เหล่าศิษย์ที่อยู่ริมฝั่งลำธารสี่เจี้ยนไม่กล้าพูดคุยถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันนั้น แต่ยังคงมีการแอบพูดคุยกันอย่างลับๆ ไม่นานก็มีข่าวแพร่ออกมา พวกเขาจึงได้รู้ว่ากระบี่บินที่น่าหวาดกลัวในวันนั้นคือกระบี่น้ำขึ้น และคนบ้าผู้นั้นย่อมต้องเป็นเหลยพั่วอวิ๋น เจ้าแห่งยอดเขาปี้หู
ว่ากันว่าเจ้ายอดเขาปี้หูถูกเผ่าหมิงและปู้เหล่าหลินร่วมมือกันลอบสังหารที่เมืองเจาเกอ ได้รับบาดเจ็บสาหัส กำลังรักษาตัวอยู่ในที่แห่งหนึ่ง ไม่มีใครคาดคิดว่าเขาจะปรากฏตัวต่อหน้าศิษย์ยอดเขาต่างๆ ในสภาพที่คุ้มคลั่งเช่นนี้ คล้ายกับธาตุไฟเข้าแทรกก็มิปาน นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?
ไม่มีใครให้คำตอบได้ เรื่องราวค่อยๆ เงียบหายไป หน้าผาที่ถูกลำแสงกระบี่ของเหลยพั่วอวิ๋นตัดขาดถูกอาจารย์จากยอดเขาซีไหลซ่อมแซมกลับคืนดั่งเดิม ไม่มีร่องรอยความเสียหายใดๆ หลังผ่านไปคืนหนึ่งก็คล้ายเรื่องนี้มิเคยเกิดขึ้น
แต่คำพููดคร่ำครวญและคุ้มคลั่งประโยคนั้นยังคงดังสะท้อนไปทั่วทุกยอดเขา
“แม้นไม่มีหนึ่ง แล้วสองเล่า!”
“ไม่มีหนึ่ง สองเล่า?”
คำพูดนี้ไม่มีประโยคขึ้นต้นและลงท้าย มันหมายความว่าอย่างไรกันแน่? ไม่มีใครสามารถบอกได้
เมื่อนึกย้อนถึงการตายอย่างน่าประหลาดของอาจารย์อาแห่งยอดเขาปี้หูผู้นั้น เรื่องราวทั้งหมดนี้ก็ยิ่งเต็มไปด้วยความรู้สึกแปลกประหลาด
จิ๋งจิ่วรู้ความหมายของคำพูดประโยคนี้ แล้วก็รู้ว่าเหตุใดก่อนตายเหลยพั่วอวิ๋นจึงเอาแต่คิดถึงเรื่องนี้
เขายืนสองมือไพล่หลังอยู่ริมผา สายตามองดูท้องฟ้ายามค่ำคืนที่มืดมิด รู้สึกว่าที่แห่งนี้คล้ายดั่งบ่อน้ำเก่าแห่งหนึ่ง หว่างคิ้วมีความรู้สึกเบื่อหน่ายปรากฏขึ้นมาเล็กน้อย
……
……
ปลายสุดของยอดเขาซั่งเต๋อ อากาศหนาวเหน็บเสียดกระดูก หากอยู่ที่นี่ ไม่ว่าจะอยู่ในสภาวะขั้นไหนก็ต้องรักษาสติให้ตื่นรู้เอาไว้ตลอดเวลา
หยวนฉีจิงเดินเข้าไปในส่วนลึกของถ้ำ ก้มหน้ามองลงไปยังด้านล่างของบ่อน้ำ นิ่งเงียบไม่กล่าวกระไรอยู่เป็นเวลานาน
น้ำค้างแข็งเกาะตัวเป็นสีขาวอยู่บนผนังถ้ำ ผมของเขาเองก็มีสีขาวเพิ่มขึ้นมาเช่นเดียวกัน แต่นี่หาได้เกี่ยวข้องกับความหนาวเย็นไม่
เมื่อคืนเพื่อที่จะคุมตัวเหลยพั่วอวิ๋นเอาไว้ เขาใช้วิถีกระบี่ที่เรียนรู้มาจากโลกภายนอกเมื่อครั้งที่ยังเป็นหนุ่ม ผลลัพธ์ที่ออกมายอดเยี่ยม แต่เขาก็ต้องสูญเสียปราณกระบี่ไปเป็นจำนวนมาก อย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาอีกร้อยวันถึงจะฟื้นกลับคืน
ลูกศิษย์และผู้ดูแลของยอดเขาซั่งเต๋อสามสิบกว่าคนคุกเข่าอยู่ด้านหลังเขา รอคอยการลงโทษจากเขา
ในฐานะที่เป็นผู้ที่มีอำนาจอันดับที่สองของสำนักชิงซาน เขามีสิทธิ์ที่จะตัดสินอนาคตหรือความเป็นความตายของคนจำนวนมากได้ แต่เขาก็มิได้ทำเช่นนี้ หากแต่ยกมือขึ้นมาเพื่อบอกให้ทุกคนออกไป
การที่สามารถปล่อยตัวเหลยพั่วอวิ๋นออกมาจากคุกกระบี่ที่มีการคุ้มกันแน่นหนาได้ ย่อมต้องมิใช่คนธรรมดาแน่ ลูกศิษย์และผู้ดูแลเหล่านี้ไม่สามารถทำอะไรได้
ปัญหาอยู่ที่ว่าเหตุใดอีกฝ่ายถึงต้องปล่อยตัวเหลยพั่วอวิ๋นออกมา?
หยวนฉีจิงทอดตามองไปทางยอดเขาเทียนกวงที่อยู่นอกถ้ำ ในใจครุ่นคิดว่านี่เป็นการยืมดาบฆ่าคน หรือคิดจะหยั่งเชิงตนเองกันแน่?
“เรื่องในวันนั้น…ต้องตามสืบ อย่าหยุดล่ะ”
เขาใช้น้ำเสียงแหบแห้งค่อยๆ กล่าวออกมา
ผู้ดูแลและเหล่าลูกศิษย์ต่างออกไปจากถ้ำหมดแล้ว เหลือเพียงฉื่อเยี่ยน ศิษย์น้องที่เขาไว้วางใจมากที่สุดที่ยังอยู่ที่นี่
ฉือเยี่ยนกล่าว “ทางยอดเขาเหลี่ยงว่างมีข่าวคราวมา…แต่ว่ายากที่จะแน่ใจได้ ข้าเองก็มิค่อยเชื่อ”
“ในเมื่อมีข่าวคราว เช่นนั้นก็ควรสืบให้ลึกลงไป เพียงแต่ว่า…”
หยวนฉีจิงชะงักไปเล็กน้อย กล่าวว่า “งานชุมนุมเฉิงเจี้ยนใกล้เข้ามาแล้ว อย่าทำอะไรให้มันเอิกเกริกเกินไป”
เมื่อได้ยินคำว่างานชุมนุมเฉิงเจี้ยน ฉื่อเยี่ยนพลันคิดถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ กล่าวว่า “จิ๋งจิ่วผู้นั้น…มิจำเป็นต้องดูต่อไปจริงหรือขอรับ?”
ไม่ว่าจะเป็นใคร ขอเพียงได้รับความสนใจจากเจ้าล่าเยวี่ย คนผู้นั้นก็สมควรถูกจับตามองมากขึ้น
เมื่อเห็นศิษย์พี่มิกล่าวกระไร ฉื่อเยี่ยนจึงยิ้มเจื่อน พลางกล่าวว่า “หลายปีมานี้ ลูกศิษย์ที่ยินดีมายอดเขาซั่งเต๋อของพวกเรา นับวันจะน้อยลงทุกที”
งานชุมนุมเฉิงเจี้ยนคือเวทีที่ให้ยอดเขาทั้งเก้าของชิงซานได้คัดเลือกลูกศิษย์สืบทอด
แต่สำหรับลูกศิษย์ที่ยอดเยี่ยมและมีความสามารถแฝงอยู่เหล่านั้น นี่ก็เป็นโอกาสให้พวกเขาได้เลือกยอดเขาเช่นกัน?
หลายปีมานี้ ยอดเขาเทียนกวงซึ่งเป็นยอดเขาที่เจ้าสำนักพำนักอยู่ ย่อมต้องเป็นสถานที่ที่ลูกศิษย์คิดอยากจะไปมากที่สุด
ยอดเขาซั่งเต๋ออำนาจล้นฟ้า เพลงกระบี่ชั้นหนึ่ง หยวนฉีจิงคือศิษย์พี่ของเจ้าสำนัก แต่ลูกศิษย์ที่ลงชื่อมายังยอดเขาซั่งเต๋อในช่วงหลายปีมานี้มีจำนวนน้อยลงทุกที
ยอดเขาเหลี่ยงว่างสามารถคัดเลือกคนที่ีมีความสามารถจากลูกศิษย์ของยอดเขาอื่นๆ ได้ น้อยครั้งที่พวกเขาจะเลือกศิษย์สืบทอดล่วงหน้า ยอดเขาซื่อเยวี่ยก็เน้นไปทางศึกษาค้นคว้า ยอดเขาซีไหลจัดการเรื่องราวต่างๆ ในชิงซาน ลูกศิษย์ที่ลงชื่อขึ้นเขามีค่อนข้างน้อย แต่ตอนนี้จำนวนลูกศิษย์ที่ยินดีมาเป็นศิษย์สืบทอดที่ยอดเขาซั่งเต๋อกลับมีจำนวนน้อยกว่ายอดเขาปี้หูกับยอดเขาอวิ๋นสิงเสียอีก ยิ่งมิต้องพูดถึงยอดเขาชิงหรงเลย นี่เป็นเพราะเหตุใด? เพราะบรรยากาศบนยอดเขาซั่งเต๋อมันหนักอึ้งเกินไป เพราะว่าคุกกระบี่น่ากลัวเกินไป หรือเป็นเพราะลูกศิษย์ต่างพากันหวาดกลัวพวกเขา?
“เจ้าตัวเกียจคร้านนั่นหรือ?”
หยวนฉีจิงแค่นหัวเราะ พลางกล่าว “มีหรือที่เจ้าพวกที่อยู่บนยอดเขาเหลี่ยงว่างจะปล่อยมันไป?”
ฉื่อเยี่ยนมิเข้าใจคำว่าปล่อยที่ศิษย์พี่กล่าว ว่ามันหมายถึงอะไร
หยวนฉีจิงกล่าวว่า “เจ้ามิต้องไปคิดถึงเรื่องอื่น ไปดูก่อนว่ามีโอกาสจะชิงยอดเขาปี้หูมาได้หรือไม่”
……
……
เวลาค่อยๆ เดินไปอย่างแช่มช้าแต่มั่นคง ผ่านไปไม่นานก็มาถึงช่วงต้นเหมันต์
ว่ากันว่าเพื่อตอบรับคำขอของยอดเขาชิงหรง ท่านเจ้าสำนักเห็นด้วยที่จะเปิดช่องบนข่ายพลังชิงซานเพื่อให้ลมหนาวและหิมะจากโลกภายนอกโปรยปลิวเข้ามาในยอดเขาทั้งเก้า
เมื่อมองดูเกล็ดหิมะที่โบยบินเต็มท้องฟ้า จิ๋งจิ่วพลันเกิดความรู้สึกอีกอย่างหนึ่งขึ้นมา ตัวเองคล้ายจะลืมเรื่องอะไรบางอย่างไป
เขาเริ่มทำการคาดคะเน แต่กลับมิได้อะไร รู้สึกยิ่งแปลกขึ้นเรื่อยๆ
หลังออกจากหมู่บ้านเล็กๆ แห่งนั้นกลับมายังชิงซาน เขามีความรู้สึกหลายอย่างที่ก่อนหน้านี้มิเคยมีมาก่อน อย่างเช่นเบื่อหน่าย อย่างเช่นสนุกสนาน อย่างเช่นลืมเลือน….
เขาไม่มีทางลืมเลือน อย่างนั้นก็อธิบายได้เพียงว่า ต้นเหตุของความรู้สึกนี้ก็คือภายใต้จิตสำนึกของตัวเขากำลังหลบหนีอะไรบางอย่างอยู่
เพราะเหตุใด? เพราะตัวเขาเคยชินกับชีวิตเกียจคร้านเช่นนี้งั้นหรือ?
ในวันแรกที่หิมะตกลงมา เจ้าล่าเยวี่ยได้มาอีกครั้ง
นางทำสมาธิอยู่ในถ้ำสิบกว่าวัน วิเคราะห์สิ่งที่ได้รับมาจากบนยอดเขากระบี่จนหมด อาการบาดเจ็บในจุดเล็กๆ ล้วนแต่หายเป็นปลิดทิ้ง
หิมะสีขาวตกลงมาบนหน้าผา ตกลงมาบนกำแพงที่พัก ตกลงมาบนร่างกายนาง
ภายในโลกสีขาว คิ้วสีดำเข้มคู่นั้นของนางถูกขับจนดูเด่นชัดอย่างชัดเจน คล้ายกับดวงตาของนาง
เมื่อเห็นลำแสงกระบี่สายนั้นตกลงมายังด้านหน้าถ้ำของจิ๋งจิ่ว ริมฝั่งตรงข้ามของธารสี่เจี้ยนพลันมีเสียงอุทานเสียใจดังขึ้นมา
“ศิษย์พี่มาอีกแล้ว!”
“ทำไมนางถึงมาอีกแล้ว?”
“ครั้งที่เจ็ด! นี่มันครั้งที่เจ็ดแล้วนะ!”
เหล่าลูกศิษย์ต่างชกอกกระทืบเท้าหรือไม่ก็เอามือมาทาบที่หน้าอก ด้วยผิดหวังและเสียใจกับการตัดสินใจของผู้ที่เป็นต้นแบบของพวกเขา
“ข้าเกิดในเดือนล่าเยวี่ย จึงได้ชื่อนี้มา”
เจ้าล่าเยวี่ยมองดูสร้อยข้อมือของตน กล่าวว่า “ในพายุหิมะ”
จิ๋งจิ่วครุ่นคิดนี่คือการคุยเล่นอย่างนั้นหรือ? เขาเคยคุยเล่นกับหลิ่วสือซุ่ย กับเจ้าล่าเยวี่ยก็เคยคุยหลายครั้ง แม้นจะยังไม่ชินว่าเหตุใดผู้คนถึงเอาเวลาว่างมาใช้คุยเล่น แต่อย่างน้อยเขาก็รับรู้ถึงการมีอยู่ของเรื่องแบบนี้ อีกทั้งยังรู้ว่าการคุยเล่นนั้นจำเป็นต้องมีประเด็นพูดคุยอะไรบางอย่างในการเริ่มสนทนา
เขาไม่ถนัดในการหาประเด็นมาพูดคุย อย่างน้อยเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเจ้าล่าเยวี่ย เขาก็รู้อยู่เพียงเรื่องเดียว
“ตอนงานชุมนุมเฉิงเจี้ยน เจ้าจะเลือกยอดเขาไหน?”
ยอดเขาทั้งเก้าจะเลือกลูกศิษย์ที่ตัวเองชอบพอในงานชุมนุมเฉิงเจี้ยน แต่ถ้าลูกศิษย์ผู้นั้นเป็นที่ต้องการอย่างมาก เช่นนั้นสถานการณ์ก็จะเปลี่ยนไป
สาวน้อยอัจฉริยะอย่างเจ้าล่าเยวี่ยย่อมต้องมีสิทธิ์เลือกมากกว่า
นางจะเลือกยอดเขาในภายในงานชุมนุมเฉิงเจี้ยน นี่เป็นเรื่องที่สำนักชิงซาน ไปจนถึงโลกแห่งการบำเพ็ญพรตที่อยู่ภายนอกต่างใคร่รู้
แต่ด้วยเหตุผลต่างๆ นาๆ จึงไม่เคยมีใครถามคำถามนี้ต่อหน้านางมาก่อน
จนกระทั่งจิ๋งจิ่วรู้สึกคล้ายกำลังจะเริ่มคุยเล่นขึ้นมา
เจ้าล่าเยวี่ยมิได้ตอบคำถาม หากแต่มองดูยอดเขาที่อยู่ท่ามกลางหิมะเหล่านั้น นิ่งเงียบมิกล่าวกระไร
ในสายตาของศิษย์ร่วมสำนักและอาจารย์ นางค่อนข้างหยิ่งยโส โดดเดี่ยว พูดน้อยและเย็นชา แต่ในสายตาของจิ๋งจิ่ว นางเป็นเหมือนสาวน้อยที่ดื้อรั้น ดูแล้วรู้สึกน่าสงสาร
จิ๋งจิ่วยกมือขึ้นมาคล้ายจะลูบผมสั้นๆ ของนาง แต่กลับวางมือลงไป กล่าวว่า “อย่าคิดมาก”
เจ้าล่าเยวี่ยดึงสายตากลับมา ก่อนจะมองดูเขาพลางกล่าว “ข้าจะไปยอดเขากระบี่เพื่อเตรียมตัวครั้งสุดท้าย”
ที่บอกว่าเตรียมตัว ย่อมหมายถึงงานชุมนุมเฉิงเจี้ยน
นางฝ่าหิมะมาพูดประโยคนี้กับเขา เพียงเพื่อจะบอกลา
การบอกลามักเป็นเรื่องที่เศร้าเสียใจ แต่มันไม่เหมาะจะใช้กับจิ๋งจิ่ว
“ไว้พบกัน”
เขากล่าวกับนาง
พบหนทางแห่งการบำเพ็ญเพียรอันเนิ่นนาน พบกันมีมาก พบกันใหม่ก็มีอยู่ สิ่งที่มีมากที่สุดคือการจากลา จากนั้นก็มิได้พบกันอีก
เขาพบเห็นสุขทุกข์พบจากมามากมาย ดังนั้นเวลานี้เขาจึงแสดงออกได้เฉยชาอย่างมาก
เมื่ออยู่ต่อหน้าเวลา นอกจากวางเฉยแล้ว ยังจะทำสิ่งใดได้อีก?
……
……
เจ้าล่าเยวี่ยจากธารสี่เจี้ยนไป มุ่งหน้าไปทางยอดเขากระบี่
นางมิได้ขี่กระบี่ มิได้เป็นเพราะกระบี่สีเขียวเล่มเล็กนั้นได้รับความเสียหาย หากแต่เป็นเพราะเหตุผลอื่น
ที่ปลายสุดของธารสี่เจี๋ยน นางถูกกู้หานขวางเอาไว้
……………………………