มรรคาสู่สวรรค์ – ตอนที่ 25 ต้องมีกระบี่

หลิวสือซุ่ยติดตามกู้หานฝึกกระบี่ แต่ยังไม่มีสิทธิ์ที่จะเข้าไปยังยอดเขาเหลี่ยงว่างได้ เขายังต้องฝึกกระบี่อยู่ริมธารสี่เจี้ยน

จิ๋งจิ่วรู้จักที่แห่งนั้น เพียงแต่กระทั่งถ้ำของตนก็ยังมิเคยก้าวออกมา เขาย่อมไม่เคยไปที่แห่งนั้น

เมื่อเดินเลียบธารสี่เจี้ยนขึ้นไป ผิวน้ำค่อยๆ กว้างขึ้น จนกระทั่งถึงปลายสุด ภาพที่อยู่ตรงหน้าคือผนังหินเรียบลื่นที่สูงหลายร้อยจ้าง

น้ำใสกระจ่างไหลเอื่อยลงมาจากบนผนังหิน ก่อเกิดเป็นคลื่นกระเพื่อมเล็กๆ จำนวนนับไม่ถ้วนในตอนที่ไหลผ่านโพรงกระบี่เหล่านั้น ดูแล้วงดงามยิ่ง

บนผิวน้ำที่อยู่ห่างออกไปหลายจ้างมีก้อนหินกลมโผล่พ้นน้ำอยู่แถวหนึ่ง ผิวของมันกลมเกลี้ยงและเปียกชื้น ยากที่จะยืนให้มั่นคงได้

ลูกศิษย์สิบกว่าคนยืนฝึกกระบี่อยู่บนก้อนหิน

เจตน์กระบี่หนาแน่น บางครั้งมีเสียงลมถูกฉีกกระฉากดังขึ้นมา ลำแสงสีขาวสว่างวาบ มีกระบี่บินไปบินมาอยู่ตลอดเวลา

กระบี่บางเล่มแทงทะลุเข้าไปในผาหิน จากนั้นบินกลับมา สีหน้าของลูกศิษย์ทั้งสุขุมและมั่นใจ

กระบี่บางเล่มยังอยู่ห่างจากผาหินอีกหลายจ้างก็ร่วงตกลงไปในน้ำ ลูกศิษย์เหยียบลงไปในน้ำเพื่อหยิบกระบี่กลับมา ดูทุลักทุเลยิ่ง สีหน้าเองก็ดูอับอาย

ลูกศิษย์บางคนยืนอยู่ริมผาที่ไกลออกไป สายตามองดูภาพเหล่านี้ด้วยความอิจฉา

พวกเขายังไม่สามารถเอากระบี่จากยอดเขากระบี่ได้ แต่ศิษย์ร่วมสำนักเหล่านี้กลับสามารถบังคับกระบี่ให้บินทะลุผนังที่อยู่ห่างออกไปสิบกว่าจ้าง เข้าสู่สภาวะตั้งมั่น

จิ๋งจิ่วมองเห็นหลิวสือซุ่ยยืนอยู่บนก้อนหินที่อยู่ในลำธาร จึงเดินเข้าไป

เมื่อเห็นเขาเดินเข้ามา เหล่าศิษย์พากันตกตะลึง มีเสียงพูดคุยซุบซิบดังขึ้นมา

คล้ายกับคราวที่เขาเดินออกมาจากที่พักเป็นครั้งแรกเมื่อตอนที่อยู่ศาลาหนานซง

หลิวสือซุ่ยเก็บกระบี่ สายตามองดูรูกระบี่ที่ชัดเจนบนผนังหิน รู้สึกพึงพอใจในความรุดหน้าของตน จากนั้นจึงมองเห็นจิ๋งจิ่ว

เขาประหลาดใจอย่างมาก จากนั้นจึงเกิดความรู้สึกไม่สบายใจอย่างรุนแรง เนื่องจากไม่สะดวกที่จะพูด เขาจึงส่ายหัวให้จิ๋งจิ่ว ก่อนจะใช้สายตาบอกให้เขากลับไปก่อน ประเดี๋ยวตัวเองค่อยไปหา

ไม่ทันแล้ว

กู้หานสังเกตเห็นความเคลื่อนไหวด้านหลังร่างกาย เขาหมุนตัวกลับไปมองจิ๋งจิ่ว สีหน้าเย็นชากล่าวว่า “มีธุระ?”

สายตาหลายสิบคู่จ้องมองไปที่จิ๋งจิ่ว

จิ๋งจิ่วมองเขา มิกล่าวกระไร

ไม่ใช่ว่าทุกคนจะมองเห็นสายตาของจิ๋งจิ่ว แต่ทุกคนต่างรับรู้ได้อย่างชัดเจนว่าเขาหมายถึงอะไร

—–หากไม่มีธุระ ข้าจะมาที่นี่ทำอะไร?

ในเมื่อเป็นแบบนี้ คำถามนี้ของเจ้าก็ย่อมต้องเป็นคำพูดไร้สาระ

บรรยากาศริมน้ำพลันอึดอัดขึ้นมา

เหนือความคาดหมาย กู้หานมิได้แสดงความโกรธออกมา หากแต่ถามว่า “ธุระอะไร?”

จิ๋งจิ่วตอบ “มิเกี่ยวกับเจ้า”

ริมน้ำมีเสียงซุบซิบ ไม่ว่าจะเป็นลูกศิษย์เหล่านั้นหรือว่าอาจารย์ต่างก็ตกใจอย่างมาก

ลูกศิษย์ธรรมดาคนหนึ่ง หาญกล้าพูดกับศิษย์พี่กู้หานแห่งยอดเขาเหลี่ยงว่างด้วยท่าทีเช่นนี้!

จิ๋งจิ่วมิได้เจตนาจะเหยียดหยามกู้หาน เขาไม่เข้าใจด้วยซ้ำว่าเหตุใดสายตาของทุกคนจึงดูตะลึงลานถึงเพียงนี้

เขาเพียงแต่ตอบคำถามของกู้หานเท่านั้น

เรื่องที่เขาจะทำ มันไม่เกี่ยวกับกู้หานจริงๆ

แต่เขาคิดไม่ถึงว่า สำหรับคนอื่นๆ แล้ว คำตอบขอบเขามันหมายถึงอะไร

หลิวสือซุ่ยตกใจอย่างยิ่ง เขารีบวิ่งกลับมาจากในแม่น้ำ

เขาคิดจะอธิบายแทนจิ๋งจิ่ว แต่กลับถูกกู้หานห้ามไว้

“ผ่านมาครึ่งปีแล้ว สภาวะของเจ้ามิได้มีความคืบหน้าแม้แต่น้อย เงาของผลแห่งกระบี่ก็ไม่มี”

กู้หานมองจิ๋งจิ่วด้วยสีหน้าราบเรียบ กล่าวว่า “ได้ยินเจ้าบอกว่าจะใช้กระบี่ของอาจารย์อาม่อ เจ้าคิดว่าเจ้ามีคุณสมบัตินี้งั้นรึ?”

จิ๋งจิ่วกล่าว “มี”

……

……

ริมน้ำเงียบเชียบ

เสียงพรืดเสียงหนึ่งดังขึ้น มีคนหลุดหัวเราะออกมา

คนอื่นๆ พากันครุ่นคิดว่าจิ๋งจิ่วจะตอบโต้การสั่งสอนของกู้หานอย่างไร แต่ไม่มีใครคิดถึงว่าเขาจะใช้คำพูดเพียงแค่คำเดียว

ในตอนที่เขาพูดคำว่า ‘มี’ ออกไป กระทั่งคิดเขาก็มิได้หยุดคิดเสียด้วยซ้ำ

สีหน้าของกู้หานแปรเปลี่ยนเป็นคร่ำเคร่ง เขากล่าวเสียงเย็นชาว่า “อาศัยเพียงยาวิเศษ ไม่มีทางที่จะเหยียบไปบนหนทางสู่สวรรค์ที่แท้จริงได้ เจ้าล้มเลิกความคิดนี้เสียเถอะ”

ครั้งนี้ คนที่ตอบออกไปกลับมิใช่จิ๋งจิ่ว หากแต่เป็นเสียงที่อ่อนโยน แต่กลับเต็มเปี่ยมไปด้วยอำนาจเสียงหนึ่ง

“หนทางสู่สวรรค์ ผู้ใดสามารถกำหนดได้ว่าวิธีไหนเป็นวิธีที่ถูกต้อง?”

คนอื่นๆ พากันกระจายตัว กู้หานเองก็โน้มตัวเล็กน้อย

ผู้ที่มาคืออาจารย์อาเหมยหลี่แห่งยอดเขาชิงหรง ใบหน้าเหมือนดั่งดอกเหมยที่อยู่กลางหิมะ งดงามแต่ไม่สง่า ดูมีความเย็นยะเยือกอยู่ในตัว

นางมองกู้หานพลางกล่าวว่า “ไม่ว่าใครจะเป็นคนชี้แนะแนวทาง แต่การบำเพ็ญฝึกฝนก็ขึ้นอยู่กับตัวของแต่ละคน จิ๋งจิ่วจะบำเพ็ญเพียรอย่างไร มันก็มิได้เกี่ยวข้องกับเจ้า เจ้าไม่ควรไปยุ่งกับเขา”

กู้หานกล่าวด้วยสีหน้าราบเรียบ “ข้าย่อมมิไปสนใจความเป็นความตายของเขา เพียงอยากจะสั่งสอนปากของเขาเท่านั้น”

กลุ่มคนแตกกระจายอีกครั้ง ศิษย์น้องอวี้ซานและชายหนุ่มแซ่หยวนจากจังหวัดเล่อหลางรีบพาหลินอู๋จือเข้ามา

หลินอู๋จือมองกู้หาน ยิ้มพลางกล่าวว่า “ศิษย์น้องกู้ จิ๋งจิ่วเป็นคนในชั้นเรียนของข้า ต่อให้คิดจะสั่งสอน ก็คงมิต้องลำบากถึงเจ้า”

กู้หานสูดหายใจลึก ก่อนจะจ้องมองจิ๋งจิ่วแล้วหมุนตัวเดินออกไป

“เจ้าตัดสินใจเองแล้วกันว่าหลังจากนี้จะเดินอย่างไร”

คำพูดนี้เขาย่อมมิได้พูดกับจิ๋งจิ่ว หากแต่พูดกับหลิวสือซุ่ย ความหมายก็ชัดเจนอย่างยิ่ง

หากเวลานี้หลิวสือซุ่ยรั้งอยู่ข้างกายจิ๋งจิ่ว มิยอมเดินตามเขามา อย่างนั้นหลังจากนี้ก็อย่าได้หวังจะขึ้นยอดเขาเหลี่ยงว่างอีกเลย

หลิวสือซุ่ยมองจิ๋งจิ่ว แล้วก็หันกลับไปมองกู้หานที่อยู่อีกฝั่ง บนใบหน้าเล็กๆ เต็มไปด้วยสีหน้าลังเลและลำบากใจ

จิ๋งจิ่วหมุนตัวเดินไปอีกด้าน

เมื่อมองดูแผ่นหลังของเขา บนใบหน้าของอาจารย์อาเหมยหลี่จากยอดเขาชิงหรงผู้นั้นมีสีหน้าชื่นชมปรากฏขึ้นมา

“จิ๋งจิ่ว เจ้าพยายามอีกหน่อยจะดีกว่า รีบไปเอากระบี่มาแล้วค่อยว่ากัน”

นางกล่าวกับจิ๋งจิ่วที่เดินห่างออกไป

จิ๋วจิ่วมิหันหน้ากลับมา แล้วก็มิได้หยุดฝีเท้า

“เอ่อ…เช่นนั้นก็ได้”

……

……

ครั้นเห็นจิ๋งจิ่วหายไปจากโค้งลำธาร อาจารย์อาเหมยหลี่หรี่ตาลงเล็กน้อย มิรู้กำลังคิดอันใดอยู่

หลินอู๋จือเดินมาข้างกายนาง ยิ้มเล็กน้อยพลางกล่าว “อาจารย์อา ยอดเขาชิงหรงก็สนใจจิ๋งจิ่วอย่างนั้นหรือ?”

อาจารย์อาเหมยหลี่เหลือบมองเขา กล่าวว่า “หากนี่เป็นความคิดของเจ้าสำนัก เช่นนั้นข้าย่อมมิอาจแย่ง”

หลินอู๋จือกล่าวว่า “เป็นความปรารถนาของอาจารย์อามั่ว เขาอยากดูว่าจิ๋งจิ่วมีหวังหรือไม่”

อาจารย์อาเหมยหลี่แค่นหัวเราะ กล่าวว่า “เช่นนั้นพวกเจ้าก็อย่าได้คิดเลย ขอเพียงจิ๋งจิ่วสามารถเข้าร่วมงานชุมนุมเฉิงเจี้ยนได้ เขาจะต้องเข้ายอดเขาชิงหรงของพวกข้าอย่างแน่นอน เจ้าลองดูหน้าตาของเจ้าเด็กนั่นสิ หากไม่เข้ายอดเขาของพวกข้า แล้วยังจะไปที่ไหนได้?”

ทั้งสองคนสบตากัน ก่อนจะต่างคนต่างแยกย้ายไป

สำหรับสำนักชิงซานแล้ว งานชุมนุมเฉิงเจี้ยนมีอิทธิพลต่อการสืบทอดและอิทธิพลภายในของแต่ละยอดเขาอย่างมาก

หากสามารถได้ตัวลูกศิษย์ที่ยอดเยี่ยมอย่างแท้จริงมาสักคน เช่นนั้นอีกหลายสิบปีหรือหลายร้อยปีหลังจากนี้ บนยอดเขาก็อาจจะมีสุดยอดผู้แข็งแกร่งที่สามารถบรรลุขั้นแหวกทะเลปรากฏขึ้นมาได้

ถ้าหากพลาดลูกศิษย์ที่ยอดเยี่ยมคนนั้นไปแล้ว เช่นนี้ก็เท่ากับเป็นการมอบตำแหน่งผู้แข็งแกร่งนั้นให้กับยอดเขาอื่นไป

เห็นได้ชัดว่าจิ๋งจิ่วนั้นเป็นลูกศิษย์ที่ไม่ธรรมดา ผู้ใดบ้างที่จะไม่ให้ความสนใจ? หากสุดท้ายพิสูจน์แล้วว่าเขาเป็นเพียงคนไร้ประโยชน์จริงๆ อย่างนั้นก็ช่างประไร แต่ตอนนี้ยังเหลือเวลาอีกครึ่งปีกว่าจะถึงงานชุมนุมเฉิงเจี้ยน หากครั้งนี้เข้าร่วมไม่ได้ก็ยังมีครั้งหน้า แล้วใครบ้างจะละทิ้งความหวังทั้งหมดที่มีไปล่วงหน้า?

คงจะมีเพียงยอดเขาเหลี่ยงว่างที่ไม่จำเป็นต้องมีการสืบทอดและไม่ขาดแคลนอัจฉริยะเท่านั้น ถึงจะมีคนอย่างกู้หานปรากฏตัวขึ้น

……

……

เหตุใดเหมยหลี่แห่งชิงหรงและหลินอู๋จือถึงมาแก้ไขปัญหาแทนตน จิ๋งจิ่วรู้แจ้งเป็นอย่างดี แต่เขามิได้ใส่ใจ

จนถึงตอนนี้ ตัวเขาเองก็ยังไม่แน่ใจว่าอยากจะไปยอดเขาไหน

เมื่อกลับมายังถ้ำ เขากางมือออก สายตาจ้องมองดูยาสีน้ำเงินอ่อนที่อยู่ในมือ นิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่ง

ยานี้มีชื่อว่ายาเสวียนจี้ มีประโยชน์อย่างมากต่อการทำให้โอสถกระบี่ของลูกศิษย์ที่บรรลุขั้นตั้งมั่นมีความคงที่และแน่นอน แล้วก็ย่อมล้ำค่าอย่างมากด้วย

เมื่อวานศิษย์น้องอวี้ซานบอกกับเขาเรื่องงานชุมนุมเฉิงเจี้ยน เขาจึงคิดว่าสือซุ่ยอาจจำเป็นต้องใช้ จึงทำให้เกิดการเดินทางในวันนี้ จากนั้นก็พบเจอเรื่องราวในวันนี้

เมื่อคิดถึงสายตาที่กู้หานมองตนก่อนเดินจากไป จิ๋งจิ่วเลิกคิ้วเล็กน้อย บนใบหน้าอันงดงามมีรอยยิ้มเล็กๆ ปรากฏขึ้นมา ก่อนจะกล่าวพึมพำกับตัวเองว่า “น่าสนุก”

สำหรับจิ๋งจิ่วแล้ว ความน่าเบื่อเป็นอารมณ์ที่ยากจะพบได้ ความน่าสนุกเองก็เช่นเดียวกัน

กู้หานก่อนจะไปได้จ้องมองดูเขา พลางใช้จิตจำแนกแห่งกระบี่สำรวจดูทั้งในและนอกร่างกายเขารอบหนึ่ง

วางอำนาจและดุดัน ไม่มีเหตุผลและดูแคลน

จิ๋งจิ่วมิได้พบพานเรื่องแบบนี้มานานหลายปีแล้ว

นี่ทำให้เขามิค่อยชินเท่าไร แล้วก็มิค่อยชื่นชอบเท่าไร

เมื่อก่อน หากต้องมาเจอกับเรื่องแบบนี้และเกิดความรู้สึกมิชื่นชอบ ตนเองจะทำเช่นไร?

จิ๋งจิ่วคิดอย่างเงียบๆ

หากมิชื่นชอบ ย่อมต้องสังหารภายในหนึ่งกระบี่

แน่นอนว่าตอนนี้ทำไม่ได้

โทษกู้หานยังไม่ถึงตาย

เขามิใช่คนที่ชื่นชอบการฆ่า

สิ่งที่สำคัญกว่านั้นคือต้องสังหารอีกฝ่ายภายในหนึ่งกระบี่….

อันดับแรก เจ้าต้องมีกระบี่ก่อน

ตอนนี้เขาไม่มีกระบี่

ยิ่งไปกว่านั้นหากไม่มีกระบี่ ก็ย่อมไม่สามารถเข้าร่วมงานชุมนุมเฉิงเจี้ยนได้

ดูเหมือนตัวเองคงจะต้องมีกระบี่สักเล่มจริงๆ แล้ว

สร้อยบนข้อมือเขาสั่นไหวเบาๆ

“จะเอาแต่ใช้เจ้าไม่ได้”

จิ๋งจิ่วกล่าว “ยิ่งไปกว่านั้นข้ารับปากเสี่ยวม่อไว้แล้ว”

……

……

ต้องมีกระบี่

กระบี่อยู่บนยอดเขากระบี่

จิ๋งจิ่วต้องไปยอดเขากระบี่

…………………………………………………………………..

มรรคาสู่สวรรค์

มรรคาสู่สวรรค์

ข้าคือกระบี่ พันลี้ปลิดชีพคน… สิบก้าวไม่ยอมเดิน พันลี้ปลิดชีพคน… สิบก้าวไม่อยากเดิน พันลี้ปลิดชีพคน… สิบก้าว? ไม่เดิน!!! ——————- ผู้เป็นนายคือบุรุษหนุ่มลึกลับผู้มาพร้อมกับใบหน้าที่หล่อเหลาและใบหูที่กางดูน่ารัก ผู้เป็นบ่าวคือเด็กชายใสซื่อผู้เป็นเมล็ดพันธุ์แห่งเต๋าแต่กำเนิด หนึ่งนายหนึ่งบ่าวเดินทางมายังสำนักชิงซานซึ่งเป็นสำนักบำเพ็ญพรตอันดับหนึ่งแห่งแผ่นดิน เพื่อเข้าสู่เส้นทางแห่งการบำเพ็ญเพียร ทว่าในระหว่างที่อยู่ในสำนัก ผู้เป็นนายกลับเอาแต่นอน ในสายตาคนอื่นเขาคือคนที่เกียจคร้านอย่างไม่มีใครเทียบได้ ส่วนผู้เป็นบ่าวกลับขยันฝึกฝนจนบรรลุสภาวะขั้นต้นในเวลาอันสั้น แต่สิ่งที่ไม่มีใครรู้คือ สาเหตุที่ผู้เป็นบ่าวสามารถบรรลุสภาวะได้อย่างรวดเร็ว เป็นเพราะเคล็ดการหายใจที่ผู้เป็นนายเคยสั่งสอนให้… บุรุษหนุ่มรูปงามผู้นี้คือใครกันแน่ ไฉนจึงเอาแต่นอนเกียจคร้านทั้งวันเช่นนี้?!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset