล่า?
แม้นจะน่าตกตะลึงเพียงใด ทว่าคำเล่าลือก็เป็นเพียงคำเล่าลือ ไม่มีทางที่จะอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริงได้ เช่นนั้นก็จากไปดีกว่า
เมื่อมองดูยอดเขาสูงที่เดี๋ยวผลุบเดี๋ยวโผล่อยู่ในม่านหมอกยอดนั้น มุมปากเขาพลันมีรอยยิ้มขมขื่นเล็กน้อยปรากฏขึ้นมา
กระทั่งเขาเห็นเจ้าล่าเยวี่ยเดินหิ้วศพของมารร้ายเผ่าหมิงผู้นั้นออกไปนอกเมือง ความขมขื่นภายในรอยยิ้มพลันหายไป ในใจรู้สึกตกใจเล็กน้อย แต่ที่มากกว่านั้นคือปลื้มใจ
ขณะที่ทั่วทั้งโลกกำลังจับจ้องไปยังยอดเขายอดนั้น นางกลับไม่มอง
อายุเท่านี้ ไฉนใจถึงนิ่งสงบเพียงนี้?
มิเสียทีที่เป็นสาวน้อยอัจฉริยะที่ทั้งสำนักชิงซานแอบจับตามองดูอยู่
ทันใดนั้นเอง รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาหายไป ก่อนจะมองไปทางยอดเขานั้นอีกครั้ง
ก็เหมือนดั่งที่เขาว่าไว้ คนที่มีสิทธิ์มองไปทางยอดเขานั้น เวลานี้ต่างมองไปทางนั้นกันหมดแล้ว
เมฆหมอกที่อยู่ระหว่างกลุ่มยอดเขาราวกับถูกมือยักษ์ข้างหนึ่งกวนไปมา มันหมุนวนอย่างรุนแรง จากนั้นกระจายตัวไหลออกไปรอบทิศ ค่อยๆ เผยให้เห็นท้องฟ้าที่ใสกระจ่าง
เงาตะคุ่มๆ สองสามเงาตรงส่วนลึกของชั้นเมฆถูกบีบให้เผยตัวออกมา เงาเหล่านั้นโค้งคำนับไปยังยอดเขาเทียนกวงของสำนักชิงซาน ดูคล้ายมิร้อนใจ แต่ความจริงแล้วกลับกระอักกระอ่วนอยู่มิน้อย
ไกลออกไปกว่านั้น เงาสีดำที่มีเปลวไฟเยือกเย็นลุกท่วมสองเงารีบถอยไปด้านหลังอย่างรวดเร็ว แลดูทุลักทุเลยิ่งนัก
อาจารย์เมิ่งคาดเดาได้ว่าหนึ่งในนั้นน่าจะเป็นมหาปุโรหิตแห่งเผ่าหมิง แล้วอีกคนหนึ่งเล่า?
ข่ายพลังชิงซานมิได้เปิดฉากโจมตี บนยอดเขาเทียนกวงมีเสียงหัวร่อดังขึ้นมา สิ่งที่ปรากฏขึ้นมาในเวลาเดียวกันยังมีเจตน์กระบี่อันน่าครั่นคร้ามอย่างยิ่งยวดสายหนึ่งด้วย
เจตน์กระบี่กระจายตัวออกไปจากหมู่ยอดเขาคล้ายดั่งเกลียวคลื่น
ลำแสงกระบี่ส่ายหนึ่งพุ่งขึ้นมาจากหน้าผาราวกับถูกบีบบังคับให้ต้องตอบโต้ ก่อนจะลอยล่องออกไป
กระทั่งลำแสงกระบี่สายนั้นถอยร่นออกไปสามพันลี้ จนไปอยู่เหนือทะเลตะวันตก เจตน์กระบี่จากยอดเขาเทียนกวงจึงค่อยๆ สงบลง
“เจ้าสำนักลงมือแล้ว!” อาจารย์เมิ่งตกใจเล็กน้อย
คนที่มีคุณสมบัติพอจะทำให้เจ้าสำนักชิงซานใช้กระบี่แบกสวรรค์ ทั่วทั้งแผ่นดินมีเพียงไม่กี่คน
ลำแสงเยือกเย็นบนทะเลตะวันตกสายนั้น คือกระบี่ของเทพกระบี่อย่างนั้นหรือ?
……
……
ไม่ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น แม้นว่าบุคคลผู้ยิ่งใหญ่เหล่านั้นจะทยอยกันปรากฏกายออกมา ทว่ามันก็หาได้มีผลใดๆ ต่อยอดเขาที่เก้าไม่
ยอดเขาอันโดดเดี่ยวยังคงเงียบสงบ ราวกับไร้ซึ่งลมหายใจ
ทันใดนั้น พสุธาแลนภากาศพลันเปลี่ยนสี สายฟ้าสิบกว่าเส้นฉีกกระชากคุ้งฟ้าสีน้ำเงินคราม พุ่งตรงไปหายอดเขาโดดเดี่ยวนั้น!
ยังมิทันที่อัสนีบาตซึ่งซ่อนเร้นพลังของฟ้าดินจะสัมผัสถูกยอดเขา พวกมันก็ถูกฟันจนแตกเป็นเสี่ยงๆ ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นกลุ่มควัน
นั่นเป็นเพราะในยอดเขาโดดเดี่ยวนั้นมีลำแสงกระบี่สายหนึ่งปรากฏขึ้นมา
ไม่มีผู้ใดทราบว่ากระบี่นี้เมื่อเทียบกับกระบี่แบกสวรรค์ก่อนหน้านี้ ใครกันแน่ที่แข็งแกร่งกว่า
อย่าว่าแต่อาจารย์เมิ่งผู้นี้เลย ต่อให้เป็นยอดฝีมือที่อยู่ห่างออกไปสามพันลี้เหล่านั้นก็มองไม่ออกเช่นเดียวกัน
ลำแสงกระบี่ที่ปรากฏขึ้นบนยอดเขาโดดเดี่ยวนั้นดูมิคล้ายว่ามีอานุภาพใดๆ
นั่นเป็นกระบี่ที่แสนเรียบง่าย สะบัดขึ้นฟ้าตามอารมณ์
แต่สายฟ้ากลับสลายไปเมื่อเจอกับมัน
ลำแสงกระบี่ยังคงทะยานขึ้นไป
เสียงครึ่กดังขึ้นมาเบาๆ คราหนึ่ง
บนท้องฟ้าสีน้ำเงินมีรอยแตกเล็กๆ ปรากฏขึ้นมาหนึ่งรอย
ลำแสงระยิบระยับดูคล้ายทองคล้ายหยกจำนวนนับไม่ถ้วนไหลลงมาจากในรอยแตกนั้น ก่อนจะสลายตัวเมื่อเจอกับสายลม กลายเป็นจุดแสงเล็กๆ นับไม่ถ้วน ส่องสว่างไปทั่วทั้งแผ่นดิน
หนึ่งกระบี่สะบั้นฟ้า?
เวลาที่เหล่าผู้บำเพ็ญเพียรที่ยิ่งใหญ่ในบันทึกโบราณกลายเป็นเซียน ล้วนแต่อาศัยพลังบำเพ็ญเพียรของตนในการต้านทานสายฟ้าอย่างยากลำบาก จวบจนกระทั่งผ่านการทดสอบในท้ายที่สุด สายฟ้าจึงหยุดลง แสงระยิบระยับตกโปรยปรายลงมาประดุจดั่งนางสวรรค์โปรยดอกไม้ ถึงจะมองเห็นเส้นทางขึ้นสู่สวรรค์เส้นนั้นได้
ทว่าวันนี้ปรมาจารย์อาจิ่งหยางกลับมิได้รอให้สายฟ้าผ่าลงมาคำรบสอง ก็ชิงสะบัดกระบี่ออกไปเสียก่อนแล้ว
หรือเขาคิดจะใช้กระบี่ของตัวเองฝืนเปิดทางสู่สวรรค์เส้นนั้น?
นี่คือความกล้าแบบไหนกัน! แล้วก็เป็นความมั่นใจในตัวเองแบบไหนกัน!
อาจารย์เมิ่งตะลึงลาน ใบหน้าขาวซีด ริมฝีปากสั่นเครือเล็กน้อย
เจ้าของลำแสงกระบี่บนทะเลตะวันตกนั้น อีกทั้งเหล่าผู้แข็งแกร่งที่มาชมดูอยู่ในสำนักชิงซาน ต่างตกตะลึงจนมิอาจเปล่งวาจาออกมาเมื่อเห็นภาพเหตุการณ์นี้
บนยอดเขาโดดเดี่ยว ลำแสงกระบี่ยังคงพุ่งทะยานขึ้นไปบนฟ้า
ลมพายุโหมกระหน่ำ ฟ้าคำรามกู่ก้องไม่หยุด
กระบี่นั้นมิได้แยแสสนใจแม้แต่น้อย มันเพียงมุ่งจะขึ้นไปเท่านั้น
หากบอกว่านี่คือบททดสอบสุดท้ายที่ฟ้าดินมอบให้แก่ผู้บำเพ็ญตนที่กำลังจะบรรลุกลายเป็นเซียน เช่นนั้นการตอบโต้ของลำแสงกระบี่นี้ก็เรียกได้ว่าไร้ซึ่งความเกรงใจ
การต่อสู้กันของพลังแห่งฟ้าดินและเจตน์แห่งกระบี่นั้นได้ขับไล่เมฆหมอกที่ปกคลุมอยู่บนหมู่ยอดเขาให้สลายตัวไป ในที่สุดยอดเขาทั้งเก้าของสำนักชิงซานก็ปรากฏสู่สายตาชาวโลกเป็นครั้งแรก ทว่ากลับมิมีผู้ใดสังเกตเห็น เนื่องจากสายตาของทุกคนต่างจับจ้องอยู่บนลำแสงกระบี่นั้น
ลำแสงกระบี่พุ่งเข้าใกล้ท้องฟ้าไม่หยุด
รอยปริแตกบนท้องฟ้าใหญ่ขึ้นทุกขณะ ลำแสงระยิบระยับที่ไหลลงมายิ่งจับตัวหนาขึ้น ทำเอาพสุธาและนภากาศยิ่งสว่างเจิดจ้าขึ้นเรื่อยๆ
ไม่ว่าเป็นบ้านเรือนที่อยู่ในเมืองหรือถ้ำที่อยู่ระหว่างยอดเขาล้วนแต่ฉาบไว้ด้วยแสงสีทอง ราวกับดินแดนแห่งเซียนหรืออาณาจักรของเทพก็มิปาน
……………………………………………………………………
[1] ฝอจงคือนิกายพุทธนิกายหนึ่ง
[2]งานชุมนุมเหมยฮุ่ย หมายถึง งานชุมนุมดอกเหมย