ผู้อาวุโสชุดดำหยุดฝีเท้า หมุนตัวกลับมามองจิ๋งจิ่ว ใบหน้าเผยให้เห็นสีหน้าประหลาดใจ กล่าวว่า “มิได้ใช้มานาน ข้าเองมิแน่ใจ”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “เช่นนั้นแล้ว ให้ข้าลองดูได้หรือไม่?”
เมื่อได้ยินประโยคนี้ หลินอู๋จือสีหน้าแปรเปลี่ยนเล็กน้อย เหล่าผู้ดูแลของยอดเขาอวิ๋นสิงและลูกศิษย์เองก็มองไปที่เขา
ผู้อาวุโสชุดดำมองดูเขา นิ่งเงียบเป็นเวลานาน ก่อนกล่าวว่า “ได้สิ นั่นก็ขึ้นอยู่กับความสามารถของเจ้า”
จากนั้นเขาเดินไปทางยอดเขากระบี่ต่อ
หลินอู๋จือมองจิ๋งจิ่ว เหล่าลูกศิษย์เองก็รู้สึกแปลกใจ
เมื่อครู่ตอนที่อาจารย์ลุงท่านนั้นถาม เจ้ามิยอมตอบ เวลานี้อาจารย์ลุงจะไป เจ้ากลับกล่าวคำพูดเช่นนี้ออกมา เจ้าหมายความว่าอย่างไรกันแน่?
ผู้อาวุโสชุดดำเงยหน้ามองดูยอดเขากระบี่ที่อยู่ในหมู่เมฆ
เสียงกระบี่เสียงหนึ่งดังขึ้น
แสงจากกระบี่ส่องสว่างหน้าผาที่อยู่ด้านล่างยอดเขา
ผู้อาวุโสชุดดำขี่กระบี่บินฉวัดเฉวียนตามลมขึ้นไป ร่างกายมิได้โค้งงออีก หากแต่ยืดตรงราวกับศิษย์หนุ่มสาวที่เพิ่งเข้ามายังสำนักชิงซาน
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง ร่างกายของเขาหายลับไปในหมู่เมฆ ไม่สามารถมองเห็นตัวเขาได้อีก
……
……
……
……
เสียงร้องของกระบี่จำนวนนับไม่ถ้วนดังขึ้นมาบนยอดเขา
เหล่าลูกศิษย์ไม่รู้ว่านี่มันเกิดอะไรขึ้น สีหน้าตะลึงลานพูดอะไรไม่ออก
เหล่าผู้ดูแลของยอดเขาอวิ๋นสิงตะโกนว่า “กระบี่อาจารย์ลุงม่อกลับคืนชิงซาน!”
ยอดเขาทั้งเก้าต่างตอบรับ เสียงของเหล่าลูกศิษย์ชิงซานดังขึ้นมา “ขอแสดงความยินดี กระบี่ผู้อาวุโสม่อกลับคืนชิงซาน!”
ยอดเขาเทียนกวงมีเสียงกระบี่ดังยาว
ระฆังโบราณบนยอดเขาซั่งเต๋อสั่นพ้อง
ยอดเขาชิงหรงเมฆหมอกปกคลุม
……
……
“อาจารย์อาม่อจัดระเบียบคัมภีร์ต่างๆ อยู่บนยอดเขาซื่อเยวี่ยมาร้อยกว่าปี วันนี้….”
สายตามทอดมองยอดเขา หลินอู๋จือมิได้กล่าวประโยคนี้จนจบ กระบอกตาเปียกชื้นขึ้นมาเล็กน้อย
กล่าวกันว่าผู้บำเพ็ญพรตต้องตัดขาดอารมณ์ให้สิ้น แต่จะมีกี่คนที่ทำได้ ยิ่งไปกว่านั้นสิ่งที่สำนักชิงซานบำเพ็ญเพียรก็หาใช่เต๋าไม่ หากแต่เป็นกระบี่
เมื่อเห็นกระบี่ วันหน้าก็มิอาจพบพานกันอีก แล้วจะมิให้เศร้าเสียใจได้อย่างไร
เวลานี้เหล่าลูกศิษย์ถึงได้เข้าใจว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น อาจารย์ลุงม่อที่พูดคุยกับตนเองอย่างอ่อนโยนเมื่อครู่นี้ได้…จากโลกนี้ไปแล้ว
เขามายังยอดเขากระบี่ เพียงเพื่อเอากระบี่ของตนคืนแก่ชิงซาน
เขาหวังว่าในศิษย์รุ่นหลัง จะมีคนที่สามารถสืบทอดกระบี่เล่มนั้นของตนได้
เมื่อมองดูยอดเขากระบี่ ภายในใจของเหล่าลูกศิษย์พลันมีอารมณ์และความรู้สึกที่พูดไม่ออก เป็นความรู้สึกหนักอึ้ง
บางทีนี่ต่างหากที่เป็นวิชาแรกของชิงซาน
พวกเขามองไปทางจิ๋งจิ่วอีกครั้ง
เมื่อครู่จิ๋งจิ่วกล่าวกับอาจารย์ลุงม่อว่าจะใช้กระบี่ของเขา มันหมายความว่าอย่างไร? หมายความเช่นนั้นอย่างนั้นหรือ?
หลินอู๋จือมองไปทางจิ๋งจิ่ว กล่าวว่า “ข้ามิรู้ว่าเหตุใดเจ้าถึงรู้ว่าอาจารย์อาม่อเตรียมคืนกระบี่แก่ชิงซาน และข้าก็มิรู้ว่าที่เจ้าพูดประโยคนั้นออกไปเพราะคิดปลอบโยนท่าน หรือคิดเอาใจท่าน เพื่อให้ท่านเอากระบี่เล่มนั้นวางไว้ในตำแหน่งที่ต่ำลงมาหน่อย ข้าเพียงอยากบอกเจ้าไว้ว่าเจ้าได้กระตุ้นความหยิ่งทะนงสุดท้ายของศิษย์พี่ม่อขึ้นมาแล้ว ตำแหน่งของกระบี่เล่มนั้นอยู่ใกล้ยอดเขามากที่สุด”
จิ๋งจิ่วกล่าว “ดังนั้นแล้ว?”
หลินอู๋จือจ้องมองดวงตาเขา กล่าวว่า “ในเมื่อรับปาก เช่นนั้นก็ต้องทำให้ได้ มิเช่นนั้นไม่ว่าเจ้าจะเป็นศิษย์ที่ยอดเขาไหนเลือกไว้แล้วล่วงหน้า ข้าก็จะไม่ยอมให้เจ้าเข้าร่วมงานชุมนุมเฉิงเจี้ยน”
เหล่าลูกศิษย์ได้ยินคำพูดนี้ ต่างรู้สึกตกใจยิ่งนัก สายตาที่มองดูจิ๋งจิ่วเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกเห็นใจ
ทุกที่บนยอดเขากระบี่ล้วนแต่เต็มไปด้วยเจตน์กระบี่อันน่ากลัว ยิ่งสูงเจตน์กระบี่ก็ยิ่งรุนแรง ยอดเขาอยู่ในส่วนลึกของชั้นเมฆ ด้วยสภาวะของพวกเขาในเวลานี้ จะเดินขึ้นไปถึงนั่นได้อย่างไร?
“พูดมาก รู้สึกมาก เรื่องมาก ล้วนมิใช่เรื่องดี”
หลินอู๋จือพูดจบประโยคนี้ พลันขี่กระบี่บินออกไป
คำพูดประโยคนี้ย่อมต้องพูดกับจิ๋งจิ่ว เพื่อตอบโต้พฤติกรรมที่เขาแสดงต่ออาจารย์ลุงม่อแห่งยอดเขาซื่อเยวี่ยก่อนตาย
เวลานี้เหล่าศิษย์ถึงได้เข้าใจ หลินอู๋จือมิได้รังเกียจจิ๋งจิ่ว หากแต่ให้ความสำคัญกับเขาอย่างมาก
ผู้ดูแลของยอดเขาอวิ๋นสิงคนหนึ่งแจกจ่ายป้ายกระบี่ให้กับศิษย์สิบกว่าคน พลางกล่าวกำชับ “ในยอดเขากระบี่ีมีกระบี่ที่ปรมาจารย์รุ่นก่อนๆ ทิ้งเอาไว้ ดังนั้นพวกเจ้าต้องระมัดระวังกิริยามารยาทในตอนที่ค้นหากระบี่ ห้ามตะโกนวิ่งเล่นเด็ดขาด แน่นอนว่าที่นี่ยังมีกระบี่ไร้นายอีกจำนวนมาก ไม่ว่าพวกเจ้าจะเจอกระบี่อะไร ขอเพียงทำให้มันตอบรับการเรียกของเจ้าได้ ก็ถือว่าสำเร็จ ถ้าหลงทางหรือพลัดตกได้รับบาดเจ็บ หรือมีเรื่องที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น ขอเพียงบีบป้ายกระบี่นี้ให้แตก ก็จะมีคนไปช่วยเจ้า”
ลูกศิษย์คนหนึ่งมองขึ้นไปยังหน้าผาเหล่านั้น กล่าวว่า “ง่ายแค่นี้หรือ?”
หลังผ่านการบำเพ็ญเพียรฝึกฝนร่างกายมาตอนที่เป็นศิษย์นอกสำนัก ร่างกายของศิษย์ในสำนักเหล่านี้ก็แข็งแกร่งว่าคนธรรมดามาก กระโดดเบาๆ ก็ไปได้ไกลหลายจ้าง ความอดทดเองก็มากเป็นพิเศษ
เขาครุ่นคิดว่ายอดเขากระบี่แม้นสูงชัน แต่อย่างไรก็สามารถปีนขึ้นไปได้ เจตน์กระบี่แม้นรุนแรง ก็สามารถใช้แรงใจความมุ่งมั่นในการยืนหยัดสู้ได้ ขอเพียงไม่เข้าไปในส่วนที่มีเมฆปกคลุมอยู่ เขามั่นใจว่าตนเองจะสามารถเคลื่อนไหวไปมาได้โดยมิเป็นปัญหา
ผู้ดูแลของยอดเขาอวิ๋นสิงผู้นั้นมิกล่าวกระไร หากแต่มองดูลูกศิษย์ผู้นั้น มุมปากยกขึ้น เผยให้เห็นรอยยิ้มเล็กๆ ที่ยากจะสังเกตเห็น
ลูกศิษย์ที่สามารถเข้ามาบำเพ็ญเพียรในสำนักได้ล้วนแต่เป็นคนหนุ่มสาวที่ชาญฉลาด ครั้นเห็นรอยยิ้มนี้ มีหรือจะไม่เข้าใจ
ลูกศิษย์คนนั้นใบหน้าขาวซีดเล็กน้อย โค้งคำนับพลางกล่าวว่า “ขอศิษย์พี่ได้โปรดชี้แนะด้วย”
ผู้ดูแลนอกสำนักของชิงซานล้วนแต่เป็นลูกศิษย์ที่ไม่สามารถบรรลุสภาวะรักษาจิตได้ ผู้ดูแลในยอดเขาทั้งเก้าคือลูกศิษย์ที่ไม่ได้ถูกเลือกในงานชุมนุมเฉิงเจี้ยน การที่ขานเรียกพวกเขาศิษย์พี่มันก็เป็นเรื่องที่สมควร
“พวกเจ้ายังอยู่แค่ขั้นรักษาจิต ไม่มีหวังที่จะหากระบี่ได้ เข้าสู่ขั้นปัญญาเห็นแจ้งก่อนค่อยว่ากันใหม่”
ผู้ดูแลของยอดเขาอวิ๋นสิงคนนั้นกล่าวว่า “ต่อให้พวกเจ้าหากระบี่พบ แล้วกระบี่นั้นจะตามเจ้าหรือเปล่า? ในโลกปุถุชนมีชายหนุ่มหญิงสาวที่ลุ่มหลงในความรักมากมายขนาดนั้น นั่นเพราะเหตุใด”
มีลูกศิษย์ถามขึ้นมาว่า “ต้องใช้เวลาประมาณเท่าไร พวกเราถึงจะเอากระบี่ได้สำเร็จ?”
“ลูกศิษย์ธรรมดาต้องใช้เวลาสามปีถึงจะสามารถมีกระบี่ของตัวเองได้ ลูกศิษย์ที่มีพรสวรรค์ มีสติปัญญาและโชคอาจจะใช้เวลาเร็วกว่านั้นหน่อย”
ผู้ดูแลแห่งยอดเขาอวิ๋นสิงชี้ไปยังยอดเขากระบี่ที่อยู่ในหมู่เมฆ พลางกล่าว “ศิษย์น้องเจ้าใช้เวลาสามเดือน พวกเจ้าต้องใช้เวลาเท่าไรก็คิดเอาเองแล้วกัน”
ครั้นพูดจบ เขาก็เดินกลับไปยังหอที่อยู่ด้านล่างยอดเขา ปล่อยลูกศิษย์หนุ่มสาวสิบกว่าคนเอาไว้ที่นี่
ลูกศิษย์สิบกว่าคนสบตากันมิกล่าวกระไร ภายในใจครุ่นคิดหลังจากนี้ควรทำอย่างไรดี?
เจ้าล่าเยวี่ยเป็นคนที่อัจฉริยะที่สุดในบรรดาศิษย์รุ่นที่สาม แล้วก็เป็นต้นแบบของศิษย์ธรรมดาเหล่านี้ด้วย ถ้ากระทั่งนางยังใช้เวลาสามเดือน เช่นนั้นพวกเขาก็ยิ่งมิต้องคิดเลย
ยิ่งไปกว่านั้นผู้ดูแลคนนี้ยังพูดเอาไว้ชัดเจน ด้วยสภาวะรักษาจิตของพวกเขาในเวลานี้ ถึงจะเข้าไปในยอดเขากระบี่ก็ไม่ได้มีความหมายใดๆ
“ในเมื่อนี่เป็นวิชาแรกที่สำนักมอบให้พวกเรา จะไม่เรียนให้จบก็ไม่ได้”
ศิษย์แซ่จู้คนหนึ่งสีหน้ามุ่งมั่น เขามองทุกคนพลางพูดเสียงเบาว่า “แม้นพวกเรามิอาจรับรู้ได้ว่ากระบี่อยู่แห่งหนใด แต่พวกเราก็สามารถเข้าไปทำความคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมในยอดเขากระบี่ก่อนได้ เพื่อเตรียมตัวสำหรับวันหน้า”
“มิผิด ผู้ดูแลของยอดเขาอวิ๋นสิงได้มอบป้ายกระบี่ให้พวกเรา ก็น่าจะหมายความเช่นนี้”
ลูกศิษย์หญิงคนหนึ่งพยักหน้า กล่าวว่า “อาจาร์หลินเคยบอกว่ายอดเขากระบี่สามารถฝึกความมุ่งมั่น ไม่แน่เขาหรืออาจารย์คนอื่นอาจจะกำลังแอบจับตามองพวกเราอยู่ แล้วพวกเราจะไม่ไปได้อย่างไร?”
ลูกศิษย์ทุกคนถูกคำพูดสองประโยคนี้พูดเกลี้ยกล่อม ต่างคนต่างตะโกนออกมาว่าไปด้วยกัน สีหน้าดูตื่นเต้นยิ่งนัก
จิ๋งจิ่วมิได้กล่าวกระไร เขายืนนิ่ง ดูค่อนข้างสะดุดตา
สายตาจำนวนมากต่างมองไปที่เขา
ลูกศิษย์ทุกคนต่างรู้ว่าเขาขึ้นชื่อเรื่องความเกียจคร้าน แต่เมื่อคิดถึงว่าในเมื่อเขาสามารถเข้ามาเป็นศิษย์ในสำนักได้ บางทีเขาอาจจะเปลี่ยนแปลงไปบ้างแล้ว
คำพูดที่อาจารย์หลินกล่าวกับเขา คือคำขอที่ไม่มีการยอมอ่อนข้อ ทั้งยังเป็นความคาดหวังที่สูงมาก
จิ๋งจิ่วพยักหน้าให้ทุกคน ก่อนจะหมุนตัวเดินออกไปยังนอกยอดเขา
เวลาเหล่าลูกศิษย์จึงรู้ว่าเขาตรียมจะออกไปแล้ว
ลูกศิษย์แซ่จู้ผู้นั้นกล่าวอย่างตะลึงลานว่า “เจ้าบอกว่าจะไปเอากระบี่ของอาจารย์ลุงม่อมิใช่หรือ?”
ศิษย์คนอื่นเองก็ตกตะลึง ในใจครุ่นคิดหรือคนผู้นี้จะเป็นอย่างที่เล่าลือจริง?
ในเวลานี้เอง ภายในป่าด้านตะวันตกของยอดเขากระบี่มีคนกลุ่มหนึ่งเดินออกมา
คนเดินนำหน้าเป็นชายหนุ่ม ร่างกายสวมชุดสีขาว ใบหน้าหล่อเหลา คิ้วเรียวราวกระบี่ สีหน้าเฉยเมยคล้ายน้ำแข็ง บุคลิกดูมิธรรมดา
สิ่งที่น่าตกตะลึงกว่านั้นคือด้านหลังเขามิได้แบกกระบี่ — หรือจะบอกว่าเขาอายุเพียงเท่านี้ก็สามารถสร้างโอสถกระบี่ และเข้าสู่สภาวะมิประจักษ์ได้แล้ว?
เหล่าผู้ดูแลของยอดเขาอวิ๋นสิงเดินเข้าไปพูดคุยประโยคสองประโยค ทุกคนถึงได้รู้ว่า ที่แท้คนผู้นี้คือกู้หาน หนึ่งในอาจารย์เซียนที่สอนอยู่ที่ศาลาสี่เจี้ยน
กู้หานยังมีอีกสถานะหนึ่งที่สำคัญกว่า
เขาคือศิษย์พี่สามแห่งยอดเขาเหลี่ยงว่าง
ยอดเขาเหลี่ยงว่างเรียกได้ว่าเป็นศูนย์รวมเหล่าลูกศิษย์ชายหญิงที่มีพรสวรรค์ที่สุดของสำนักชิงซาน กู้หานสามารถอยู่ในอันดับสามได้ วิธีกระบี่ของเขาคงต้องแข็งแกร่งมากทีเดียว
เมื่อมองดูกู้หาน ใบหน้าของเหล่าลูกศิษย์แสดงสีหน้าเคารพและชื่นชมออกมา
จิ๋งจิ่วมิได้เหลือบมองดูกู้หานแม้เพียงนิดเดียว หากแต่มองดูข้างกายกู้หานเงียบๆ
ข้างกายกู้หานมีเด็กหนุ่มคนหนึ่งยืนอยู่
นับตั้งแต่ที่เจอกันตรงปากทางเข้าหมู่บ้านก็ผ่านมาเป็นเวลาสามปีแล้ว สือซุ่ยได้กลายเป็นสือซานซุ่ย[1]
ตอนนี้เขากลายเป็นเด็กหนุ่ม คิ้วยังคงตรงเหมือนเดิม ดวงตายังคงสัตย์ซื่อ ใบหน้ายังคงดำ
ฝึกฝนอยู่ที่ยอดเขาทั้งเก้ามาเป็นเวลาหนึ่งปี หลิ่วสือซุ่ยเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ดูสุขุมเยือกเย็น สีหน้าราบเรียบ
เขามองมายังที่ๆ หนึ่ง สายตาดูคลางแคลงสงสัย จากนั้นจึงเปลี่ยนเป็นดีใจอย่างรวดเร็ว
“อาาา!”
หลิ่วสือสุ่ยตะโกนออกมาเสียงดัง พลางวิ่งเข้ามาหาจิ๋งจิ่ว
……………………………………………………
[1] สือซานซุ่ย หมายถึง สิบสามขวบ