มรรคาสู่สวรรค์ – ตอนที่ 37 เจ้าหนุ่ม เจ้าคิดจะทำอันใด

ศิษย์ผู้นี้นามหลินอิงเหลียง เป็นศิษย์ร่วมชั้นเรียนของหลิ่วสือซุ่ย ขณะเดียวกันก็ติดตามกู้หานเพื่อร่ำเรียนกระบี่ เป็นลูกศิษย์ที่ยอดเขาเหลี่ยงว่างให้ความสำคัญเช่นเดียวกัน

มิรู้ว่าการที่เขาก้าวออกมาท้าทายหลิ่วสือซุ่ยในเวลานี้ เป็นแผนการของยอดเขาเหลี่ยงว่าง หรือเป็นตัวเขาเองที่อดรนทนมิได้ที่หลิ่วสือซุ่ยเป็นที่จับตามองมากเกินไป

“ศิษย์พี่หลิน เชิญ”

หลิ่วสือซุ่ยยกมือคารวะ กระบี่บินลอยค้างอยู่ตรงหน้ามือทั้งสองข้าง นี่คือการคำนับกระบี่

การหลินอิงเหลียงเป็นฝ่ายเข้ามาท้าทายเช่นนี้ เขาเองก็รู้สึกแปลกใจ แต่แค่พริบตาก็ปรับอารมณ์ให้กลับมาสงบนิ่ง หว่างคิ้วเองก็หาได้มีอารมณ์แตกตื่นลนลานไม่

คล้ายดั่งวิจารณ์ที่จิ๋งจิ่วมีต่อเขาในตอนแรก ชายหนุ่มผู้นี้เฉลียวฉลาด จิตใจดี มีความเพียรและความมุ่งมั่นที่ดูไม่สมกับอายุ

น้อยมากที่ชายหนุ่มเช่นนี้จะเปลี่ยนแปลงเพราะได้รับผลกระทบจากโลกภายนอก สิ่งที่เรียกว่ายืดหยัดรักษาใจเดิมเอาไว้อย่างเหนียวแน่นก็คือเช่นนี้

หลิ่วสือซุ่ยและหลินอิงเหลียงยืนห่างกันสิบกว่าจ้าง

สายน้ำไหลผ่านก้อนหิน ส่งเสียงซ่าๆ แผ่วเบา

ระยะสิบกว่าจ้าง เป็นขอบเขตการโจมตีที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดของสภาวะขั้นตั้งมั่น

สาวน้อยจากสำนักเสวียนหลิงผู้นั้นยืนอยู่ริมผา ดวงตาเบิ่งโตมองดูภาพเบื้องล่าง รู้สึกใคร่รู้ใครกันแน่จะเป็นผู้ชนะ?

อีกไม่นานคำตอบก็ออกมาแล้ว การเปรียบกระบี่ของสำนักชิงซานล้วนแต่เริ่มขึ้นอย่างฉับพลัน และจบลงอย่างรวดเร็ว

บนผิวน้ำมีเส้นสีขาวสองเส้น

ลำแสงกระบี่สองสายส่องสว่างหน้าผา จากนั้นพลันหายไป

กระบี่บินของหลิ่วสือซุ่ยหยุดอยู่ตรงหน้าหลินอิงเหลียง ห่างจากหว่างคิ้วเขาสามนิ้ว

กระบี่ของหลินอิงเหลียงเองก็หยุดอยู่ตรงหน้าหลิ่วสือซุ่ย ห่างประมาณหนึ่งฉื่อ

กระบี่บินสองเล่มดูคล้ายหยุดพร้อมกัน แต่ในสายตาของยอดฝีมือแห่งวิถีกระบี่ที่อยู่บนหน้าผาเหล่านั้น ความจริงแล้วกระบี่ทั้งสองเล่มแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด

กระบี่ของหลิ่วสือซุ่ยรวดเร็วกว่าของอีกฝ่ายมากกว่าเสี้ยววินาที

ในเวลาปกติ เวลาเสี้ยววินาทีนั้นเป็นเวลาที่ไม่ถึงชั่วพริบตา ชายังมิทันเย็น กลิ่นหอมยังมิทันจางหาย

แต่ในการเปรียบกระบี่ เวลาเสี้ยววินาทีนั้นเพียงพอจะใช้ตัดสินแพ้ชนะ หรือแม้กระทั่งความเป็นความตาย

ยิ่งไปกว่านั้นกระบี่ของหลิ่วสือซุ่ยอยู่ใกล้กว่ากระบี่ของหลินอิงเหลียง

……

……

“จบแล้วหรือ?”

สาวน้อยจากสำนักเสวียนหลิงมองดูภาพบนลำธาร ดวงตาเบิกโพลงพลางกล่าว

นางมักจะเห็นเหล่าศิษย์พี่ในสำนักประลองกันอยู่ในสำนักบ่อยครั้ง หากทั้งสองฝ่ายมีสภาวะทัดเทียมกัน ก็มักต้องสู้กันอยู่นาน บางคราวอาจสู้กันแต่เช้าตรู่จนถึงพระอาทิตย์ตกดินก็ยังมิอาจตัดสินแพ้ชนะได้

ใครจะไปคิดบ้างว่าการประลองของศิษย์ร่วมสำนักของชิงซานจะเรียบง่ายเพียงนี้ จะรวดเร็วเพียงนี้ แต่เหนือสิ่งอื่นใด…มันก็ดูน่าเบื่อจริงๆ นั่นแหละ

หญิงสาวที่แต่งงานแล้วผู้นั้นกล่าวว่า “แต่ไรมา สำนักชิงซานมิได้ให้ความสำคัญกับท่าทางความสวยงามหรืออะไรอื่น หากสนใจแต่เพียงพลังและความเร็วของกระบี่ เคล็ดกระบี่ในยอดเขาทั้งเก้าเหล่านั้นล้วนเป็นแค่การใช้แนวทางแห่งธรรมที่แตกต่างกันมาบัญญัติในสองเรื่องนี้ เมื่อใช้ในการต่อสู้ เพียงหนึ่งกระบี่ก็สามารถปลิดชีพได้ อันตรายยิ่งนัก ดังนั้นที่ผ่านมาจึงมีน้อยคนนักที่กล้ามาวุ่นวายกับพวกเขา”

สาวน้อยผู้นั้นกล่าว “เช่นนั้นมันก็เกิดการพลั้งพลาดทำให้บาดเจ็บได้ง่ายมิใช่หรือ? อย่างนั้นปกติพวกเขาฝึกกระบี่กันอย่างไร?”

หญิงสาวที่แต่งงานแล้วกล่าว “มิผิด ดังนั้นศิษย์ในสำนักชิงซานจึงมิค่อยประลองกันเอง หากมีการประลองกันก็จะมีอาจารย์คอยดูแล อีกทั้งนอกเหนือจากงานชุมนุมเฉิงเจี้ยนและงานชุมนุมซื่อเจี้ยน[1] ก็ห้ามมิให้เล็งกระบี่ใส่หัน จะทำได้ก็แค่เพียงเล็งเป้าหมายไปที่ใดที่หนึ่งทางด้านขวาของร่างกายอีกฝ่ายเท่านั้น”

สาวน้อยกล่าวถามอย่างไม่เข้าใจ “ไม่อาจฝึกกระบี่ด้วยการต่อสู้จริงได้ แล้วฝีมือจะรุดหน้าได้อย่างไร?”

หญิงสาวที่แต่งงานแล้วสีหน้าเยือกเย็นเล็กน้อย กล่าวว่า “ด้วยเหตุนี้สำนักชิงซานถึงได้มีสถานที่อย่างยอดเขาเหลี่ยงว่าง”

สาวน้อยกล่าว “อาา ข้ารู้จักยอดเขาเหลี่ยงว่าง ศิษย์พี่บอกว่าที่นั่นมีแต่คนแปลกประหลาดที่เยือกเย็นไร้ความรู้สึก…”

หญิงสาวที่แต่งงานแล้วยิ้มพลางเปลี่ยนประเด็น กล่าวว่า “เจ้าอย่าได้คิดว่าวิถีกระบี่มันน่าเบื่อ หากเปลี่ยนเป็นเจ้าไปยืนอยู่ในลำธาร เจ้าจะสามารถหลบกระบี่ของหลิ่วสือซุ่ยได้หรือไม่?”

ครั้นคิดถึงกระบี่บินที่ไร้ซึ่งซุ่มเสียงนั้น สาวน้อยพลันส่งเสียงเหอะออกมาในลำคอ กล่าวว่า “ต่อให้หลบมิได้ แต่ข้าก็สามารถวางค่ายกลกระดิ่งวิญญาณล่วงหน้าได้ กระบี่ของเขาจะแทงเข้ามาได้อย่างไร?”

หญิงสาวที่แต่งงานแล้วกล่าว “หากพวกเจ้ากำลังสนทนาเล่นกันอยู่ หรือไม่ก็อยู่ในโรงน้ำชาที่มีโต๊ะเพียงไม่กี่ตัวคั่นกลางเอาไว้ ทันใดนั้นเขาพลันโจมตี หรือเจ้าคิดว่าเจ้ายังจะตั้งค่ายกลได้ทัน?”

สาวน้อยนึกภาพตามที่อาจารย์อากล่าว ไม่รู้เหตุใด จู่ๆ นางพลันรู้สึกเย็นยะเยือก ก่อนจะกัดฟันพลางกล่าว “เช่นนั้นข้าก็จะอยู่ห่างเขาออกไป กระบี่บินของเจ้านั้นอย่างมากก็สามารถโจมตีได้สิบกว่าจ้าง…ข้าจะตั้งค่ายกลกระดิ่งวิญญาณเอาไว้นอกระยะสิบจ้าง ไม่สิ นอกระยะยี่สิบจ้าง กว่ากระบี่บินของเขาจะโจมตีเข้ามา ข้าก็หยิบยืมพลังวิญญาณในธรรมชาติมาได้มากพอ จากนั้นก็สังหารเขาซะ!”

หญิงสาวที่แต่งงานแล้วยิ้มๆ มิกล่าวกระไรอีก แต่ภายในใจกลับครุ่นคิด หากเจ้าเผชิญหน้ากับศิษย์ชิงซานที่บรรลุสภาวะขั้นสมความนึกคิด สามารถใช้กระบี่บินสังหารคนได้ที่ระยะร้อยจ้าง แล้วแบบนั้นเจ้าจะรับมืออย่างไร? หรือมากไปกว่านั้น เหล่ายอดคนที่บรรลุสภาวะขั้นแหวกทะเลของสำนักชิงซานเหล่านั้นสามารถใช้กระบี่บินสังหารคนที่อยู่ห่างออกไปหลายสิบลี้ เจ้าจะป้องกันได้อย่างไร แล้วหากอีกฝ่ายบรรลุขั้นทะลวงสวรรค์เล่า?

หรือวันๆ เจ้าจะเอาแต่ซ่อนตัวอยู่ใต้ดิน หรือหลบอยู่ในกระดองเต่าวิญญาณ หรือใช้ชีวิตอยู่ในข่ายพลังที่มองไม่เห็นแสงเดือนแสงตะวัน?

เมื่อครุ่นคิดถึงชีวิตอันน่าเศร้าของผู้หลบหนีกระบี่ที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลกแห่งการบำเพ็ญพรตทั้งสาม นางพลันมองไปยังทะเลหมอกที่หนาทึบซึ่งเป็นที่อยู่ของเจ้าสำนักชิงซาน ภายในใจเกิดความรู้สึกหวาดกลัว

คำพูดสนทนาเหมือนอย่างที่อาจารย์อาคุยกับศิษย์หลานของสำนักเสวียนหลิง กำลังเกิดขึ้นในหลายๆ ที่

แม้นเหล่าลูกศิษย์ที่เข้าร่วมงานชุมนุมเฉิงเจี้ยนจะยังมีสภาวะต่ำต้อย แต่การได้มาเห็นการแสดงวิถีกระบี่ของสำนักชิงซานกับตาตัวเอง มันย่อมต้องเป็นประโยชน์ต่อการบำเพ็ญเพียรของเหล่าลูกศิษย์ในสำนักตัวเองอย่างมากแน่นอน แขกตัวแทนจากสำนักต่างๆ ที่มาชมงานชุมนุมมีหรือจะปล่อยให้โอกาสแบบนี้หลุดรอดไป พวกเขาพากันอธิบายการประลองกระบี่ที่ดูคล้ายไม่มีอะไรก่อนหน้านี้ด้วยเสียงเบาๆ

……

……

หลิ่วสือซุ่ยยืนอยู่บนก้อนหินในลำธาร นิ่งเงียบไม่พูดจา

เมื่อถูกห้อมล้อมด้วยสายตาและเสียงโห่ร้องจำนวนนับไม่ถ้วน เขาก็ยากที่จะสงบสติอารมณ์ในเป็นปกติได้ ทันใดนั้นเขาพลันมองไปยังมุมหนึ่ง

จิ๋งจิ่วนั่งอยู่บนก้อนหิน มองมาที่เขาพร้อมรอยยิ้ม

หลิ่วสือซุ่ยมิรู้คิดถึงสิ่งใด เบือนหน้าหนีไป รู้สึกลนลาน

แม้นหลินอิงเหลียงจะแพ้การประลองกระบี่ครั้งนี้ แต่การแสดงออกของเขาก็ยอดเยี่ยมอย่างมาก กระบี่บินมั่นคงและเฉียบคม

อาจารย์ของยอดเขาซื่อเยวี่ยผู้หนึ่งส่งคำเชื้อเชิญ เขาเลือกที่จะรับคำเชิญ ในระหว่างนี้ ยอดเขาเหลี่ยงว่างกลับนิ่งเงียบ ไม่รู้ว่านี่หมายความว่ากระไร

หลังจากนี้ก็จะเป็นการกำหนดทิศทางอนาคตของหลิ่วสือซุ่ย

บนหน้าผาพลันเงียบขึ้นมา ผ่านไปครู่ใหญ่ก็ยังไม่มีใครพูดอะไร

สาวน้อยแห่งสำนักเสวียนหลิงรู้สึกแปลกใจ จึงกล่าวว่า “เขาเป็นเมล็ดพันธุ์แห่งเต๋าแต่กำเนิดมิใช่หรือ? เหตุใดจึงไม่มีใครต้องการ? แม้นเขาจะหน้าดำไปหน่อย หน้าตาไม่หล่อเหลา แต่เขาก็ชนะนี่นา!”

อาจารย์อาของนางยิ้มพลางกล่าว “เด็กโง่ ไม่มีคนต้องการที่ไหนเล่า ที่เป็นแบบนี้เพราะคนต้องการเขาเยอะมากต่างหาก”

สุดท้ายหลิ่วสือซุ่ยจะต้องไปยอดเขาเหลี่ยงว่างแน่นอน แต่เขาจะไปยังยอดเขาเหลี่ยงว่างในฐานะอะไรก็เป็นเรื่องที่สำคัญอย่างมากเช่นกัน

เพื่อที่จะได้ตัวเมล็ดพันธุ์แห่งเต๋าแต่กำเนิดผู้นี้ไปเป็นผู้สืบทอดกระบี่ มิรู้ว่ายอดเขาทั้งเก้าแอบไปพูดคุยกันก่อนล่วงหน้ามาแล้วกี่ครั้ง ต่างคนต่างใช้วิธีของตัวเอง

เมื่อหนึ่งปีก่อนยอดเขาชิงหรงได้แนะนำให้เรียกหลิ่วสือซุ่ยเข้ามายังยอดเขาทั้งเก้า แม้นจะไม่สำเร็จ แต่ก็ถือเป็นการแสดงความปรารถนาดี

แต่ยอดเขาซั่งเต๋อกลับมิยอมใช้วิธีตามปกติ หากแต่เตรียมจะสืบเรื่องเขา…คิดจะใช้วิธีนี้มาเตรียมวางแผนล่วงหน้า

ทว่าก่อนที่หลิ่วสือซุ่ยจะเข้ามาสำนัก เขาได้เรียนรู้เคล็ดการหายใจประตูหยกแล้ว

นั่นคือเคล็ดวิชาที่ท่านเจ้าสำนักเป็นคนถ่ายทอดให้

เป็นไปดั่งคาด ในส่วนลึกของเมฆหมอกที่ก่อนหน้านี้เงียบสงัดมาโดยตลอดพลันมีเสียงที่อ่อนโยนดังขึ้นมา

“หลิ่วสือซุ่ย เจ้ายินดีติดตามผู้อาวุโสไป๋เรียนกระบี่หรือไม่?”

นี่คือเสียงของเจ้าสำนักชิงซานงั้นหรือ?

ลูกศิษย์ธรรมดาหลายคนและแขกที่มาร่วมชมต่างคิดในใจ

ท่านเจ้าสำนักรับจัวหรูซุ่ยไว้เป็นศิษย์ก้นกุฏิ นับแต่นั้นมิรับลูกศิษย์อีก

ไป๋หรูจิ้งเป็นผู้อาวุโสแห่งยอดเขาเทียนกวง บรรลุสภาวะแหวกทะเลขั้นสูงสุด การที่สามารถติดตามร่ำเรียนกระบี่กับยอดคนเช่นนี้ได้ ย่อมต้องเป็นโอกาสอันดีอย่างยิ่ง

เมื่อหนึ่งปีก่อนแต่ละยอดเขาก็คาดเดาถึงเรื่องนี้ได้แล้ว แต่ในตอนที่ได้ยินคำพูดประโยคนี้ พวกเขาถึงได้มั่นใจว่าหลิ่วสือซุ่ยนั้นเป็นหมากที่เจ้าสำนักวางเอาไว้ล่วงหน้าดั่งที่คาดไว้จริง

มิรู้เป็นเพราะผิดหวังหรือเป็นเพราะเหตุผลอันใด ทุกคนยังคงนิ่งเงียบ

หลิ่วสือซุ่ยมองไปทางหน้าผา

กู้หานพยักหน้าเล็กน้อย

หลิ่วสือซุ่ยกล่าวว่า “ศิษย์ยินดีขอรับ”

พูดจบประโยคนี้ เขาพลันขี่กระบี่บินขึ้นไปในหมู่เมฆ มีลูกศิษย์สายตรงของยอดเขาเทียนกวงเข้ามารับเขาเข้าไป

“ให้เขาติดตามอาจารย์อาไป๋เรียนกระบี่หนึ่งปี ปูพื้นฐานให้ดี ก็สามารถให้เขาออกไปหาประสบการณ์ได้แล้ว”

กั้วหนานซานกล่าว

กู้หานกล่าว “สือซุ่ยมิทำให้ศิษย์พี่ผิดหวังแน่นอน”

ส่วนเมื่อถึงตอนนั้นผู้อาวุโสไป๋จะอนุญาตให้หลิ่วสือซุ่ยไปยอดเขาเหลี่ยงว่างหรือไม่ สำหรับพวกเขาแล้ว นี่ไม่ใช่เรื่องที่จำเป็นต้องคิดเลย

เหล่าศิษย์หนุ่มสาวของสำนักชิงซาน มีผู้ใดไม่อยากมายอดเขาเหลี่ยงว่างบ้าง? แล้วก็ไม่มีอาจารย์มาห้ามด้วย เพราะนี่คือกฎ

……

……

จำนวนศิษย์ที่ยืนรอถูกเลือกตัวอยู่ข้างลำธารมีจำนวนน้อยลงเรื่อยๆ

ยอดเขาอวิ๋นสิง ยอดเขาซื่อเยวี่ย ยอดเขาชิงหรง ยอดเขาซีไหลล้วนแต่เลือกลูกศิษย์ที่ตัวเองหมายตาเอาไว้แต่แรกแล้ว กระทั่งยอดเขาซั่งเต๋อก็ยังเลือกลูกศิษย์ที่มีความสามารถไม่เลวไปสองคน มีเพียงยอดเขาปี้หูที่ก่อนหน้านี้เป็นที่นิยมที่ยังคงอ้างว้าง แย่งชิงกับยอดเขาอื่นไปหลายครั้งก็ล้วนแต่พ่ายแพ้ ไม่มีศิษย์คนไหนเลือก มิว่าผู้ใดต่างก็รู้ว่าเป็นเพราะเกี่ยวข้องกันเรื่องนั้น มีลูกศิษย์สามคนที่แสดงฝีมือได้ธรรมดาเกินไป จึงไม่มียอดเขาไหนเลือกไป พวกเขาจึงได้แต่รอเข้าร่วมงานชุมนุมเฉิงเจี้ยนในครั้งหน้า หรือไม่ก็ยอมแพ้ แล้วเลือกไปเป็นผู้ดูแลอยู่ยอดเขาใดยอดเขาหนึ่ง

จิ๋งจิ่วสังเกตเห็นหลิ่วสือซุ่ยเหลือบมองดูกู้หานก่อนที่รับปากเป็นผู้สืบทอดกระบี่

ภาพนี้ทำให้เขารู้สึกว่า…น่าสนใจ

“เกิดอะไรขึ้นระหว่างเจ้ากับเขากันแน่?”

เจ้าล่าเยวี่ยถาม

จิ๋งจิ่วกล่าว “ข้ามิรู้ว่าเจ้าจะสนใจเรื่องเหล่านี้ด้วย”

เจ้าล่าเยวี่ยกล่าว “มนุษย์และผู้พิทักษ์ล้วนเหมือนกัน ต่างก็มีความอยากรู้อยากเห็น”

จิ๋งจิ่วกล่าว “ข้าเองอยากรู้เช่นเดียวกันว่าเจ้าเตรียมจะไปยอดเขาไหนกันแน่ ชิงหรงหรือซื่อเยวี่ย?”

เจ้าล่าเยวี่ยกล่าว “เจ้าล่ะ? ยังมิออกไปอีก?”

จิ๋งจิ่วยิ้มเล็กน้อยกล่าว “เจ้ารู้ว่าข้าเตรียมออกไปสืบทอดกระบี่?”

เจ้าล่าเยวี่ยกล่าว “คนเกียจคร้านเยี่ยงเจ้า จะปล่อยให้เวลาเสียเปล่าได้อย่างไร”

ปกติแล้ว หากบอกว่าคนๆ หนึ่งเกียจคร้าน ก็มักจะบอกว่าเขาชื่นชอบเสียเวลา

นางบอกจิ๋งจิ่วเกียจคร้าน แต่กลับคิดว่านั่นเป็นเพราะเขาไม่อยากเสียเวลา

นี่เป็นการตีความที่น่าสนใจจริงๆ

“ข้าเองก็มิชอบถูกคนจ้องมอง” เจ้าล่าเยวี่ยกล่าว

เมื่อวันที่หิมะตกครั้งแรกปีที่แล้ว พวกเขาเคยสนทนาถึงเรื่องนี้

“ก็เหมือนที่เจ้ากล่าวมา ไม่มีทางที่จะมีก้อนเมฆบดบังพระอาทิตย์ไปทุกวันได้ พระอาทิตย์อยู่ตรงนั้น ผู้ใดบ้างจะไม่มอง?”

นางมองใบหน้าด้านข้างของจิ๋งจิ่ว กล่าวต่อว่า “ดังนั้นเวลาที่ควรก้าวออกมา ยังไงก็ต้องก้าวออกมา”

จิ๋งจิ่วกล่าว “เจ้ากล่าวถูกต้อง แต่ถ้ามิอยากถูกคนจับจ้อง ความจริงแล้วยังมีอีกวิธี”

เจ้าล่าเยวี่ยถาม “ทำอย่างไร?”

“กลายเป็นพระอาทิตย์ที่แท้จริง”

จิ๋งจิ่วกล่าว “ลำแสงเจิดจ้า เช่นนี้แล้ว ก็จะมีน้อยคนที่กล้าจ้องมองเราตรงๆ”

ครั้นกล่าวจบ เขาก็ยันกายลุกขึ้นแล้วเดินลงลำธารไป

ลูกศิษย์ที่อยู่ริมลำธารมิรู้ว่าเขากำลังจะทำอะไร ต่างพากันแตกตื่นเล็กน้อย

ผู้อาวุโสแห่งยอดเขาซื่อเยวี่ยที่เป็นผู้ดำเนินงานงานชุมนุมเฉิงเจี้ยนกล่าวถามอย่างไม่เข้าใจ “เจ้าหนุ่ม เจ้าคิดจะทำอะไร?”

จิ๋งจิ่วกล่าวอย่างมิเข้าใจ “สืบทอดกระบี่ไง”

ผู้อาวุโสแห่งยอดเขาซื่อเยวี่ยพลิกเปิดสมุดรายชื่อไปหน้าสุดท้าย ก่อนจะพบชื่อเขาจริงๆ

ริมฝั่งธารมีเสียงพูดคุยดังอื้ออึง

เซวียหย่งเกอลุกขึ้นยืน ชี้นิ้วไปทางจิ๋งจิ่ว อดกลั้นอยู่ครู่ใหญ่ สุดท้ายก็มิได้กล่าวคำพูดประโยคนั้นออกมา

ศิษย์น้องอวี้ซานยกมือปิดปาก

ชายหนุ่มแซ่หยวนจากจังหวัดเล่อหลางสีหน้าเลอะเลือน ในใจครุ่นคิดศิษย์พี่จิ๋งเอาอีกแล้วหรือ?

………………………………………………………………

[1] งานชุมนุมซื่อเจี้ยน หมายถึง งานชุมนุมทดสอบกระบี่

มรรคาสู่สวรรค์

มรรคาสู่สวรรค์

ข้าคือกระบี่ พันลี้ปลิดชีพคน… สิบก้าวไม่ยอมเดิน พันลี้ปลิดชีพคน… สิบก้าวไม่อยากเดิน พันลี้ปลิดชีพคน… สิบก้าว? ไม่เดิน!!! ——————- ผู้เป็นนายคือบุรุษหนุ่มลึกลับผู้มาพร้อมกับใบหน้าที่หล่อเหลาและใบหูที่กางดูน่ารัก ผู้เป็นบ่าวคือเด็กชายใสซื่อผู้เป็นเมล็ดพันธุ์แห่งเต๋าแต่กำเนิด หนึ่งนายหนึ่งบ่าวเดินทางมายังสำนักชิงซานซึ่งเป็นสำนักบำเพ็ญพรตอันดับหนึ่งแห่งแผ่นดิน เพื่อเข้าสู่เส้นทางแห่งการบำเพ็ญเพียร ทว่าในระหว่างที่อยู่ในสำนัก ผู้เป็นนายกลับเอาแต่นอน ในสายตาคนอื่นเขาคือคนที่เกียจคร้านอย่างไม่มีใครเทียบได้ ส่วนผู้เป็นบ่าวกลับขยันฝึกฝนจนบรรลุสภาวะขั้นต้นในเวลาอันสั้น แต่สิ่งที่ไม่มีใครรู้คือ สาเหตุที่ผู้เป็นบ่าวสามารถบรรลุสภาวะได้อย่างรวดเร็ว เป็นเพราะเคล็ดการหายใจที่ผู้เป็นนายเคยสั่งสอนให้… บุรุษหนุ่มรูปงามผู้นี้คือใครกันแน่ ไฉนจึงเอาแต่นอนเกียจคร้านทั้งวันเช่นนี้?!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset