มรรคาสู่สวรรค์ – ตอนที่ 27 ปลายยอดเขาเกิดเรื่อง

เจ้าล่าเยวี่ยที่อยู่ห่างออกไปสัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของเจตน์กระบี่อีกครา ดวงตาหรี่ลงเล็กน้อย ภายในใจครุ่นคิด หรือจะเกี่ยวข้องกับลูกศิษย์หนุ่มเมื่อครู่นี้

จากนั้นครู่หนึ่ง นางส่ายหัว

นางอยู่กับเจตน์กระบี่พวกนี้มานาน รู้ว่าเจตน์กระบี่ไร้ซึ่งปัญญา มีเพียงแค่อารมณ์

หากอารมณ์ที่เจตน์กระบี่เหล่านี้มีต่อนางคือรักใคร่และทะนุถนอม เช่นนั้นอารมณ์ของเจตน์กระบี่เหล่านั้นในตอนนี้คือ….ยอมจำนน?

เจตน์กระบี่จะยอมจำนนต่อกระบี่เท่านั้น มิใช่คน

หรือยอดเขานี้มีกระบี่เล่มใหม่ถือกำเนิดขึ้นมา?

……

……

ท่ามกลางเจตน์กระบี่ที่อบอวลทั่วทั้งภูเขา ในที่สุดจิ๋งจิ่วก็หาเจตน์กระบี่ที่ตนเองต้องการพบ

เจตน์กระบี่นับหลายร้อยสายรับรู้ได้ถึงความปรารถนาของเขา จึงค่อยๆ สงบลง แล้วกลับเข้าไปในยอดเขา

จิ๋งจิ่วเดินมายังด้านหน้าของหน้าผา

กระบี่เล่มหนึ่งค่อยๆ โผล่ออกมาจากหน้าผา ดูแล้วช่างแปลกประหลาดยิ่งนัก

กระบี่ทั้งเล่มเป็นสีดำ ประกายดูหม่นหมองเล็กน้อย ดูแล้วธรรมดา หากว่ากันเรื่องระดับความบริสุทธิ์ของเจตน์กระบี่ เมื่อเทียบกับกระบี่อื่นแล้วมิถือว่าโดดเด่น ออกจะด้อยกว่าด้วยซ้ำ

นี่คือกระบี่ของอาจารย์อาม่อที่ลาโลกไปเมื่อครึ่งปีก่อน

แล้วก็เป็นกระบี่ที่จิ๋งจิ่วต้องการ

จิ๋งจิ่วยืดมือไปลูบไล้กระบี่ พลันพบว่ากว้างใหญ่อย่างที่คิดไว้จริงๆ จึงผงกศีรษะอย่างพึงพอใจ

ในขณะที่เตรียมจะหยิบกระบี่ เขาพลันพบอะไรบางอย่าง จึงเงยหน้ามองไปทางตะวันออก

……

……

เจตน์กระบี่บนยอดเขาพุ่งพล่าน ชั้นเมฆจับตัวหน้าทึบ ไม่มีแสงสว่างสามารถเล็ดลอดลงไปได้ ยากที่มองเห็นสิ่งที่อยู่ด้านใน แล้วก็ไม่สามารถใช้เจตน์กระบี่ตรวจสอบดูได้

สภาพแวดล้อมที่นี่เรียกได้ว่าตกอยู่ในความมืดอย่างแท้จริง

หากคิดอยากจะมองเห็นภาพที่อยู่ห่างออกไปร้อยจ้าง อย่างน้อยก็ต้องบรรลุถึงขั้นมิประจักษ์ หากอยากจะมองเห็นไกลกว่านั้น ก็จำเป็นต้องบรรลุสภาวะที่สูงกว่านั้น

สำหรับจิ๋งจิ่วแล้ว นี่มิใช่ปัญหา สภาวะของเขายังต่ำต้อยอยู่ แต่เจตน์กระบี่ที่อัดแน่นอยู่เต็มภูเขามิอาจทำอะไรเขาได้ ในทางกลับกัน มันกลับช่วยให้เขามองเห็นทุกอย่างได้ชัดเจนอย่างมาก

เขามองเห็นอินทรีเหล็กตัวนั้นตกลงมาตรงด้านหน้าหน้าผา

อินทรีเหล็กเป็นสิ่งมีชีวิตเพียงหนึ่งเดียวที่สามารถมีชีวิตอยู่บนยอดเขาแห่งกระบี่ได้

ขนของอินทรีเหล็กแข็งแกร่งดุจเหล็ก กระดูกแข็งดั่งหินวิญญาณ ทั่วทั้งร่างล้วนแต่เป็นวัตถุดิบสำหรับทำลูกธนูที่ล้ำค่าที่สุด

หากมิเป็นเพราะมีจำนวนน้อยเกินไปจนไม่สามารถนำมาใช้ในทางทหารได้ อีกทั้งถูกเอามาใช้เป็นวิหคเฝ้าระวังของชิงซาน เกรงว่าวิหคชนิดนี้คงจะถูกทางราชสำนักกำจัดจนสิ้นซากไปแล้ว

นั่นคือนกอินทรีวัยเยาว์ตัวหนึ่งที่ได้รับบาดเจ็บอย่างหนัก มันกระเสือกกระสนอยู่ตรงหน้าผา ไม่สามารถลุกยืนได้ ช่วงท้องมีโลหิตไหลออกมามิหยุด

ไม่รู้ว่าอินทรีตัวนี้ถูกกระบี่ของศัตรูด้านนอกทำร้าย หรือโชคไม่ดีถูกหน่อกระบี่ที่ถือกำเนิดขึ้นมาในยอดเขาเล่นงานจนได้รับบาดเจ็บ

จิ๋งจิ่วครุ่นคิด

สรรพสิ่งบนโลก ต่างมีวิถีเกิดดับเป็นของตน เขาไม่คิดจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพียงแต่คิดอยากดูว่าหลังจากนี้จะเกิดเรื่องอะไรขึ้น

เจ้าล่าเยวี่ยนั่งอยู่ในหน้าผา

เวลานี้นางฝึกวิชาเจตน์กระบี่หลอมกายาจนมาถึงช่วงที่สำคัญที่สุด จึงไม่สามารถลุกขึ้นส่งเดชได้

นางมองดูอินทรีเหล็กที่กำลังดิ้นรนตัวนั้นอย่างเงียบๆ ในดวงตาไม่มีความเห็นใจ แล้วก็ไม่มีอารมณ์อื่น

จิ๋งจิ่วมองนางอย่างเงียบๆ

เจ้าล่าเยวี่ยขยับแล้ว

นางยกมือขึ้น ลำแสงกระบี่สีเขียวสายหนึ่งพุ่งออกมาจากแขนเสื้อ มาถึงตรงหน้าอินทรีเหล็กตัวนั้น

จิ๋งจิ่วเลิกคิ้วเล็กน้อย

เมื่อดูจากการควบคุมกระบี่ นางได้เข้าสู่สภาวะสมความนึกคิดแล้ว

มิเสียทีที่เป็นเมล็ดพันธุ์แห่งเต๋าแต่กำเนิด เพียงแต่มิรู้ว่าเหตุใดนางจึงต้องปิดบังความจริงนี้ไว้ด้วย จนกระทั่งตอนนี้สำนักชิงซานก็ยังมิมีผู้ใดล่วงรู้เรื่องนี้

เจ้าล่าเยวี่ยมิได้ปลิดชีพช่วยให้อินทรีตัวนั้นพ้นจากความทุกข์ทรมาน

ลำแสงกระบี่สีเขียวพุ่งกลับมา พร้อมกับพาอินทรีตัวนั้นกลับมาด้วย

นางฉีกชายเสื้อออกมา ก่อนจะทำแผลให้มันอย่างระมัดระวัง

เมื่อเห็นภาพนี้ จิ๋งจิ่วส่ายหัว ก่อนจะเงยหน้ามองไปอีกด้านหนึ่ง

ชายวัยกลางคนสวมชุดสีเทาผู้หนึ่ง มิรู้ว่ามาปรากฏกายอยู่ตรงหน้าผาที่อยู่ห่างออกไปร้อยจ้างตั้งแต่เมื่อใด

ในยอดเขาที่เต็มไปด้วยเจตน์กระบี่และความมืดมิด ด้วยสภาวะของเจ้าล่าเยวี่ยในตอนนี้น่าจะมองไม่เห็นเขา

นางก้มหน้าทำแผลให้นกอินทรีต่อ จนกระทั่งทำเสร็จเรียบร้อย จึ่งเงยศีรษะขึ้นมาแล้วมองไปทางด้านนั้น

ที่แท้ นางมองเห็นอีกฝ่ายแต่แรกแล้ว

“มิเสียทีที่เป็นเมล็ดพันธุ์แห่งเต๋าแต่กำเนิด วิถีกระบี่ยอดเยี่ยม คิดไม่ถึงว่าจะสามารถมองเห็นข้าจากระยะไกลขนาดนี้ได้”

ชายวัยกลางคนที่สวมชุดเทานั้นมองดูเจ้าล่าเยวี่ยด้วยสีหน้าเรียบเฉย พลางกล่าวว่า “มิน่าเจ้าพวกที่อยู่บนยอดเขาเหลี่ยงว่างถึงอยากได้ตัวเจ้าจนแทบจะเป็นบ้า”

เจ้าล่าเยวี่ยมองไปยังตำแหน่งที่อีกฝ่ายยืนอยู่ในความมืด กล่าวถามว่า “ท่านเป็นใคร?”

ชายกลางคนชุดเทากล่าว “ข้าแซ่จั่ว”

เจ้าล่าเยวี่ยนิ่งเงียบไปครู่ ก่อนจะกล่าวว่า “ที่แท้ก็อาจารย์อาจั่วแห่งยอดเขาปี้หู”

ด้านหลังอาจารย์อาจั่วผู้นี้มิได้แบกกระบี่เอาไว้ วิถีกระบี่ของเขาน่าจะบรรลุเข้าสู่ขั้นมิประจักษ์ไปแล้ว

อาจารย์อาจั่วมองนกอินทรีในมือเจ้าล่าเยวี่ย พลางกล่าว “เจ้านกตัวน้อยนี่ไม่สามารถขัดจังหวะการบำเพ็ญเพียรของเจ้าได้ ทว่ามันกลับหยั่งความลึกตื้นของเจ้าได้ มิคาดเลยว่าเจ้าจะปิดบังสภาวะที่แท้จริงของตัวเองเอาไว้ อายุเพียงเท่านี้ก็สามารถบรรลุขั้นสมความนึกคิดได้แล้ว ช่างน่าตกใจจริงๆ”

เจ้าล่าเยวี่ยวางนกอินทรีที่บาดเจ็บตัวนั้นเอาไว้ข้างหลังตน มิกล่าวกระไร

อาจารย์อาจั่วกล่าวต่อว่า “ตอนนี้ข้าอยากจะรู้สองเรื่อง หนึ่ง เจ้าเป็นศิษย์สืบทอดที่ยอดเขาไหนเลือกไปกันแน่? หรือจะเป็นท่านเจ้าสำนัก? อีกอย่างหากเจ้าไม่ตายไปอย่างเงียบๆ ในคืนนี้ ภายภาคหน้าก็มิรู้ว่าเจ้าจะเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์แห่งการบำเพ็ญเพียรไปอย่างไรบ้าง เมื่อคิดถึงตรงนี้ ข้าก็รู้สึกอดรนทนมิไหว”

เขาจะสังหารเจ้าล่าเยวี่ย

สำนักชิงซานมองเจ้าล่าเยวี่ยเป็นเหมือนดั่งสมบัติล้ำค่า แต่กลับมีคนคิดสังหารนาง?

จิ๋งจิ่วยืนอยู่ในความมืด สายตามองไปยังคนที่อยู่ไกลออกไปผู้นั้น หูฟังบทสนทนานี้ ในใจเกิดความรู้สึกไม่เข้าใจ

หรือคนผู้นี้จะเป็นสายลับจากสำนักอื่น? หรือเป็นมือสังหารที่เจาเกอแอบซ่อนเอาไว้ในสำนักชิงซาน?

ในสถานที่ที่หยวนฉีจิงคอยจับตาดูอยู่ กลับมีลายลับ? นี่เป็นเรื่องที่ยากจะจินตนาการได้

อาจารย์อาจั่วแห่งยอดเขาปี้หูเพียงแต่แสดงความทอดถอนใจของตัวเองออกมา หาได้คิดรอคำตอบของเจ้าล่าเยวี่ยไม่

สิ้นเสียงของเขา จากระยะที่ห่างออกไปร้อยกว่าจ้าง จิตสังหารที่เบาบางแต่เย็นยะเยือกสายหนึ่งได้พุ่งเข้ามาหาเจ้าล่าเยวี่ย

เขาเป็นผู้แข็งแกร่งที่บรรลุสภาวะขั้นมิประจักษ์ แม้นจะเผชิญหน้ากับศิษย์รุ่นหลังที่ความสามารถมิเทียบเท่าตน แต่ก็ยังคงแสดงความระมัดระวังอย่างมาก เนื่องจากคนที่เขาต้องการปลิดชีพคือเจ้าล่าเยวี่ย

เขาได้ทำการหยั่งเชิงดูแล้ว สภาวะที่แท้จริงของเจ้าล่าเยวี่ยคือสมความนึกคิด เช่นนั้นเขาก็จะมิก้าวเข้าไปในระยะหนึ่งร้อยจ้างจากตัวเจ้าล่าเยวี่ย

แม้นจะบรรลุสภาวะขั้นสมความนึกคิดจนบริบูรณ์ แต่ระยะสังหารที่ไกลที่สุดของกระบี่บินก็แค่เพียงหนึ่งร้อยจ้างเท่านั้น

ต่อให้เจ้าล่าเยวี่ยจะอัจฉริยะเพียงใด ก็มิอาจโจมตีจากระยะไกลขนาดนี้ได้

และในระยะเท่านี้ เขาซึ่งเป็นผู้บรรลุสภาวะมิประจักษ์ เพียงแค่สะบัดมือก็สามารถสังหารอีกฝ่ายได้แล้ว

นี่จะเป็นการต่อสู้ที่รู้ผลแพ้ชนะอยู่ก่อนแล้ว

จิ๋งจิ่วมองดูท้องฟ้ายามค่ำคืน แน่ใจว่าหากใช้กระบี่ส่งข่าวคงมิทันการ

“ข้าไม่เข้าใจความหมายของท่านอาจารย์อา”

เจ้าล่าเยวี่ยยังคงนั่งอยู่ในถ้ำ ไม่รู้ว่าเพราะอยู่ในช่วงสำคัญของการฝึกเจตน์กระบี่หลอมกายาจึงมิอาจออกไปได้ หรือเป็นเพราะนางได้ยอมแพ้แล้ว

“เวลามาล้วนวุ่นวาย แต่เวลาจะไปยังไงก็ต้องรู้เหตุผล”

อาจารย์อาจั่วกล่าวว่า “ที่ข้าต้องสังหารเจ้า เพราะเจ้ากำลังสืบเรื่องนั้น”

เจ้าล่าเยวี่ยกล่าว “ข้าไม่รู้ว่าท่านกำลังพูดถึงเรื่องใด”

อาจารย์อาจั่วกล่าว “เจ้ามิควรสืบเรื่องนั้น เรื่องเหล่านั้นเจ้าไม่มีสิทธิ์สืบ”

เจ้าล่าเยวี่ยมองเขาอย่างเงียบๆ กล่าวว่า “ที่แท้…มีเรื่องจริงๆ ด้วย”

“ต้องมีแน่นอน มิเช่นนั้นเหตุใดเจ้าแห่งยอดเขาจึงเสียสติ? เหตุใดข้าต้องเสี่ยงมาสังหารเจ้า”

อาจารย์อาจั่วมองนาง พลางกล่าวอย่างทอดถอนใจ “ความจริงข้าไม่เข้าใจ หนทางข้างหน้าของเจ้าสว่างไสว เหตุใดในสามปีนี้กลับเอาแต่สืบเรื่องนี้ เจ้ารู้ได้อย่างไร? แล้วเหตุใดต้องสืบ? อีกทั้ง…เจ้าสืบไปถึงไหนแล้ว? หากมิเป็นเพราะข้ามีคนรู้จักอยู่ในเจวี่ยนเหลียนเหริน ข้าคงคิดไม่ถึงว่าเจ้ากำลังสืบอยู่”

น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความเสียใจและเสียดาย ดูเหมือนเขาจะมิอยากลงมือกับจ่าวล่าเยว่จริงๆ

จิ๋งจิ่วฟังดูเงียบๆ มิกล่าวกระไร ทั้งมิได้ปรากฏกายด้วย

“ฆ่าข้า แล้วท่านได้คิดถึงผลที่จะตามมาหรือไม่?

เจ้าล่าเยวี่ยมองดูความมืดพลางกล่าว

นางเป็นอนาคตที่ได้รับความรักจากสำนักชิงซาน ทั้งยังมีสัมพันธ์อันลึกซึ้งกับยอดเขาใดยอดเขาหนึ่งด้วย

ต่อให้ชายชุดเทาจะเป็นอาจารย์อาของนาง แต่ขอเพียงกล้าลงมือกับนาง จุดจบคงจะเลวร้ายอย่างมาก

อาจารย์อาจั่วถอนใจพลางกล่าว “ผลลัพธ์ของเรื่องบางเรื่องมันร้ายแรงกว่าการสังหารเจ้านับหมื่นเท่า แต่พวกเราก็ยังจะทำ”

…………………………………………………………

มรรคาสู่สวรรค์

มรรคาสู่สวรรค์

ข้าคือกระบี่ พันลี้ปลิดชีพคน… สิบก้าวไม่ยอมเดิน พันลี้ปลิดชีพคน… สิบก้าวไม่อยากเดิน พันลี้ปลิดชีพคน… สิบก้าว? ไม่เดิน!!! ——————- ผู้เป็นนายคือบุรุษหนุ่มลึกลับผู้มาพร้อมกับใบหน้าที่หล่อเหลาและใบหูที่กางดูน่ารัก ผู้เป็นบ่าวคือเด็กชายใสซื่อผู้เป็นเมล็ดพันธุ์แห่งเต๋าแต่กำเนิด หนึ่งนายหนึ่งบ่าวเดินทางมายังสำนักชิงซานซึ่งเป็นสำนักบำเพ็ญพรตอันดับหนึ่งแห่งแผ่นดิน เพื่อเข้าสู่เส้นทางแห่งการบำเพ็ญเพียร ทว่าในระหว่างที่อยู่ในสำนัก ผู้เป็นนายกลับเอาแต่นอน ในสายตาคนอื่นเขาคือคนที่เกียจคร้านอย่างไม่มีใครเทียบได้ ส่วนผู้เป็นบ่าวกลับขยันฝึกฝนจนบรรลุสภาวะขั้นต้นในเวลาอันสั้น แต่สิ่งที่ไม่มีใครรู้คือ สาเหตุที่ผู้เป็นบ่าวสามารถบรรลุสภาวะได้อย่างรวดเร็ว เป็นเพราะเคล็ดการหายใจที่ผู้เป็นนายเคยสั่งสอนให้… บุรุษหนุ่มรูปงามผู้นี้คือใครกันแน่ ไฉนจึงเอาแต่นอนเกียจคร้านทั้งวันเช่นนี้?!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset