“ข้าไม่รู้ว่าคืนนั้นเจ้าสังหารเขาได้อย่างไร แต่ข้ารู้ว่าปราณกระบี่ของเจ้าเปี่ยมไปด้วยพลัง บางทีอาจจะมิได้ด้อยไปกว่าข้าเลยด้วยซ้ำ”
เจ้าล่าเยวี่ยมองเขา กล่าวว่า “ข้าไม่เข้าใจว่าคนเกียจคร้านเยี่ยงเจ้าทำเช่นนั้นได้อย่างไร”
นับตั้งแต่ที่รู้เรื่องราว หรือเรียกได้ว่าตั้งแต่เกิดมา นางก็สัมผัสและเตรียมตัวเพื่อการบำเพ็ญเพียรอยู่ภายใต้การจับตามองของสำนักชิงซานมาโดยตลอด
ทุกรุ่งเช้าเมื่อลืมตาขึ้นมา นางก็จะเริ่มฝึกร่างกาย ทำสมาธิ จนเข้ามายังสำนักชิงซานก็เริ่มฝึกกระบี่ ไม่เคยแอบเกียจคร้านเลยแม้เพียงครู่เดียว
เรียกได้ว่าทุกการหายใจของนาง ล้วนแต่กำลังบำเพ็ญเพียร
นางเคยได้ยินเรื่องราวของจิ๋งจิ่ว ทราบว่าเขาขึ้นชื่อเรื่องความเกียจคร้าน แต่หลังเกิดเหตุการณ์บนยอดเขาคืนนั้น นางก็คิดว่านี่เป็นข่าวลือที่เป็นเท็จ
จนกระทั่งได้มาเห็นด้วยตาตัวเองสองครั้งนี้ นางจึงได้พบว่าเขาเป็นคนเกียจคร้านจริง
นางไม่เคยพบเห็นคนที่เกียจคร้านเช่นนี้มาก่อน ไม่เคยพบเห็นคนที่ทำให้พรสวรรค์ของตนเองต้องสูญเปล่าเช่นนี้มาก่อน
สิ่งที่นางยิ่งไม่เข้าใจก็คือ คนที่เกียจคร้านเช่นนี้ เหตุใดจึงสามารถบำเพ็ญเพียรจนมีปราณกระบี่ที่เปี่ยมไปด้วยพลังขนาดนี้ได้
นางใคร่รู้คำตอบของคำถามนี้ ใคร่รู้มากกว่าสถานะที่แท้จริงของจิ๋งจิ่วเสียอีก
“เจ้ารู้ว่าหรือไม่ว่าเหตุใดข้าจึงมาเรียนกระบี่ที่สำนักชิงซาน?”
จิ๋งจิ่วมองดูนางพล่างกล่าว “เพราะที่นี่มิเคยสนใจว่าลูกศิษย์จะบำเพ็ญเพียรอย่างไร จะบำเพ็ญเพียรอย่างไรก็ล้วนแต่ทำได้ทั้งสิ้น”
แต่ภายในใจเขาเพิ่มเหตุผลเข้าไปอีกประโยคหนึ่ง แน่นอนว่าเป็นเพราะเขาค่อนข้างคุ้นเคยกับที่นี่
เจ้าล่าเยวี่ยกล่าว “ข้าไม่รู้ว่าเจ้าคิดอยากจะฝึกอะไร แล้วคิดอยากจะปิดบังสิ่งใด ทว่าการที่เจ้าทำเช่นนี้ มันกลับจะกลายเป็นที่สนใจของทุกคนได้ง่าย”
จิ๋งจิ่วกล่าว “จงใจปิดบัง ข้าคิดว่ามันยุ่งยาก”
เจ้าล่าเยวี่ยกล่าว “แม้นจะถูกคนรู้ความลับของเจ้าอย่างนั้นหรือ?”
“ไม่มีผู้ใดสามารถเก็บงำความลับไปได้ตลอด ของปลายแหลมที่อยู่ในกระเป๋า ช้าเร็วก็ต้องแทงกระเป๋าจนทะลุออกมา”
จิ๋งจิ่วกล่าว “เมื่อก่อนข้าเคยมีประสบการณ์ทำนองนี้มาก่อน ทุกวันพระอาทิตย์ล้วนแต่ลอยขึ้นไป แต่บนท้องฟ้ามิอาจมีเมฆปกคลุมบดบังไปได้ตลอด หากเจ้ามัวแต่พยายามทำให้คนที่อยู่ด้านล่างมองไม่เห็นแสงสว่างของเจ้า นั่นจะกลายเป็นเรื่องที่ลำบากอย่างยิ่ง หรืออาจเรียกได้ว่าโง่เขลา”
เจ้าล่าเยวี่ยค่อยๆ เหลียวหน้ามามองเขา ก่อนถามอย่างมิแน่ใจ “เจ้าเปรียบตัวเองเป็นพระอาทิตย์?”
จิ๋งจิ่วกล่าว “ก็แค่เปรียบเปรยเท่านั้น”
“ยอดเขาชิงหรงมีศิษย์พี่หลายคนแอบพูดคุยถึงข้า บอกว่าข้าหลงตัวเอง”
เจ้าล่าเยวี่ยนิ่งเงียบไปครู่ จากนั้นกล่าวว่า “ข้าคิดว่าข้าสู้เจ้าไม่ได้”
จิ๋งจิ่วกล่าว “ข้าคิดว่าเจ้าน่าจะเข้าใจความหมายของข้า”
เจ้าล่าเยวี่ยมิกล่าวกระไร
นางรู้ว่าจิ๋งจิ่วคิดอยากจะบอกอะไร
นางเป็นเมล็ดพันธุ์แห่งเต๋าแต่กำเนิด เป็นอัจฉริยะแห่งวิถีกระบี่ เป็นที่โปรดปรานของสำนักชิงซาน นับแต่ถือกำเนิดขึ้นมา ก็มีสายตาจำนวนนับไม่ถ้วนคอยจับจ้องอยู่ หลังเข้ามาในสำนัก นางก็เลือกวิธีการฝึกฝนที่อันตรายอย่างเจตน์กระบี่หลอมกายา บางทีมันอาจจะเกี่ยวกับวิชานี้ เพราะแบบนั้นนางจึงสามารถหลบซ่อนอยู่ในส่วนลึกของชั้นเมฆบนยอดเขากระบี่ มิถูกใครพบเห็น
นางนิ่งเงียบมิเอ่ยวาจา ดูดื้อรั้นดึงดัน
จิ๋งจิ่วยกมือขึ้น ลูบผมของนาง
เจ้าล่าเยวี่ยเลิกคิ้ว ถลึงตามองเขา จิตสังหารพวยพุ่ง
จิ๋งจิ่วดึงมือกลับ สีหน้าไม่แปรเปลี่ยน กล่าวว่า “เจ้าควรไปล้างผมและบำเพ็ญเพียรก็พอ มิจำเป็นต้องทำตนเองจนมีสภาพเช่นนี้”
เจ้าล่าเยวี่ยสะบัดศีรษะแรงๆ เศษฝุ่นร่วงตกลงมา ดูคล้ายสุนัขที่เพิ่งกลับมาถึงบ้านหลังจากออกไปเที่ยวเตร่ข้างนอกมาทั้งวัน
“ข้าลืมไปแล้ว”
พูดจบประโยคนี้ นางพลันขี่กระบี่บินไปยังถ้ำของตนที่อยู่ด้านบนของหน้าผา
จิ๋งจิ่วรู้สึกตนเองคล้ายจะลืมอะไรบางอย่างไปเช่นเดียวกัน
ผ่านไปไม่นาน เจ้าล่าเยวี่ยกลับมาใหม่ นางเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ ผมสั้นสีดำยังมีน้ำหยด
ถ้ำที่นางอาศัยอยู่ย่อมต้องดีกว่าถ้ำของศิษย์ธรรมดาทั่วไป ตำแหน่งก็อยู่ด้านบนสุดของหน้าผา แต่กลับมีน้ำพุร้อนที่เหล่าอาจารย์เซียนนำมาให้จากยอดเขาซีไหล
จิ๋งจิ่วมองดูผมของนาง
เจ้าล่าเยวี่ยกล่าว “ปราณกระบี่ใช้ปลิดชีพคน จะมาใช้กับเรื่องแบบนี้ได้อย่างไร”
จิ๋งจิ่วคิดอยากจะกล่าวอะไร ทันใดนั้นพลันหันไปมองท้องฟ้าทางตะวันออก
บนท้องฟ้ามีเสียงหวีดแหลมเล็กดังขึ้นมาหลายเสียง
ชั้นเมฆถูกฉีกกระชาก ก่อเกิดเป็นเมฆเส้นตรงหลายเส้น ดูแล้วคลับคล้ายลูกธนู
เสียงดังสนั่นอื้ออึง ตรงกลางชั้นเมฆเดือดพล่าน ไม่นานหลังจากนั้น ลำแสงกระบี่สายหนึ่งก็พุ่งทะลวงออกมาจากก้อนเมฆ มายังท้องฟ้าเหนือธารสี่เจี้ยน
ลำแสงกระบี่พิสุทธิ์และเจิดจ้า ระดับชั้นสูงส่ง แผ่กระจายเจตน์กระบี่ที่รุนแรงอย่างมากออกมา ผู้ที่ขี่กระบี่น่าจะเป็นผู้ที่บรรลุสภาวะขั้นสูง แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด กระบี่บินเล่มนี้ถึงไม่มั่นคง กวัดแกว่งไปมาคล้ายชายหนุ่มในหมู่บ้านที่ร่ำสุราจนเมามาย ทั้งคล้ายกระเรียนป่าที่ตกใจกลัวจนไม่รู้จะไปทางไหน
ลำแสงกระบี่บินฉวัดเฉวียนไปมาตรงหน้าผาริมฝั่งธารสี่เจี้ยน ประเดี๋ยวขึ้น ประเดี๋ยวลง
เสียงที่ฟังดูโศกเศร้าคร่ำครวญเสียงหนึ่งดังมาจากบนกระบี่ ก่อนจะกระจายไปรอบทิศ
“แม้นไม่มีหนึ่ง แล้วสองล่ะ!”
“ไม่มีหนึ่ง สองล่ะ?”
เสียงตะโกนของผู้ที่ขี่กระบี่ดังสะท้อนไปทั่วทั้งหุบเขา
เจตน์กระบี่อันน่าหวาดกลัวแผ่ลงมาอยู่ตลอดเวลา ธารน้ำคลุ้มคลั่ง บนหน้าผามีรอยปริแตกเป็นทางยาวอย่างชัดเจน เศษหินร่วงตกลงมา
ในยอดเขาอื่นที่อยู่ห่างออกไปมีลำแสงกระบี่พุ่งขึ้นมา น่าจะศิษย์สายตรงกำลังเร่งรุดตามมา
ศิษย์ขั้นล้างกระบี่ที่อยู่ข้างลำธารถูกเหล่าอาจารย์เรียกให้เข้าไปหลบอยู่ในศาลาสี่เจี้ยน
เมื่อฟังเสียงตะโกนคร่ำครวญบนท้องฟ้า มองดูหน้าผาถูกเจตน์กระบี่กวาดผ่าน ก้อนหินแลต้นไม้สูงเสียดฟ้าถูกตัดขาดอย่างน่าเศร้าใจ เหล่าลูกศิษย์ใบหน้าขาวซีด รู้สึกหวาดกลัวเป็นยิ่งนัก
นี่มันเกิดอะไรขึ้น? คนผู้นั้นเป็นใคร? เหตุใดจึงคุ้มคลั่งและน่าหวาดกลัวถึงเพียงนี้?
……
……
เจ้าล่าเยวี่ยเดินมาถึงริมผา สายตามองดูลำแสงกระบี่อันคุ้มคลั่งนั้น ในดวงตาเผยให้เห็นความเป็นปรปักษ์และการเฝ้าระวัง
จิ๋งจิ่วมองดูนางอย่างเงียบๆ ในใจคิดใคร่รู้ว่าแหล่งที่มาของอารมณ์ทั้งสองนี้คืออะไร?
ครั้นอยู่ห่างจากธารสี่เจี้ยนได้สิบกว่าลี้ ลำแสงกระบี่จากยอดเขาอื่นก็หยุดลง น่าจะเป็นเพราะได้รับคำสั่งมา
ลำแสงกระบี่ที่คุ้มคลั่งรวดเร็วยิ่งนัก ผู้ที่ีขี่มันก็แข็งแกร่งยิ่งนัก ศิษย์สายตรงธรรมดาของยอดเขาต่างๆ มิใช่คู่ต่อสู้ เข้าไปก็มีแต่ตายเปล่า ดังนั้นลำแสงกระบี่ร้อยกว่าสายจึงแค่เฝ้าระวังอยู่ด้านนอก จัดตั้งค่ายกระบี่ขึ้นมาจำนวนหลายสิบค่าย ทั้งเพื่อป้องกันตนเอง ขณะเดียวกันก็เพื่อป้องกันมิให้คนบ้าที่ขี่กระบี่ผู้นั้นหนีรอดไปได้
หลังค่ายกระบี่ของศิษย์จากยอดเขาต่างๆ จัดตั้งเสร็จเรียบร้อย ฟ้าดินพลันเปลี่ยนสี
ชั้นเมฆกระจายตัวออก กระบี่เหล็กรูปร่างสี่เหลี่ยมเล่มหนึ่งลอยลงมาจากบนท้องฟ้า
กระบี่เหล็กสี่เหลี่ยมส่ายไปมาตามแรงลมก่อนจะยืดยาวออก กลายเป็นหลังคาทรงโค้งใหญ่สิบกว่าจ้าง ครอบกระบี่บินที่คุ้มคลั่งเล่มนั้นเอาไว้ ก่อนจะกดมันลงไปยังพื้นที่เนินเขาที่อยู่ห่างออกไปหลายลี้
เสียงกัมปนาทดังสนั่นคล้ายฟ้าคำราม ด้านหลังหลังคากระบี่เล่มนั้นมีเสียงดังขึ้นมาไม่หยุด
ก้อนหินที่อยู่บนพื้นที่เนินเขาตรงนั้นถูกสั่นสะเทือนจนลอยขึ้นมาจากพื้น กระเด็นกระดอนไปมาราวกับสิ่งมีชีวิต
การสั่นสะเทือนอันน่าหวาดกลัวแผ่กระจายมาถึงธารสี่เจี้ยน น้ำในลำธารเดือดพล่าน พุ่งชนหน้าผาจนกระเซ็นซ่าน ไม่รู้ว่ามีปลามากน้อยเท่าไรที่ถูกแรงสั่นสะเทือนกระแทกจนตายทั้งเป็น
ผ่านไปครึ่งชั่วยาม ในที่สุดการต่อสู้ก็หยุดลง กระบี่เหล็กสงบนิ่ง ดูคล้ายแผ่นเหล็กจริงๆ
ไม่รู้ว่าคนผู้นั้นที่ถูกกระบี่เหล็กครอบเอาไว้เป็นตายร้ายดีอย่างไรบ้าง
ปลาที่ตายไปจำนวนนับไม่ถ้วนลอยขึ้นมาเหนือผิวน้ำ ดูคล้ายเหรียญเงินที่พ่อค้าที่ร่ำรวยที่สุดในเมืองเจาเกอโปรยลงไปในแม่น้ำ
หน้าผาที่ถูกกระบี่คุ้มคลั่งเล่มนั้นฟันขาดค่อยๆ ไหลร่วงลงไปในแม่น้ำ ก่อเกิดเป็นคลื่นยักษ์จำนวนนับไม่ถ้วน และทำให้เกิดเสียงถอนหายใจไม่รู้มากน้อยเท่าไร
“นี่คือพลังของสภาวะขั้นแหวกทะเลงั้นหรือ?”
เจ้าล่าเยวี่ยที่มองดูภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอีกฟากนึงกล่าวออกมา
จิ๋งจิ่วเดินมาข้างกายนาง กล่าวว่า “หยวนฉีจิงมิได้ลงมือด้วยตนเองมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว ข้าคิดว่าเขาคงจะบรรลุขั้นแหวกทะเลจนบริบูรณ์ และเข้าสู่ขั้นทะลวงสวรรค์ไปแล้ว”
เจ้าล่าเยวี่ยมองเขา
หากคำพูดนี้เป็นความจริง สำนักชิงซานก็จะมียอดคนที่บรรลุขั้นทะลวงสวรรค์เพิ่มอีกคน นี่จะต้องสั่นสะเทือนไปทั้งแผ่นดินแน่
แต่จิ๋งจิ่วรู้ได้อย่างไร? แล้วเหตุใดเขาต้องบอกตนเอง?
……………………………………………………………..