มรรคาสู่สวรรค์ – ตอนที่ 5 หนึ่งปี

กล้าข้าวสีเขียวงอกยาวถึงเอว ระยะห่างของแต่ละต้นล้วนแต่เท่ากัน เรียกได้ว่าสมบูรณ์แบบไร้ที่ติ

ไม่ว่าจะมองจากมุมไหน กล้าข้าวก็ล้วนแต่เป็นเส้นตรงดิ่ง กระทั่งเงาที่สะท้อนบนผิวน้ำก็เท่ากันมิผิดเพี้ยน

แม้แต่ชาวนาที่ฝีมือยอดเยี่ยมที่สุดในหมู่บ้านยังมิอาจทำเช่นนี้ได้

เมื่อเห็นภาพนี้ ปากของหลิ่วสือซุ่ยพลันหุบไม่ลงเป็นเวลานาน

ลมโชยพัดแผ่วเบา กล้าข้าวสีเขียวพลิ้วไหว ดูงดงามยิ่งนัก

บุรุษหนุ่มชุดขาวยืนอยู่บนคันดินพลางพยักหน้าเล็กน้อย ดูค่อนข้างพอใจในฝีมือของตน จากนั้นหมุนตัวเดินไปข้างหลัง ก่อนจะเอนกายนอนไปบนเก้าอี้ไม้ไผ่พร้อมหลับตา

หลิ่วสือซุ่ยมองดูแสงแดด กล่าวว่า “คุณชาย หลังจากนี้จะไปผ่าฟืนหรือไม่”

เนื่องเพราะบุรุษหนุ่มชุดขาวมิยอมรับว่าตนคืออาจารย์เซียน เหล่าชาวบ้านจึงปรึกษาหารือกัน ก่อนจะตัดสินใจเรียกอีกฝ่ายว่าคุณชาย

“พอเท่านี้แหละ” บุรุษหนุ่มชุดขาวกล่าวพลางหลับตา

หลิ่วสือซุ่ยมิเข้าใจความหมายของเขา กล่าวถามว่า “หรือจะหุงข้าวก่อน?”

บุรุษหนุ่มชุดขาวมิสนใจเขา

เวลานี้หลิ่วสือซุ่ยถึงได้เข้าใจความหมายของเขา ทว่ากลับมิเข้าใจว่าเหตุใดเขาถึงได้เปลี่ยนแปลงความคิดรวดเร็วถึงเพียงนี้

“ข้าเพียงอยากเรียน มิได้ชื่นชอบ”

บุรุษหนุ่มชุดขาวกล่าว “แม้นการแปรเปลี่ยนเป็นปุถุชนจะมีเหตุผล แต่มันก็หาได้เหมาะกับข้าไม่”

หลิ่วสือซุ่ยฟังมิเข้าใจ เพียงแต่ถามกลับไปว่า “เพราะเหตุใด?”

บุรุษหนุ่มชุดขาวกล่าว “เพราะข้าเกียจคร้าน ทั้งยังมิถนัด”

หลิ่วสือซุ่ยตื่นเต้นเล็กน้อย ถามว่า “เช่นนั้นคุณชายถนัดอันใด?”

ภายในหมู่บ้านมีข่าวลือว่าอาจารย์เซียนในเขาชิงซานล้วนแต่เป็นเทพที่สามารถโบกมือเรียกสายฟ้า เรียกกระบี่บินขึ้นไปบนฟ้าได้

บุรุษหนุ่มชุดขาวกล่าว “ตัดขาด”

สิ่งใดๆ บนโลกล้วนแต่มีจุดอ่อนอยู่

สิ่งที่เขาถนัดที่สุดคือหาจุดอ่อนเหล่านั้น จากนั้นทำให้มันขาดออก

อย่างเช่นอาวุธวิเศษ อย่างเช่นยอดเขา หรืออะไรอย่างอื่น

หลิ่วสือซุ่ยคิดไม่ถึงว่าจะได้ยินคำตอบเช่นนี้ เขาอดรู้สึกผิดหวังขึ้นมาเล็กน้อยมิได้ พลางเกาศีรษะกล่าวว่า “มิน่าท่านถึงได้หั่นผักได้ดีขนาดนั้น”

มีลมพัด มีใบไม้ปลิดปลิวร่วงลงมา ปลายขั้วเรียบเนียน ราวกับถูกกระบี่จริงๆ ตัดออกก็มิปาน

มีเสียงร้องของจักจั่นดังขึ้น

นี่น่าจะเป็นเสียงจักจั่นแรกของหมู่บ้านในปีนี้

บุรุษหนุ่มชุดขาวลืมตา ก่อนจะทอดตามองไปทางหมู่ยอดเขาที่ซ่อนกายอยู่ในหมู่เมฆ

หลิ่วสือซุ่ยหยิบใบไม้ที่ร่วงตกลงมาใบนั้น จากนั้นมองดูใบหน้าด้านข้างของบุรุษหนุ่มพลางถามว่า “คุณชาย ท่านมีนามว่ากระไรกันแน่?”

บุรุษหนุ่มชุดขาวเงียบไปครู่ ก่อนกล่าวว่า “จิ๋งจิ่ว[1]”

“จิ๋งจิ่ว?”

“จิ่ง (井) จากบ่อน้ำ จิ่ว (九) จากลำดับที่เก้า”

“หมายถึงน้ำบ่อมิข้องเกี่ยวน้ำธาร เรื่องที่ไม่สมหวังมักเกิดขึ้น?”

“เคยเรียนหนังสืองั้นหรือ?”

“ในหมู่บ้านเคยมีคุณชายคนหนึ่ง ออกไปจากหมู่บ้านเมื่อปีที่แล้ว ได้ยินว่าจะไปสอบถงเซิง[2] ที่อำเภอ”

“ข้าก็เคยเรียนมาเหมือนกัน”

“หืม?”

“ถ้าไม่เข้าใจก็มาถามข้าได้”

“ขอบคุณคุณชาย”

“อื้อ”

หลิ่วสือซุ่ยมองไปทางบุรุษหนุ่มชุดขาว เขามองดูใบหน้านี้มาเก้าวันแล้ว แม้นจะเคยชิน แต่ก็ยังรู้สึกเปล่งประกายเจิดจ้าอยู่เล็กน้อย เขาขยี้ตาโดยมิรู้ตัว

“ท่าน…อารมณ์ไม่ดีหรือเปล่า?”

บุรุษหนุ่มชุดขาวมองไปทางหมู่ยอดเขาที่อยู่ในหมู่เมฆอีกฟาก นิ่งเงียบมิกล่าววาจาใดเป็นเวลานาน จากนั้นพลันกล่าวว่า “ทำเรื่องเดิมซ้ำไปซ้ำมามิหยุด ยากที่จะไม่รู้สึกหงุดหงิด”

หลิ่วสือซุ่ยครุ่นคิด กล่าวว่า “หากว่า…เรื่องนั้นคือการกินเนื้อล่ะก็”

……

……

เวลาหนึ่งปีผ่านไปอย่างรวดเร็ว ปลายฤดูใบไม้ผลิมาเยือนอีกครา

ความคิดเห็นของเหล่าชาวบ้านที่มีต่อบุรุษหนุ่มชุดขาวที่เรียกตัวเองว่าจิ๋งจิ่วแบ่งออกเป็นสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งยืนกรานคิดว่าเขาคืออาจารย์เซียนที่มาจากชิงซาน อีกฝ่ายหนึ่งคิดว่าเขานั้นมิใช่อาจารย์เซียนจริงๆ หากแต่น่าจะเป็นคุณชายจากตระกูลขุนนางที่ตกยากจากเมืองหลวงเจาเกอ ทว่ามีจุดหนึ่งที่ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องต้องกัน นั่นคือพวกเขาไม่เคยเห็นคนที่เกียจคร้านเช่นนี้มาก่อน

ในเวลาหนึ่งปีที่ผ่านมานี้ เหล่าชาวบ้านชื่นชอบที่จะไปเดินเล่นบริเวณบ้านตระกูลหลิ่ว ไม่ว่าสถานะที่แท้จริงของจิ๋งจิ่วจะเป็นใคร พวกเขาก็มักจะชื่นชอบมองดูเขา แต่ไม่ว่าพวกเขาจะไปเมื่อไร ก็มักจะเห็นจิ๋งจิ่วกำลังนอนอยู่เสมอ หากวันใดมีแสงแดด เขาก็จะนอนอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่ภายในสวน หากวันใดฟ้ามืดครึ้ม เขาก็จะนอนอยู่บนเตียงภายในบ้าน หากวันใดอากาศร้อน เขาก็จะย้ายเก้าอี้ไม้ไผ่ไปนอนอยู่ใต้ต้นไม้ริมบ่อน้ำ หากวันใดหิมะตก เขาก็ย้ายกลับเข้ามาในบ้าน แต่กลับมักจะเปิดหน้าต่างทิ้งเอาไว้

หลังเก้าวันแรกสุดก็ไม่มีผู้ใดเห็นจิ๋งจิ่วทำงานบ้านอีก แม้นจะเป็นงานบ้านที่ง่ายที่สุดก็ตาม ทั้งปูเตียงพับผ้า ทั้งสวมเสื้อผ้ากินอาหารล้วนแล้วแต่เป็นหลิ่วสือซุ่ยเป็นผู้ดูแล กระทั่งเก้าอี้ไม้ไผ่ที่ตัวเขาใช้นอน ก็ยังเป็นหลิ่วสือซุ่ยเป็นคนย้ายไปย้ายมา

ทว่าเหล่าชาวบ้านยังคงรักษาความเคารพจากใจที่มีต่อจิ๋งจิ่วเอาไว้อยู่ เนื่องเพราะเวลาที่เหล่าเด็กๆ ภายในหมู่บ้านเรียนหนังสือ บางครั้งบางคราวเขาจะคอยชี้แนะให้ จากคำบอกเล่าของเด็กๆ ความรู้ของคุณชายอาจารย์เซียนนั้นลึกซึ้งกว่าคุณชายคนก่อนหน้าสามร้อยกว่าเท่า

สิ่งที่สำคัญที่สุดคือจิ๋งจิ่วมีเงินเยอะมาก อีกทั้งยังใจกว้างมากด้วย แม้นในตอนแรกเหล่าชาวบ้านจะไม่กล้ารับเงินของเขา ทว่าการซ่อมแซมบูรณะศาลบรรพชนแลศาลเจ้าภายในหมู่บ้านล้วนแต่ใช้เงินของเขา ในตอนนี้กระทั่งถนนที่เชื่อมจากหมู่บ้านเข้าไปในอำเภอก็สร้างเสร็จไปแล้วมากกว่าครึ่ง แล้วเช่นนี้จะไม่ให้ชาวบ้านรู้สึกขอบคุณเขา รู้สึกเคารพเลื่อมใสเขาได้อย่างไร?

“คุณชาย เวลาท่านพักผ่อนต้องระวังหน่อยนะ อย่าได้ตกลงไปในบ่อน้ำอีกล่ะ”

หลิ่วสือซุ่ยแบกกิ่งไม้ที่เก็บมาจากบนเขาไว้บนหลัง สายตามองดูจิ๋งจิ่วที่เอนกายนอนอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่ ใจเป็นกังวลเล็กน้อย

เรื่องแบบนี้เคยเกิดขึ้นมาแล้วครั้งหนึ่ง เขาถูกบิดาสั่งสอนหนักๆ ไปทีหนึ่ง โดยบอกว่าเขาไม่ดูแลอาจารย์เซียนให้ดี

จิ๋งจิ่วที่นอนอยู่บนเก้าอี้ส่งเสียง ‘อืม’ ออกมา มิรู้ว่านั่นเป็นการตอบรับหรือเป็นเพราะนอนพักผ่อนอยู่ใต้เงาไม้แล้วรู้สึกสบายอย่างมากกันแน่

น่าจะเป็นเหตุผลข้อหลังมากกว่า นิ้วอันเรียวยาวของเขาเคาะไปบนเก้าอี้ไม้เบาๆ จังหวะฟังดูสะเปะสะปะ มิได้มีกฎเกณฑ์ใดๆ แต่กลับให้ความรู้สึกเกียจคร้านอย่างหนึ่ง

หลิ่วสือซุ่ยลังเลเล็กน้อย ก่อนจะวางกิ่งไม้ที่อยู่บนหลังลง

เขานั่งลงใกล้ต้นไม้ใหญ่ สองมือกอดเข่า สายตาจับจ้องไปยังเก้าอี้ไม้นั้น มิกล้าผ่อนคลายแม้เพียงครู่

ตอนนี้เขาอายุสิบเอ็ดปีแล้ว แต่ยังคงชื่อสือซุ่ยอยู่ จิ๋งจิ่วมิคล้ายจะมีท่าทีคิดเปลี่ยนชื่อให้เขา สือซุ่ยครุ่นคิด สาเหตุน่าจะเป็นเพราะคุณชายขี้เกียจ

ไม่ว่าจะชื่ออะไร เขาก็ยังซื่อสัตย์น่าเชื่อถืออยู่ ในเมื่อรับปากผู้เป็นบิดาเอาไว้แล้วว่าจะดูแลคุณชายให้ดี เช่นนั้นก็ต้องทำให้ได้

ยิ่งไปกว่านั้นเสียงเคาะเก้าอี้ของคุณชายจิ๋งจิ่วยังฟังดูน่าสนใจอย่างมาก เขาไม่รู้ว่าควรจะใช้คำพูดนิยามมันอย่างไรดี รู้เพียงแต่ว่าใจของตนสงบขึ้นเรื่อยๆ

สายลมอ่อนโยนลูบไล้ผ่านผิวน้ำ แสงแดดค่อยๆ จางลง ความมืดจับตัวหนาขึ้นทุกขณะ

“สองครั้งสุดท้าย หายใจออกเร็วเกินไป”

หลิ่วสือซุ่ยได้ยินเช่นนั้นพลันตกใจเล็กน้อย จากนั้นจึงได้สติขึ้นมา กล่าวว่า “เข้าใจแล้ว”

จิ๋งจิ่วลืมตาขึ้นแล้วมองไปยังบ่อน้ำ

สายลมยามเย็นหายไป ผิวน้ำนิ่งสงบ แลดูคล้ายกระจก

สายตาเขาจ้องมองดูใบหน้าบนผิวน้ำหน้านั้น ไม่กล่าวอันใดเป็นเวลานาน

ใบหน้านี้งดงามยิ่งนัก

ใบหน้านี้ไร้ที่ติ

หากบอกว่าใบหน้านี้งดงามดั่งภาพวาด เช่นนั้นจิตรกรที่วาดจะต้องเป็นผู้ที่มีฝีมือยอดเยี่ยมที่สุดในรอบหมื่นปีอย่างแน่นอน

แม้แต่โลกแห่งการบำเพ็ญพรตที่มีบุรุษแลสตรีโฉมงามจำนวนนับไม่ถ้วน เขาก็ยังมิเคยพานพบใบหน้าที่งดงามเช่นนี้มาก่อน

แสงดาวตกกระทบลงบนใบหน้านั้น ทั้งยังตกกระทบลงบนผิวน้ำ เส้นแสงขยับเล็กน้อย ทำให้ใบหน้านี้มีความรู้สึกคล้ายภาพลวงตา

นี่มิใช่ครั้งแรกที่เขาได้เห็นใบหน้านี้ของตัวเอง

ในตอนที่เขายืนอยู่ริมบ่อน้ำและได้เห็นใบหน้านี้ เขาถึงได้เข้าใจว่าเหตุใดในวันแรกที่เขามายังหมู่บ้านแห่งนี้ เหล่าชาวบ้านถึงได้มีปฏิกิริยาเช่นนั้น อีกทั้งหลังจากนั้นยังปักใจเชื่อว่าเขาคืออาจารย์เซียน

การที่มีใบหน้าแบบนี้ได้ ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่มีทางไม่พอใจ ต่อให้เป็นจิ๋งจิ่วก็ตาม

เขาเพียงแต่รู้สึกว่ามีจุดหนึ่งที่แปลกเล็กน้อย

เขาทอดตามองดูตัวเองที่อยู่บนผิวน้ำ จากนั้นยกมือขึ้นมาลูบไล้ใบหูของตน

นั่นคือใบหูที่กางคู่หนึ่ง ดูแล้วกลมกลึง สิ่งที่น่าสนใจก็คือเมื่ออยู่คู่กับใบหน้านี้มันไม่ได้ดูน่าเกลียด แต่กลับช่วยเพิ่มความน่ารักไม่น้อยทีเดียว

เขาเข้าใจว่าเป็นเพราะเหตุใด เพียงแต่ยังรู้สึกมิค่อยคุ้นชินเท่าไร

สายลมยามค่ำคืนโบกโชยขึ้นมาอีกครั้ง มันพัดพาใบหน้าอันงดงามไร้ที่ติบนผิวน้ำไป แล้วก็พัดพาความคิดที่อยู่ในใจเขาไปด้วย

ทุกสิ่งล้วนว่างเปล่าเหมือนภาพลวงตา คล้ายจะเป็นคำกล่าวของศิษย์น้องเหลียนแห่งสำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ย

จิ๋งจิ่วเอนกายกลับไปบนเก้าอี้ไม้ไผ่ ในใจคิดอยากดื่มน้ำ แต่ก็พบว่ากาน้ำตั้งอยู่หน้าเก้าอี้ หากจะหยิบก็จำเป็นต้องลุกนั่ง ดังนั้นเขาจึงเหลือบมองไปทางหลิ่วสือซุ่ย

หลิ่วสือซุ่ยนั่งคู้อยู่ใต้ต้นไม้ กำลังถือหญ้าหยอกล้อหนอนสีเขียวอยู่ เขาสัมผัสได้ถึงสายตาที่จ้องมองมายังตน ครั้นเงยหน้าขึ้นมาถึงได้รู้ว่าเพราะเหตุใด จากนั้นจึงถอนใจ ลุกขึ้นเดินไปยังหน้าเก้าอี้ไม้ไผ่ ยกกาขึ้นมาเทน้ำส่งให้จิ๋งจิ่ว

จิ๋งจิ่วดื่มน้ำไป ก่อนจะปิดตาลงอีกครา

หลิ่วสือซุ่ยหาได้จากไปไม่ หากแต่นั่งยองๆ อยู่ข้างเก้าอี้ไม้ไผ่ ใช้มือเท้าคางตัวเอง พลางจ้องมองดูใบหน้าจิ๋งจิ่วอย่างเหม่อลอย ภายในใจครุ่นคิด เหตุไฉนถึงได้หล่อเหลาเพียงนี้?

เขาได้เจอกับใบหน้านี้ทุกวัน ดังนั้นเขาจึงไม่เหมือนกับชาวบ้านคนอื่น เขารู้ว่าในเวลาหนึ่งปีที่ผ่านมานี้ ความจริงแล้วใบหน้านี้มีการเปลี่ยนแปลง มิใช่หน้าตา หากแต่เป็น…ราศี

คุณชายมิได้เหม่อลอยเหมือนตอนแรก ดวงตาดูฉลาดเฉลียว แล้วก็มีชีวิตชีวามากขึ้น ความจริงแล้วคำพูดของเขาก็เยอะขึ้นกว่าแต่ก่อนมากด้วย

จิ๋งจิ่วหลับตา หลังจากนั้นไม่กี่อึดใจ เขาพลันลืมตาขึ้นอีกครั้ง

หลิ่วสือซุ่ยตกใจเล็กน้อย ในหนึ่งปีที่ผ่านมานี้ ไม่ว่าคุณชายจะนอนหลับ หรืองีบหลับ หรือสัปหงก เขาไม่เคยลืมตาเร็วขนาดนี้มาก่อน

“ท่านกำลังทำอะไรอยู่?”

จิ๋งจิ่วมองไปยังดวงดาวที่อยู่บนท้องฟ้ายามค่ำคืน กล่าวว่า “ข้ากำลังคาดคะเนเหตุการณ์หลังจากนี้อีกสามปี”

หลิ่วสือซุ่ยเกาศีรษะ ภายในใจคิด ปกติทุกวันท่านเอาแต่นอน แล้วนั่นกำลังทำอะไรอยู่ล่ะ?

จิ๋งจิ่วคล้ายล่วงรู้ว่าภายในใจเขากำลังคิดอันใดอยู่ จึงกล่าวว่า “ข้ากำลังคาดคะเนเหตุการณ์หลังจากนี้อีกสามพันปี”

หลิ่วสือซุ่ยดวงตาเพิงโพลง กล่าวว่า “สามพันปี?”

จิ๋งจิ่วถามว่า “หากเจ้าครุ่นคิดอย่างหนัก ทุ่มเทสมาธิทั้งหมด ใช้วลาที่มีอยู่นับไม่ถ้วนเขียนบทความที่ยอดเยี่ยมอย่างมากขึ้นมาบทความหนึ่ง ทั้งยังคิดว่าชั่วชีวิตนี้ไม่มีทางเขียนบทความที่ดีแบบนี้ออกมาได้อีกแล้ว แต่ผลสุดท้ายเจ้ากลับเลินเล่อทำบทความนั้นตกลงไปในเตาไฟจนถูกเผากลายเป็นเถ้าถ่าน เจ้าจะคิดอย่างไร?”

หลิ่วสือซุ่ยงุนงงไปครู่ก่อนจะได้สติขึ้นมา เขาใช้มือขวาลูบหน้าอกตัวเองแล้วกล่าวว่า “ไม่กล้าคิด คิดแล้วปวดใจ”

“ไม่ใช่ปวด หากแต่เป็นทุกข์” จิ๋งจิ่วเงียบเสียงไปครู่ ก่อนจะกล่าวว่า “ทุกข์ทรมานอย่างมาก”

ความทุกข์ทรมานเช่นนั้น ผู้ใดมิเคยประสบไม่มีทางเข้าใจ

ทุกข์จนไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อไป

ทว่าความทุกข์มันเป็นบทเรียนสอนเรา นอกจากเขียนบทความนั้นขึ้นมาใหม่ ยังจะทำอันใดได้อีก?

หลิ่วสือซุยกล่าวอย่างเห็นใจขึ้นมา “คนผู้นั้นคงได้แต่ต้องเขียนขึ้นมาใหม่กระมัง”

จิ๋งจิ่วกล่าว “มิผิด นอกจากเขียนขึ้นมาใหม่ ยังจะทำอันใดได้อีก?”

หลิ่วสือซุ่ยครุ่นคิดถึงเรื่องๆ หนึ่ง ก่อนจะกล่าวอย่างกังวลใจว่า “แต่คำและประโยคที่วิจิตรไพเราะในบทความเดิม อีกทั้งเรื่องราวที่ยอดเยี่ยมเหล่านั้นล้วนแต่จำไม่ได้แล้ว เช่นนี้จะทำอย่างไร?”

“จำไม่ได้ย่อมไม่สำคัญ คำพูดแลเรื่องราวเหล่านั้นจะเทียบความยอดเยี่ยมที่แท้จริงได้อย่างไร?”

จิ๋งจิ่วมองไปทางหมู่ยอดเขาที่อยู่ในม่านหมอกยามค่ำคืน กล่าวว่า “เขียนขึ้นมาใหม่อีกครั้งย่อมต้องเป็นบทความงดงามที่ดีกว่าเดิมแน่นอน”

หลิ่วสือซุ่ยครุ่นคิด ไม่รู้ว่านี่มันมีเหตุผลหรือไม่ ครั้นเมื่อคิดถึงคำพูดก่อนหน้า เขาจึงถามอย่างสงสัยขึ้นมาว่า “คุณชายท่านคาดการณ์ออกมาเป็นอย่างไร? หลังจากนี้สามปีน้ำฝนเป็นอย่างไรบ้าง?”

สายตาจิ๋งจิ่วมองไปในป่าที่อยู่ไม่ไกล กล่าวว่า “ข้าแค่คำนวณออกมาได้ว่าถึงเวลาแล้ว”

คืนนี้เอง

สายลมยามค่ำคืนพัดแผ่วเบาขึ้นมา ชุดสีขาวพลิ้วไหว นักพรตวัยกลางคนที่ดูคล้ายบำเพ็ญเพียรมาอย่างยาวนานจนหลุดพ้นจากเรื่องทางโลกผู้หนึ่งลอยลงมายืนบนพื้น ด้านหลังสะพายกระบี่เล่มยาวเอาไว้เล่มหนึ่ง

หลิ่วสือซุ่ยตกใจ เขารีบไปหลบอยู่ด้านหลังเก้าอี้ไม้ไผ่

สายตานักพรตวัยกลางคนผู้นั้นมองมายังจิ๋งจิ่ว คิ้วขยับเล็กน้อย คล้ายรู้สึกแปลกใจ

……………………………………………..

[1] จิ๋งจิ่ว (井九) โดย 井 แปลว่าบ่อน้ำ ในที่นี้มาจากสำนวนที่ว่า น้ำในบ่อไม่ข้องเกี่ยวกับน้ำในธาร ส่วน 九 แปลว่าเก้า ในที่นี้มาจากสำนวน เรื่องราวที่ไม่คาดหวังมักจะเกิดขึ้นเสมอ

[2] ถงเซิง  คือการสอบระดับท้องถิ่น

มรรคาสู่สวรรค์

มรรคาสู่สวรรค์

ข้าคือกระบี่ พันลี้ปลิดชีพคน… สิบก้าวไม่ยอมเดิน พันลี้ปลิดชีพคน… สิบก้าวไม่อยากเดิน พันลี้ปลิดชีพคน… สิบก้าว? ไม่เดิน!!! ——————- ผู้เป็นนายคือบุรุษหนุ่มลึกลับผู้มาพร้อมกับใบหน้าที่หล่อเหลาและใบหูที่กางดูน่ารัก ผู้เป็นบ่าวคือเด็กชายใสซื่อผู้เป็นเมล็ดพันธุ์แห่งเต๋าแต่กำเนิด หนึ่งนายหนึ่งบ่าวเดินทางมายังสำนักชิงซานซึ่งเป็นสำนักบำเพ็ญพรตอันดับหนึ่งแห่งแผ่นดิน เพื่อเข้าสู่เส้นทางแห่งการบำเพ็ญเพียร ทว่าในระหว่างที่อยู่ในสำนัก ผู้เป็นนายกลับเอาแต่นอน ในสายตาคนอื่นเขาคือคนที่เกียจคร้านอย่างไม่มีใครเทียบได้ ส่วนผู้เป็นบ่าวกลับขยันฝึกฝนจนบรรลุสภาวะขั้นต้นในเวลาอันสั้น แต่สิ่งที่ไม่มีใครรู้คือ สาเหตุที่ผู้เป็นบ่าวสามารถบรรลุสภาวะได้อย่างรวดเร็ว เป็นเพราะเคล็ดการหายใจที่ผู้เป็นนายเคยสั่งสอนให้… บุรุษหนุ่มรูปงามผู้นี้คือใครกันแน่ ไฉนจึงเอาแต่นอนเกียจคร้านทั้งวันเช่นนี้?!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset