มรรคาสู่สวรรค์ – ตอนที่ 4 เก้าวัน

ผ่านไปสามเค่อ บุรุษหนุ่มลืมตาขึ้นอีกครั้ง เขาหยิบอาภรณ์ที่แห้งสนิทดีแล้วจากบนกิ่งไม้มาสวมใส่ จากนั้นทอดตาไปอีกฟากมองดูยอดเขายอดหนึ่งที่หายลับไปในก้อนเมฆอีกครา ก่อนจะหมุนตัวเดินไปทางด้านล่างของแม่น้ำ

หากเทียบกับตอนที่เดินขึ้นมาจากทะเลสาบ ฝีเท้าของเขามีความมั่นคงขึ้นมาก คล้ายเรียนรู้ที่จะเดินเป็นแล้ว หรือไม่ก็คุ้นชินกับร่างกายนี้

ริมฝั่งแม่น้ำมีหมอก โชคดีไม่มีหินขรุขระ เดินเหินจึงมิลำบาก ใช้เวลาไม่นานนัก เขาก็เดินเลียบแม่น้ำออกจากเขาลูกนี้มายังหน้าหมู่บ้านแห่งหนึ่ง

ชาวนาที่กำลังพรวนดินอยู่ในนา ชายแก่ที่กำลังขับเกวียนลากฟาง หญิงสาวที่กำลังนำข้าวไปส่งให้แก่สามี เด็กเล็กที่กำลังเล่นกันอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่หน้าหมู่บ้าน ทุกคนต่างพากันหยุดเคลื่อนไหว ยืนตะลึงลานอยู่กับที่

บุรุษหนุ่มชุดขาวเดินเข้าไปในหมู่บ้าน

จอบในมือชาวนาตกลงบนพื้น เกือบจะทับถูกเท้าของตัวเอง

กล้องยาสูบในปากของชายแก่ร่วงตกลงมา ลาที่กำลังลากเกวียนถูกลวกจนส่งเสียงร้อง

หญิงสาวกอดหม้อข้าวไว้แน่น แต่ปากกลับอ้ากว้างเสียกว่าปากหม้อ

เหล่าเด็กๆ พลันแยกย้าย ต่างคนต่างวิ่งพลางส่งเสียงตะโกนไปทั่วหมู่บ้าน ในนั้นมีเด็กเล็กคนหนึ่งร่ำไห้ขึ้นมา

บุรุษหนุ่มชุดขาวหยุดฝีเท้า ไม่เข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้น

เสียงฝีเท้าจำนวนมากดังอึกทึกขึ้นมา เหล่าชาวบ้านในหมู่บ้านมารวมตัวที่ปากทางเข้า สีหน้าดูเคารพยำเกรงแลตื่นเต้น

ภายใต้การนำของผู้อาวุโสคนหนึ่ง เหล่าชาวบ้านคุกเข่าลงไปกับพื้นอย่างทุลักทุเล ก่อนจะส่งเสียงตะโกนไม่พร้อมเพรียงขึ้นมา “คารวะท่านอาจารย์เซียน”

สีหน้าบุรุษหนุ่มชุดขาวมิแปรเปลี่ยน เมื่อกาลก่อนบางครั้งคราเขามาเดินเหินอยู่ในโลกปุถุชน ก็มักพบพานภาพเหตุการณ์เช่นนี้อยู่บ่อยครั้ง

ทว่าเขาก็พบความผิดปกติอย่างรวดเร็ว ไฉนชาวบ้านธรรมดาเหล่านี้จึงรู้ถึงสถานะที่แท้จริงของตนได้?

คำถามนี้ไม่มีคำตอบ เนื่องจากเขามิได้ถาม เหล่าชาวบ้านย่อมไม่มีทางตอบ

เหล่าชาวบ้านจ้องมองเขาอย่างกระตือรือร้น สีหน้าดูหวาดกลัวเล็กน้อย คล้ายเวลาที่มองดูแผ่นป้ายที่แขวนอยู่หน้าประตูศาลาว่าการในอำเภอ

แม้นถูกดวงตาหลายสิบคู่จ้องมองเช่นนี้ บุรุษหนุ่มกลับมิลนลาน หลังครุ่นคิดเพียงครู่จึงกล่าวว่า “ทุกคนเป็นอย่างไรบ้าง”

“คารวะอาจารย์เซียน!”

ผู้อาวุโสคนนั้นยังคงเป็นผู้นำ เหล่าชาวบ้านพากันกล่าวตามขึ้นมา

การพูดตอบโต้กันไปเช่นนี้มาดูคล้ายพิธีกรรมอะไรสักอย่าง

เหล่าชาวบ้านทำความเคารพอีกครั้ง เด็กเล็กบางคนที่ยังงุนงงไม่ทำความเคารพตามถูกบิดามารดาตีก้นไปทีสองที

น่าแปลกที่เด็กเหล่านั้นหาได้ร่ำไห้ไม่ พวกเขาเพียงแต่จ้องมองดูใบหน้าบุรุษหนุ่มผู้นั้น ดวงตาเบิกโต คล้ายกำลังมองดูลูกกวาดที่หายากที่สุดในโลกอยู่อย่างไรอย่างนั้น

ทุกคนตกอยู่ในความเงียบ ต้นไม้ใหญ่ไหวเอนเบาๆ ตามสายลม ส่งเสียงซ่าๆ ออกมา

ไม่มีชาวบ้านคนใดกล้าเอ่ยวาจา ทุกคนยืนโค้งตัวเล็กน้อย อยู่ในท่าทางแสดงความเคารพอย่างสุดซึ้ง

ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าไร บุรุษหนุ่มชุดขาวพลันกล่าวว่า “ข้าจะพักอยู่ที่นี่หนึ่งปี”

ผู้อาวุโสคนนั้นตกใจ คล้ายไม่กล้าเชื่อหูของตน เหล่าชาวบ้านเองก็มีสีหน้าตะลึงลาน ในใจครุ่นคิด อาจารย์เซียนหมายความว่ากระไร?

ครั้นเห็นท่าทีตอบสนองของทุกคน บุรุษหนุ่มชุดขาวจึงค้นหาในความทรงจำของตน ก่อนจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้อีกครั้ง คล้ายว่าเงินจะเป็นของสำคัญยิ่งในโลกปุถุชน

เขายื่นมือออกไปตรงหน้าผู้อาวุโสผู้นั้น ในฝ่ามือมีใบไม้ทองคำสิบกว่าแผ่น

หากเป็นเวลาปกติ เกรงว่าเหล่าชาวบ้านคงตื่นเต้นดีใจจนเป็นลมล้มพับไปแล้วเมื่อได้เห็นใบไม้ทองคำเหล่านี้ แต่ตอนนี้พวกเขาเพียงแต่เหลือบมองดูมัน ก่อนจะมองไปยังบุรุษหนุ่มชุดขาวอีกครั้ง

ในสายตาของพวกเขา บุรุษหนุ่มชุดขาวงดงามกว่าใบไม้ทองคำเหล่านี้มากนัก ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขาจะรับใบไม้ทองคำเหล่านี้ไว้ได้อย่างไรกัน?

“อาจารย์เซียนมาพักที่นี่นับเป็นบุญวาสนาของพวกเรา”

ผู้อาวุโสคนนั้นกล่าวอย่างไม่สบายใจ “เพียงแต่หมู่บ้านแห่งนี้ยากจน ไม่มีที่พักเหมาะแก่การให้อาจารย์เซียนได้ใช้บำเพ็ญเพียรจริงๆ”

บุรุษหนุ่มชุดขาวไม่รู้ว่าในช่วงเวลาสั้นๆ นี้ ผู้อาวุโสคนนี้ครุ่นคิดไปแล้วกี่เรื่องราว ทั้งมิรู้ว่าเหล่าชาวบ้านกำลังคิดอะไรอยู่

แน่นอน เขาเองมิได้ใส่ใจ เขารู้เพียงว่าอีกฝ่ายคล้ายจะตอบรับคำขอของตนแล้ว สายตาเขากวาดมองดูชาวบ้าน สุดท้ายไปหยุดอยู่ที่เด็กผู้ชายคนหนึ่ง

เด็กชายคนนั้นผิวค่อนข้างคล้ำ ร่างกายกำยำ สีหน้าใสซื่อ ให้ความรู้สึกซื่อสัตย์ไม่มีพิษภัย

“เจ้าพักอยู่ไหน?”

บุรุษหนุ่มชุดขาวมองเด็กชายผู้นั้นพลางกล่าว

เด็กชายผู้นั้นงงงัน มิได้ตอบอะไรออกมา กระทั่งถูกบิดาที่ยืนอยู่ข้างกายฟาดหนักๆ ไปฝ่ามือหนึ่ง

“เกินหวา[1] ยังมิรีบนำทางอาจารย์เซียนอีก!”

ผู้อาวุโสผู้นั้นรีบตะโกนบอก

……

……

ในสวนทางตะวันตกของหมู่บ้าน บ้านพักค่อนข้างมืดสลัว

เด็กชายผู้นั้นทำตามที่บิดาสั่งกำชับไว้ระหว่างทาง เขาคำนับบุรุษหนุ่มชุดขาวอย่างเคารพนอบน้อม ก่อนเตรียมเดินออกไป

บุรุษหนุ่มชุดขาวพลันถาม “ชื่อเจ้า?”

เด็กชายหยุดฝีเท้า กล่าวว่า “หลิ่วเป่าเกิน”

บุรุษหนุ่มชุดขาวเงียบไปครู่ ก่อนถามขึ้นอีกครั้งว่า “อายุ?”

เด็กชายกล่าว “สิบขวบ”

“เป่าเกินไม่ไพเราะ”

บุรุษหนุ่มชุดขาวกล่าวว่า “หลังจากนี้เจ้าชื่อสือซุ่ย[2]”

เด็กชายเกาหัว

นับแต่นี้ไป เขาจึงได้ชื่อหลิ่วสือซุ่ย

……

……

ครั้นเดินออกมาจากสวน หลิ่วสือซุ่ยพลันถูกชาวบ้านทั้งหมู่บ้านรุมล้อมทันที

ผู้อาวุโสคนนั้นถามอย่างร้อนใจ “อาจารย์เซียนว่ากระไรบ้าง?”

หลิ่วสือซุ่ยกล่าวอย่างเลอะเลือน “เขาถามอายุข้า…แล้วยังตั้งชื่อให้ข้า”

ผู้อาวุโสได้ยินเช่นนี้พลันตกใจเล็กน้อย บิดาของเด็กชายดีใจอย่างยิ่ง มือของเขาถูไปถูมาไม่หยุด

ทว่าหลิ่วสือซุ่ยกลับมิชื่นชอบชื่อใหม่เท่าใดนัก เขากล่าวอย่างน้อยใจ “มีชื่อประหลาดเช่นนี้ที่ไหนเล่า”

ผู้เป็นบิดาง้างมือเตรียมตีบุตรชาย ทันใดนั้นพลันนึกถึงอาจารย์เซียนที่อยู่ในบ้าน จึงฝืนสะกดอารมณ์เอาไว้

ผู้อาวุโสกล่าวสั่งสอนว่า “อาจารย์เซียนประทานนามให้ นั่นถือเป็นบุญวาสนายิ่ง คนธรรมดายากที่จะได้รับโอกาสเช่นนี้ ห้ามพูดอะไรส่งเดช”

หลิ่วสือซุ่ยพลันนึกถึงคำพูดสองสามประโยคสุดท้ายที่พูดในบ้าน จึงรีบกล่าวว่า “แต่เขาบอกตัวเองมิใช่อาจารย์เซียน”

เหล่าชาวบ้านมิค่อยเข้าใจ ในใจครุ่นคิดว่า หากท่านผู้นั้นมิใช่อาจารย์เซียนแล้วยังจะเป็นผู้ใด?

“ข้าว่าเขาดูคล้ายคนโง่”

หลิ่วสือซุ่ยพูดอย่างใสซื่อ “เขายังให้ข้าสอนเขาด้วยนะ”

ผู้อาวุโสถามอย่างลังเล “อาจารย์…เซียนให้เจ้าสอนกระไร?”

หลิ่วสือซุ่ยกล่าว “ปูเตียงพับผ้าห่ม ซักผ้าทำอาหาร ผ่าฟืนปลูกข้าว อืม เพียงเท่านี้แหละ ข้าจดจำได้ทุกคำพูด”

เหล่าชาวบ้านตกตะลึง ในใจครุ่นคิดว่ากระทั่งเรื่องเหล่านี้ยังทำไม่เป็น หรือคนในบ้านผู้นั้นจะมิใช่อาจารย์เซียน หากแต่เป็นคนโง่จริงๆ?

ทว่าผู้อาวุโสกลับหัวร่อขึ้นมา พลางกล่าว “ในเขาชิงซาน อาจารย์เซียนมีเด็กรับใช้คอยดูแล ดื่มน้ำค้าง กินผลไม้เซียน ท่านทำเรื่องเหล่านี้เป็นที่ไหนกันเล่า”

……

……

หลายวันหลังจากนั้น อาจารย์เซียนที่พักอยู่บ้านตระกูลหลิ่วผู้นั้นกลายเป็นสิ่งที่ทุกคนในหมู่บ้านเล็กๆ แห่งนี้ให้ความสนใจและกล่าวถึง

เหล่าชาวบ้านยอมรับในคำพูดของผู้อาวุโสไปโดยปริยาย พวกเขาเชื่อมั่นในตัวอาจารย์เซียนโดยมิสงสัย

แต่สิ่งเดียวที่พวกเขาไม่เข้าใจคือ เหตุใดอาจารย์เซียนมิกลับชิงซาน กลับรั้งอยู่ที่หมู่บ้านเล็กๆ ในภูเขาแห่งนี้ ทั้งยังให้เจ้าเด็กตระกูลหลิ่วที่โชคดีนั่นสอนเขาทำเรื่องเหล่านี้ีอีก

ทว่าสิ่งที่หลิ่วสือซุ่ยซึ่งในเวลานี้ถูกเหล่าชาวบ้านพากันอิจฉาหรืออาจจะถึงขั้นริษยาไม่เข้าใจก็คือ เรื่องที่ง่ายดายเพียงนี้ เหตุใดถึงมีคนทำไม่เป็นด้วย?

ภายในคืนนั้น เขาเริ่มสอนอีกฝ่ายปูเตียง เพราะอีกฝ่ายต้องนอน

รุ่งเช้าวันที่สอง เขายังต้องสอนอีกฝ่ายพับผ้าห่ม

จากนั้นเขาพบว่าอีกฝ่ายมิเคยทำเรื่องเหล่านี้มาก่อนเลยจริงๆ!

ครั้นเมื่อเขาพบว่าอีกฝ่ายทำเรื่องอื่นๆ ไม่เป็นเช่นกัน เขาครุ่นคิดว่าอีกฝ่ายนั้นโง่จริงๆ ด้วย

“เวลาเทน้ำอย่าเทข้าวออกมาด้วย!”

“ฟืนอย่าผ่าเล็กเกินไป แบบนั้นมันเผาได้ไม่นาน!”

“เกล็ดปลาไม่เอา เหงือกปลาก็ไม่เอา ดำๆ พวกนั้น…ก็ไม่เอา”

“หั่นทางซ้ายทีหนึ่ง หั่นทางขวาทีหนึ่ง อย่าหั่นจนขาด เท่านี้ก็ได้ซัวอี[1]ออกมาแล้ว ใช่ๆๆ”

“นั่นไม่ใช่มันเทศ นั่นมันมะระ…รีบวางลง ท่านแม่ไม่ชอบกินเจ้านั่นมากที่สุด”

……

……

เมื่อก่อนเขาเคยอ่านเจอในหนังสือว่ามีคนที่ไม่ทำงาน กระทั่งธัญพืชทั้งห้าก็ยังแยกไม่ออก เขามิเคยเชื่อมาก่อนว่าบนโลกจะมีคนเยี่ยงนี้อยู่จริง

กระทั่งเขาได้เจอกับบุรุษชุดขาว

ทว่าหลังจากนั้นเก้าวัน เขาก็เริ่มมิแน่ใจในความคิดของตัวเอง

ด้วยเพราะบุรุษหนุ่มชุดขาวใช้เวลาเพียงเก้าวันก็สามารถเรียนรู้ทุกสิ่งที่เขาสอนได้จนหมด

วันที่หนึ่ง บุรุษหนุ่มชุดขาวเรียนรู้การปูเตียงพับผ้า ผ่าฟืนต้มน้ำซึ่งเป็นเรื่องที่ง่ายที่สุด

วันที่สอง บุรุษหนุ่มชุดขาวเรียนรู้งานบ้านบางอย่างซึ่งมีความซับซ้อนยิ่งขึ้น ในสวนเล็กๆ ของบ้านตระกูลหลิ่วถูกปัดกวาดจนสะอาดสะอ้าน แลดูเหมือนใหม่

วันที่สาม บุรุษหนุ่มชุดขาวเริ่มทำอาหาร มองเพียงปราดเดียวก็รู้ว่าจะฆ่าไก่แล่ปลา หั่นหอมปอกกระเทียมอย่างไร

วันที่สี่ วันที่ห้า วันที่หก….

วันที่เก้า พระอาทิตย์ลอยขึ้นฟ้าเหมือนอย่างทุกที บุรุษหนุ่มชุดขาวผ่าไม้ไผ่บางส่วนทำเป็นเก้าอี้นอนตัวหนึ่ง ฝีมือเทียบกับช่างฝีมืออาวุโสแล้วยังดีกว่าเสียอีก

……

……

ตอนนี้ ซัวอีหวงกวาที่บุรุษหนุ่มชุดขาวหั่นออกมาสามารถดึงได้ยาวถึงสองฉื่อ ความหนาแต่ละแผ่นเท่ากันมิผิดเพี้ยน ส่วนฟืนที่ผ่าออกมาก็สวยงามจนยากจะบรรยายได้

เห็นๆ อยู่ว่าเป็นน้ำแบบเดียวกัน เป็นข้าวแบบเดียวกัน ข้างในผสมชิ้นมันแบบเดียวกัน ใช้เตาและหม้อแบบเดียวกัน แต่ไฉนข้าวที่บุรุษหนุ่มชุดขาวหุงออกมา กลับหอมกว่าข้าวทั้งหมดทั้งมวลที่หลิ่วสือซุ่ยได้เคยกินมา

บุรุษหนุ่มชุดขาวยังก่อกำแพงในสวนขึ้นมาใหม่ด้วย มุมชายคาบ้านที่ไม่ได้ซ่อมแซมมาเป็นเวลานานก็จัดการซ่อมแซมจนเรียบร้อย ดูแล้วเหมือนบ้านใหม่อย่างไรอย่างนั้น

หลิ่วสือซุ่ยพบว่าเป็นไปได้ยากที่ตัวเองจะไม่รู้สึกสงสัยถึงสถานะของอีกฝ่ายอีกครั้ง

นอกจากอาจารย์เซียนแล้ว ยังมีใครสามารถทำเรื่องแบบนี้ได้อีก?

ยิ่งไปกว่านั้นเขายังมิเคยเห็นบุรุษหนุ่มชุดขาวซักทำความสะอาดเสื้อผ้าของตนสักครั้ง

เขาไม่เข้าใจ ทำไมหลังทำเรื่องราวต่างๆ มากมายขนาดนี้ เหตุใดชุดสีขาวยังคงขาวได้เพียงนี้ คล้ายดั่งข้าวสารที่ดีที่สุดอย่างไรอย่างนั้น

……………………………………………………………….

[1] หวา คือคำที่ใช้เรียกเด็กน้อย

[2] สือซุ่ย หมายถึง สิบขวบ

[3] ซัวอี หมายถึงซัวอีหวงกวา (蓑衣黄瓜) เป็นอาหารจีนชนิดหนึ่ง โดยเป็นศิลปะการใช้มีดชั้นสูงในการหั่นแตงกวาไม่ให้ขาดออกจากกัน แล้วแผ่ออกเป็นเส้นยาว

มรรคาสู่สวรรค์

มรรคาสู่สวรรค์

ข้าคือกระบี่ พันลี้ปลิดชีพคน… สิบก้าวไม่ยอมเดิน พันลี้ปลิดชีพคน… สิบก้าวไม่อยากเดิน พันลี้ปลิดชีพคน… สิบก้าว? ไม่เดิน!!! ——————- ผู้เป็นนายคือบุรุษหนุ่มลึกลับผู้มาพร้อมกับใบหน้าที่หล่อเหลาและใบหูที่กางดูน่ารัก ผู้เป็นบ่าวคือเด็กชายใสซื่อผู้เป็นเมล็ดพันธุ์แห่งเต๋าแต่กำเนิด หนึ่งนายหนึ่งบ่าวเดินทางมายังสำนักชิงซานซึ่งเป็นสำนักบำเพ็ญพรตอันดับหนึ่งแห่งแผ่นดิน เพื่อเข้าสู่เส้นทางแห่งการบำเพ็ญเพียร ทว่าในระหว่างที่อยู่ในสำนัก ผู้เป็นนายกลับเอาแต่นอน ในสายตาคนอื่นเขาคือคนที่เกียจคร้านอย่างไม่มีใครเทียบได้ ส่วนผู้เป็นบ่าวกลับขยันฝึกฝนจนบรรลุสภาวะขั้นต้นในเวลาอันสั้น แต่สิ่งที่ไม่มีใครรู้คือ สาเหตุที่ผู้เป็นบ่าวสามารถบรรลุสภาวะได้อย่างรวดเร็ว เป็นเพราะเคล็ดการหายใจที่ผู้เป็นนายเคยสั่งสอนให้… บุรุษหนุ่มรูปงามผู้นี้คือใครกันแน่ ไฉนจึงเอาแต่นอนเกียจคร้านทั้งวันเช่นนี้?!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset