เนื่องเพราะวิ่งเร็วเกินไป แขนทั้งสองข้างของหลิ่วสือซุ่ยจึงลู่ไปด้านหลัง ดูคล้ายลูกเป็ดน้อย ค่อนข้างตลกและน่ารัก
จิ๋งจิ่วยืนรอเขาอยู่ที่เดิม มุมปากมีรอยยิ้มที่คล้ายมีคล้ายไม่มี
หลิ่วสือซุ่ยวิ่งมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าจิ๋งจิ่ว
เพราะวิ่งเร็วเกินไป หยุดก็กะทันหันเกินไป บนพื้นหญ้าจึงถูกเท้าของเขาลากจนเป็นรอยสองรอย ร่างกายโงนเงนไปข้างหน้าข้างหลัง ครู่หนึ่งถึงจะหยุดนิ่งได้
ภาพนี้ดูแล้วค่อนข้างน่าขัน ในบรรดาลูกศิษย์ที่มาพร้อมจิ๋งจิ่วมีคนหลุดหัวร่อออกมา
แต่เสียงหัวร่อก็หายไปอย่างรวดเร็ว พวกเขาเดาได้ว่าหนุ่มน้อยผู้นี้คือเมล็ดพันธุ์แห่งเต๋าแต่กำเนิดที่ร่ำลือกันผู้นั้น
หลิ่วสือซุ่ยยืนอยู่หน้าจิ๋งจิ่ว สีหน้าตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่ง เขายื่นมือคิดอยากจะคว้ามือจิ๋งจิ่วเอาไว้ แต่พลันรู้สึกไม่เหมาะสม จึ่งรีบดึงมือกลับไปกำเป็นกำปั้นเอาไว้
……
……
กลุ่มคนที่เดินออกมาจากในป่าเห็นภาพนี้ ต่างพากันรู้สึกแปลกใจ
เพราะเวลาปกติหลิ่วสือซุ่ยเพียงรู้จักแต่การบำเพ็ญเพียรฝึกกระบี่ ใช้ชีวิตน่าเบื่อยิ่ง นิสัยเรียบง่ายและถ่อมตน น้อยครั้งที่จะเห็นเขาตื่นเต้นเพียงนี้
“คนผู้นี้คือใคร?” กู้หานถาม
มีลูกศิษย์กล่าวว่า “อาจารย์กู้ คนผู้นี้น่าจะเป็นจิ๋งจิ่วที่หลิ่วสือซุ่ยกล่าวถึงบ่อยๆ ขอรับ”
ได้ยินเช่นนี้ คนกลุ่มนั้นถึงได้เข้าใจว่าเหตุใดหลิ่วสือซุ่ยจึงตื่นเต้นเพียงนี้
กู้หานมองใบหน้าจิ๋งจิ่ว คิ้วเลิกเล็กน้อย รู้สึกไม่สบอารมณ์
มิรู้ว่าเพราะใบหน้านั้นงดงามเกินไป หรือเป็นเพราะสีหน้าบนใบหน้านั้นราบเรียบเกินไป จึงดูแตกต่างกับหลิ่วสือซุ่ยอย่างชัดเจน
……
……
ในขณะเดียวจิ๋งจิ่วกำลังเตรียมเอ่ยปากพูด เสียงอันเยือกเย็นเสียงหนึ่งพลันดังขึ้น
“เจ้ากำลังทำอะไร?”
จิ๋งจิ่วมองไป ก่อนพบว่าคนที่กล่าวคือลูกศิษย์จากยอดเขาเหลี่ยงว่างนามกู้หานผู้นั้น
หลิ่วสือซุ่ยตะลึงเล็กน้อย ก่อนรีบอธิบาย “อาจารย์กู้ ท่านนี้คือ…”
กู้หานมิได้ปล่อยให้เขากล่าวจนจบ หากแต่กล่าวด้วยน้ำเสียงเฉยเมยว่า “ข้าเคยบอกเจ้าแล้ว ในเวลาที่สำคัญเช่นนี้ ห้ามมิให้เรื่องใดมาทำให้เจ้าเสียสมาธิ”
ความหมายที่แฝงอยู่ในคำพูดประโยคนี้ชัดเจนอย่างยิ่ง เขามิได้สนใจเลยว่าจิ๋งจิ่วคือใคร
“เข้ามารับโทษด้วยตัวเอง” กู้หานกล่าว
จิ๋งจิ่วมองเขา
หลิ่วสือซุ่ยรีบโบกมือให้เขา ก่อนจะเดินกลับไปหากู้หาน
คนอ้วนที่รวบผมไปด้านหลังผู้หนึ่งก้าวออกมาจากด้านหลังกู้หาน สองมือประคองวัตถุที่ห่อด้วยผ้าชิ้นหนึ่งเอาไว้ เขาใช้นิ้วมือที่อวบอ้วนแต่คล่องแคล่วแกะสายรัดออก ก่อนจะเผยให้เห็นกระบองท่อนหนึ่งที่อยู่ด้านใน
เมื่อเห็นภาพนี้ ภายในกลุ่มคนมีเสียงฮือฮาขึ้นมา สายตาที่มองไปยังหลิ่วสือซุ่ยมีความเห็นอกเห็นใจ แต่ที่มากกว่านั้นกลับเป็นความอิจฉา
ลูกศิษย์ที่ก้าวเดินออกมาจากในป่าเหล่านั้น ในสายตาพวกเขาเองก็มีอารมณ์ความรู้สึกเช่นนี้เหมือนกัน
กระบองท่อนนั้น มิใช่กฎกระบี่ของสำนักชิงซาน หากแต่เป็นกฎของยอดเขาเหลี่ยงว่าง
กู้หานจะใช้กฎของยอดเขาเหลี่ยงว่างลงโทษหลิ่วสือซุ่ย เช่นนั้นก็เท่ากับกำลังสั่งสอนหลิ่วสือซุ่ยในฐานะศิษย์สายตรงของยอดเขาเหลี่ยงว่าง
สำหรับเหล่าลูกศิษย์ในสำนักที่ปรารถนาจะถูกยอดเขาเหลี่ยงว่างเลือกตัวไปในงานชุมนุมเฉิงเจี้ยน การดูแลสั่งสอนเช่นนี้มันคุ้มค่าที่จะอิจฉาเสียจริง
ท่อนไม้แข็งๆ ฟาดลงไปบนแผ่นหลังหลิ่วสือซุ่ย เกิดเป็นเสียงทึบหนักๆ
เวลารับโทษ ย่อมไม่สามารถเคลื่อนปราณก่อกำเนิดมาคุ้มครองร่างกายได้ หลิ่วสือซุ่ยจึงได้แต่ต้องฝืนรับความเจ็บปวด
ท่อนไม้ฟาดลงไม่หยุด เสียงทึบดังขึ้นไม่หยุด
หลิ่วสือซุ่ยเจ็บปวด ในดวงตาเต็มไปด้วยหยดน้ำตา แต่เขากลับยืนนิ่งอยู่กับที่ไม่ขยับไปไหน
เมื่อเห็นภาพเหตุการณ์นี้ จิ๋งจิ่วมิได้กล่าวกระไร
ทันใดนั้นเอง เขาพลันรับรู้ได้ถึงอะไรบางอย่าง สายตาเหลือบมองไป ก่อนจะเห็นสายตาเยือกเย็นของกู้หาน
เขามองอีกฝ่ายอย่างเงียบๆ
หลิ่วสือซุ่ยสังเกตเห็นสายตาของเขา จึงฝืนทนความเจ็บปวดส่ายหัวไม่หยุดเพื่อบอกเขาอย่าได้ทำอะไรวู่วาม
จิ๋งจิ่วนิ่งเงียบอยู่ครู่ ก่อนจะหมุนตัวเดินออกไปด้านนอกยอดเขา
คนอยู่มากมายขนาดนี้ แต่มีเพียงกู้หานที่สังเกตเห็น ในขณะที่หมุนตัว เขาเองก็ส่ายหัวเช่นกัน
……
……
“พอได้แล้ว”
กู้หานส่งสัญญาณบอกว่าการลงโทษสิ้นสุด เขามองดูแผ่นหลังจิ๋งจิ่วที่เดินห่างออกไป สองคิ้วขมวดขึ้นมาเล็กน้อย
คนอ้วนผู้นั้นดึงไม้กระบองกลับ ก่อนใช้ผ้าสีเขียวห่อเก็บเอาไว้อย่างดี จากนั้นจึงมองตามสายตาเขาไป ดวงตาหรี่ลงพร้อมยิ้มขึ้นมา แต่ในดวงตากลับเผยให้เห็นถึงประกายอันเยือกเย็น
“เป็นอย่างไรบ้าง? ลูกศิษย์ผู้นี้มีชื่อเสียงอย่างมาก วันนี้ได้พบเจอ สมกับที่ร่ำลือไว้เลย รูปงามจนน่าอิจฉาจริงๆ”
ในฐานะที่เป็นศิษย์ของยอดเขาเหลี่ยงว่าง พวกเขาไหนเลยจะสนใจเรื่องหน้าตาซึ่งเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย ที่เขาถามว่าเป็นอย่างไรบ้าง ย่อมต้องหมายถึงพรสวรรค์ในการบำเพ็ญเพียรและความสามารถแฝงของจิ๋งจิ่ว
กู้หานกล่าว “เมล็ดพันธุ์แห่งเต๋าธรรมดา ความสามารถธรรมดา หากเขามิแสวงหาความก้าวหน้าเหมือนอย่างที่เล่าลือกันจริงๆ เช่นนั้นก็คงจะเตรียมยาวิเศษเอาไว้เยอะมาก ถึงสามารถบรรลุสภาวะได้ในสองปี”
คนอ้วนกล่าว “เขาอาจจะเป็นคุณชายอยู่ในราชวงศ์เจาเกอ ในมือมียาวิเศษล้ำค่าอยู่มันก็เป็นเรื่องปกติ ทั้งยังได้ยินว่าหัวสมองเขาดีมาก ถ้ายังไงลองคุยกับเขาดูไหม?”
กู้หานกล่าว “กระบี่ของยอดเขาเหลี่ยงว่างใช้ฆ่าคน ต่อให้ฉลาด มีความรู้รอบตัวมากแค่ไหนมันก็ไร้ประโยชน์ หากสามารถใช้ยาวิเศษในการเดินไปบนธรรมวิธีได้ อย่างนั้นยังจะบำเพ็ญเพียรไปทำไมอีก?”
ขณะที่พูดพวกเขาก็มิได้หลบหลีกหลิ่วสือซุ่ย หลิ่วสือซุ่ยได้ยินเช่นนี้พลันร้อนใจขึ้นมา เขาคิดอยากจะแก้ต่างให้กับจิ๋งจิ่ว
สำหรับเขาแล้ว หากคุณชายสามารถเข้ามาอยู่ในยอดเขาเหลี่ยงว่างได้ล่วงหน้าเหมือนกัน นั่นย่อมต้องเป็นเรื่องที่ดีที่สุด
“ลูกศิษย์ของยอดเขาเหลี่ยงว่าง ไม่สามารถเป็นคนรับใช้ของใครได้ เจ้าจงจำข้อนี้ไว้”
กู้หานมองดูหลิ่วสือซุ่ย น้ำเสียงมีความแน่วแน่เด็ดขาดที่ห้ามมิให้สงสัย “อย่าได้ไปมาหาสู่กับเขาอีก
หลิ่วสือซุ่ยตะลึง
กู้หานมิได้สนใจเขา หากแต่พาลูกศิษย์กลุ่มหนึ่งเดินเข้าไปในยอดเขากระบี่
หลิ่วสือซุ่ยยืนอยู่กับที่ นิ่งเงียบเป็นเวลานาน สุดท้ายก็เดินตามเขาขึ้นไป
……
……
เมื่อมองดูคนกลุ่มนั้นเดินขึ้นไปยังหน้าผาของยอดเขากระบี่ มีลูกศิษย์คนหนึ่งที่ไม่ทราบสถานการณ์ของศาลาสี่เจี้ยนกล่าวถามอย่างไม่เข้าใจว่า “อาจารย์กู้เป็นอาจารย์เซียนของห้องแรกมิใช่หรือ? หรือพวกเขายังมิได้เอากระบี่?”
ผู้ดูแลของยอดเขาอวิ๋นสิงกล่าวว่า “ศิษย์น้องหลิ่วเอากระบี่ไปได้ตั้งแต่ครึ่งปีก่อนแล้ว”
เหล่าลูกศิษย์ยิ่งรู้สึกแปลกใจ ในใจครุ่นคิดเช่นนั้นพวกเขายังขึ้นไปทำอะไรบนยอดเขากระบี่?
คนกลุ่มนั้นที่มีกู้หานเป็นผู้นำเดินขึ้นไปบนยอดเขากระบี่ ยิ่งเดินยิ่งไกล จนกลายเป็นจุดดำๆ แถวหนึ่งบนหน้าผา
ลูกศิษย์เหล่านี้ไม่มีอาจารย์นำทาง พวกเขาย่อมไม่กล้าเดินตามขึ้นไป จึงได้แต่ยืนมองอยู่ด้านล่างยอดเขา
เวลาเคลื่อนผ่านไป ผู้ดูแลของยอดเขาอวิ๋นสิง อาจารย์และนักเรียนมารวมกันมากขึ้น มีลำแสงกระบี่อีกสิบกว่าสายทะลวงขึ้นฟ้า แต่ละยอดเขามีคนเดินทางมา ทั้งยังมีอาจารย์อารุ่นที่สองมาที่นี่สองคน
นี่คล้ายจะเป็นสัญญาณบอกว่าหลังจากนี้จะมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้น
……
……
ทางเดินค่อยๆ สูงขึ้น อากาศค่อยๆ เบาบาง สภาพภูมิประเทศยิ่งชันขึ้นเรื่อยๆ แต่ละก้าวที่ย่างออกไปล้วนยากลำบาก
เหล่าศิษย์หนุ่มสาวหยุดฝีเท้า ยืนอยู่ที่เดิม รับรู้ถึงเจตน์กระบี่ที่อยู่รายรอบ ใช้มันเพื่อลับคมความมุ่งมั่น พัฒนาการบำเพ็ญเพียร
กู้หานและคนอ้วนผู้นั้น อีกทั้งหลิ่วสือซุ่ยยังคงก้าวเดินไปข้างหน้า
ไม่รู้ว่าเดินมานานเท่าไร ทิวทิศน์ที่อยู่รอบกายค่อยๆ เลือนราง หมอกจับตัวหนาขึ้นเรื่อยๆ น่าจะเป็นหมอกที่มาจากขอบของชั้นเมฆ
เมื่อมาถึงนี่ ไอกระบี่ที่แผ่กระจายออกมาจากตัวยอดเขายิ่งทวีความน่ากลัว หลิ่วสือซุ่ยใบหน้าแดงก่ำ ลมหายใจถี่กระชั้น
เพราะเขาอายุยังน้อย ระยะเวลาในการบำเพ็ญเพียรก็สั้น
แต่การที่เขาสามารถเดินมาถึงนี่ได้ มันก็แข็งแกร่งกว่าศิษย์ร่วมสำนักที่ยังอยู่ด้านล่างไม่รู้เท่าไรแล้ว
คนอ้วนผู้นั้นหอบหายใจเล็กน้อย มือเท้าเอวกล่าวว่า “ไม่รู้วันนี้ล่าเยวี่ยอยู่หรือไม่”
กู้หานสีหน้าเหมือนปกติ เจตน์กระบี่ในยอดเขากระบี่และความสูงเช่นนี้มิอาจทำอะไรเขาได้
ได้ยินคนอ้วนพูดเช่นนี้ เขามองไปทางยอดเขาที่อยู่ลึกเข้าไปในก้อนเมฆ นิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงโบกมือขึ้นมา คล้ายพยายามปัดเป่าภาพที่ไม่สบอารมณ์บางภาพให้หายไป
ทันทีที่มือของเขาโบกสะบัด บริเวณหน้าผาพลันมีลมแรงพัดขึ้นมา เมฆหมอกถูกพัดจนสลายหายไป ภาพรอบตัวพลันชัดเจนแจ่มแจ้ง
ด้านหน้าพวกเขามีผาขาดอยู่แห่งหนึ่ง หากเดินต่อไปอีกก้าวต้องตกลงไปอย่างแน่นอน ผนังหินตรงหน้าผาเรียบลื่นไร้ต้นหญ้า ไม่มีตำแหน่งไหนให้ใช้คว้าจับยืมแรงได้เลย
หลิ่วสือซุ่ยเดินไปริมผา สายตามองไปเบื้องล่าง
ที่นี่อยู่ห่างจากพื้นดินพันกว่าจ้าง ถึงแม้หลังการบำเพ็ญเพียร สายตาของเขาจะดียิ่งกว่านกอินทรี แต่เขายังคงไม่สามารถมองเห็นสภาพเบื้องล่างได้อย่างชัดเจน เขามองเห็นเพียงจุดดำเล็กๆ จำนวนหลายจุด
จุดดำเล็กๆ แต่ละจุดคือคน เมื่อคิดถึงว่ามีคนมากมายขนาดนี้กำลังจ้องมองตนอยู่ เด็กหนุ่มยิ่งรู้สึกประหม่า ลมหายใจยิ่งถี่กระชั้นขึ้น
เขาท่องเคล็ดกระบี่เงียบๆ พยายามสงบสติอารมณ์ กระทั่งลมหายใจเริ่มช้าลง เขาจึงค่อยๆ ยกมือขวาขึ้น
เสียงฟิ้วดังขึ้น กระบี่บินยาวประมาณสองฉื่อ ตัวกระบี่มันวาวราวกระจกเล่มหนึ่งบินออกมาจากในแขนเสื้อของเขา
กระบี่บินฉวัดเฉวียนไปมากลางอากาศ จากนั้นลอยค้างกลางอากาศด้านนอกหน้าผา ก่อนจะมาหยุดอยู่ตรงหน้าเขาตามความคิด
ขอเพียงก้าวเท้าไปข้างหน้าก้าวหนึ่ง เขาก็จะสามารถยืนไปบนกระบี่
ปัญหาอยู่ที่ว่า บนโลกนี้มีกี่คนที่มีความกล้าที่จะสืบเท้าก้าวนี้ออกไป?
เดินหน้าหนึ่งก้าว คือท้องฟ้าอันกว้างใหญ่ไพศาล
ถอยหลังหนึ่งก้าว คือโลกปุถุชนอันวุ่นวาย
……
……
มิว่าเรื่องใดก็มิอาจครุ่นคิดนานนัก
ยิ่งคิดนาน ก็ยิ่งเกิดปัญหาได้ง่าย
หลิ่วสือซุ่ยจ้องมองดูหมู่เมฆที่อยู่นอกยอดเขา สีหน้าขาวซีดเล็กน้อย ยังไม่อาจก้าวเท้าก้าวนี้ออกไปได้
กู้หานพูดด้วยสีหน้าราบเรียบอยู่ด้านหลังเขาว่า “ข้าให้เวลาเจ้าอีกสิบอึดใจ หากเจ้าไม่ก้าวออกไป ข้าจะผลักเจ้าออกไปเอง”
“ไม่ต้อง” หลิ่วสือซุ่ยพลันหันหน้ามาพูดกับเขา “อาจารย์กู้ ข้ายังจะพบคุณชายอีก”
พูดจบ เขาก็ก้าวเดินออกไป
กู้หานได้ยินเช่นนี้จึงโกรธเล็กน้อย เขาเลิกคิ้วเตรียมทำอะไรสักอย่าง จากนั้นพลันเห็นภาพเหตุการณ์นี้
หลิ่วสือซุ่ยเดินไปในอากาศด้านนอกหน้าผา
เท้าขวาของเขาวางลงไป เหยียบลงไปบนกระบี่อย่างมั่นคง
กระบี่บินจมลงไปด้านล่างประมาณครึ่งฉื่อจึ่งหยุดนิ่ง
จากนั้น เท้าซ้ายของเขาก็เหยียบลงไปบนกระบี่
ลมหนาวหวีดหวิว ปะทะหน้าผาของยอดเขากระบี่ แล้วก็พัดโบกเสื้อผ้าบนตัวเขา
หลิ่วสือซุ่ยกางแขนทั้งสองข้าง ขาทั้งสองย่อลงเล็กน้อย โคลงเคลงไปซ้ายทีขวาทีเพื่อพยายามหาสมดุล
บนใบหน้าของเขามองไม่เห็นความหวาดกลัวใดๆ มีเพียงแต่สมาธิที่แน่วแน่
กู้หานพลันคิดถึงภาพที่หลิ่วสือซุ่ยวิ่งไปหยุดอยู่ตรงหน้าจิ๋งจิ่วอย่างกะทันหันก่อนหน้านี้
ลมม้วนกลับลงมาจากหน้าผา ร่างกายของหลิ่วสือซุ่ยโน้มไปด้านหน้า
คนอ้วนที่ยืนอยู่บนผาคนนั้นตกใจจนสะดุ้งเล็กน้อย
มิรู้ว่าหลิ่วสือซุ่ยตะโกนอะไรออกมา เขายืมแรงลม ก่อนจะบินออกไปในท้องฟ้า
นี่เป็นการขี่กระบี่ครั้งแรกของเขา ยังไม่สามารถทำให้เกิดเป็นลำแสงกระบี่ได้ เขาทำได้เพียงวาดเป็นเงาลางๆ เท่านั้น
เงากระบี่สายนั้นบินฉวัดเฉวียนไปในหมู่เมฆ ประเดี๋ยวหยุดประเดี๋ยวเปลี่ยนทิศทาง ทั้งยุ่งเหยิงและวุ่นวาย ดูแล้วอันตรายยิ่งนัก
ใต้หน้าผาที่อยู่ลึกลงไปมีเสียงอุทานตกใจและเสียงตะโกนดังขึ้นมา
คนอ้วนหน้าขาวซีด พร่ำบ่นกับตัวเองมิหยุดว่า “หากสือซุ่ยตกลงไปตาย…เจ้าสำนักจะไล่เราออกจากสำนักหรือเปล่า?”
กู้หานมิกล่าวอะไร เขาเพียงแต่จ้องมองดูเงากระบี่ที่อยู่ห่างจากหน้าผาออกไปไกลทุกที
ไม่ว่าหลิ่วสือซุ่ยจะขี่กระบี่ได้น่าหวาดเสียวเพียงใด หรือกระทั่งมีอยู่สองครั้งที่เกือบจะพลัดตกลงไปเบื้องล่าง สีหน้าเขาก็มิได้แสดงถึงความกังวลแม้แต่น้อย เขาเพียงแต่หรี่ตาเล็กลงเรื่อยๆ
ด้วยสภาวะ อายุและประสบการณ์ของหลิ่วสือซุ่ย การที่เริ่มเรียนขี่กระบี่ในตอนนี้ถือเป็นการฝืนอย่างมาก และการที่ฝืนก็ย่อมหมายถึงความเสี่ยง ดังนั้นเขาจึงมิได้บอกกล่าวศิษย์ร่วมสำนักคนอื่นในยอดเขาเหลี่ยงว่าง แล้วก็มิได้รายงานผู้เป็นอาจารย์
แต่เขารู้ว่าในตอนที่ตนเองพาหลิ่วสือซุ่ยเดินขึ้นยอดเขากระบี่ เหล่าผู้อาวุโสในยอดเขาทั้งเก้าน่าจะคาดเดาได้แล้ว บนชั้นเมฆในเวลานี้น่าจะมีอาจารย์อาที่อยู่ในสภาวะขั้นคเนจรกำลังจับจ้องอยู่ และพร้อมที่จะลงมือช่วยเหลือทุกเมื่อ
มิรู้ผ่านไปนานเท่าไร ในที่สุดวิถีการเคลื่อนไหวของเงากระบี่สายนั้นก็นิ่งเสียที สามารถมองเห็นร่างกายของหลิ่วสือซุ่ยได้อย่างชัดเจน
ความเร็วของกระบี่เร็วขึ้นทุกขณะ จนกระทั่งแปรเปลี่ยนเป็นลำแสงสายหนึ่งพุ่งขึ้นไปยังด้านบนยอดเขากระบี่ แหวกทะลุชั้นเมฆ มิรู้ไปยังแห่งหนใด
…………………………………………………………………………….