ก้อนเมฆคล้อยเคลื่อนไปยังสี่มุมของท้องฟ้า เผยให้เห็นแผ่นนภาสีครามผืนหนึ่ง นั่นคืออุโมงค์ที่ข่ายพลังชิงซานเปิดออก
ฐานดอกบัวแห่งวัดกั่วเฉิงหายไปในขอบฟ้าพร้อมกับลำแสงสีทองสายหนึ่ง หลังจากนั้น รถลากบินของเมืองเจาเกอ เรือแห่งความว่างเปล่าของต้าเจ๋อต่างทยอยกันออกไปจากภูเขา
จากนั้น ลำแสงดาบอันเยือกเย็นสายหนึ่งพลันส่องสว่างไปทั่วนภา ก่อนจะมุ่งหน้าไปทางเหนือ
ครั้นเห็นภาพนี้ บนใบหน้าของศิษย์ชิงซานเช่นกั้วหนานซานต่างเผยให้เห็นสีหน้าที่ระมัดระวังขึ้นมา
สำนักเฟิงเตาตั้งอยู่ทางเหนืออันห่างไกล แม้นจะบอกว่ามิได้มีความแค้นอะไรระหว่างสำนักชิงซาน แต่ฝ่ายหนึ่งฝึกดาบ ฝ่ายหนึ่งฝึกกระบี่ ไม่ว่าจะในสายตาชาวโลก หรือในใจของลูกศิษย์ของทั้งสองฝ่ายต่างก็แอบเกิดการเปรียบเทียบอยู่ในใจ และการแอบเปรียบเทียบนี้ก็ค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นความรู้สึกที่ยากจะอธิบายได้
ปีนี้เป็นปีแรกที่สำนักเฟิงเตาส่งทูตมาเข้าร่วมงานชุมนุมเฉิงเจี้ยนของสำนักชิงซาน ทูตที่มาผู้นั้นนิ่งเงียบมิค่อยพูดจา ตั้งแต่ต้นจนจบกล่าวเพียงไม่กี่ประโยคเท่านั้น ใครจะคาดคิดบ้างว่าสภาวะของเขาจะสูงส่งเพียงนี้ เมื่อมาคิดดูแล้ว มิเสียทีที่เทพแห่งดาบเป็นยอดคนที่บรรลุสภาวะขั้นทะลวงสวรรค์ คิดไม่ถึงว่าจะสามารถรวบรวมผู้บำเพ็ญเพียรอันแข็งแกร่งได้มากขนาดนี้ แม้นจะอยู่ในดินแดนทางเหนืออันรกร้าง
งานชุมนุมเฉิงเจี้ยนจบลงแต่เพียงเท่านี้ เรื่องที่เหลือหลังจากนี้คือกิจการภายในของสำนักชิงซาน ส่วนเรื่องนี้จะก่อให้เกิดผลแบบใด อย่างน้อยในเวลานี้ก็ยังไม่มีผู้ใดทราบ
ต้นสนที่อยู่บนลานต้อนรับไหวเอนแผ่วเบา กั้วหนานซานเดินออกมาจากในอาราม ก่อนหน้านี้เขาได้พูดคุยตกลงกับองค์ชายทั้งสองของเมืองเจาเกอเรื่องแผนการและจำนวนคนที่ศิษย์ยอดเขาเหลี่ยงว่างจะส่งไปสนับสนุนดินแดนทางเหนือในปีหน้า ในเวลานี้จิตใจกำลังสงบ เขาพากู้หานมาอยู่ตรงหน้าเจ้าล่าเยวี่ยและจิ๋งจิ่ว
เขายิ้มเล็กน้อย พลางกล่าว “ศิษย์น้อง ยินดีด้วย”
เจ้าล่าเยวี่ยกล่าว “ขอบคุณศิษย์พี่”
กั้วหนานซานกล่าว “จากที่ข้ารู้มา ด้านบนยอดเขาเสินม่อน่าจะไม่มีเคล็ดกระบี่เก้ามรณาอยู่บนนั้น”
เจ้าล่าเยวี่ยมิได้กล่าวกระไร
กั้วหนานซานมองนาง พลางกล่าวต่อว่า “จะลองมายอดเขาเหลี่ยงว่างไหม?”
ในงานชุมนุมเฉิงเจี้ยนเมื่อวานนี้ เขาก็ได้เสนอคำแนะนำนี้ไปแล้ว อีกทั้งยังได้รับการเห็นชอบอย่างกรายๆ จากท่านเจ้าสำนักด้วย
ไม่ว่าจะสืบทอดกระบี่อย่างไร สุดท้ายก็ต้องเรียนกระบี่ ยอดเขาเสินม่อไม่มีเคล็ดกระบี่เก้ามรณา แล้วเจ้าล่าเยวี่ยจะเรียนอะไร?
หากนางยินดีเข้าสู่ยอดเขาเหลี่ยงว่าง นางก็จะสามารถสัมผัสกับเคล็ดกระบี่อันล้ำลึกของอีกแปดยอดเขาที่เหลือได้อย่างสบาย
แน่นอน นางยังคงรักษาสถานะศิษย์สืบทอดของยอดเขาเสินม่อเอาไว้ได้ด้วย
ไม่ว่าจะมองจากมุมไหน ข้อเสนอของกั้วหนานซานก็ล้วนแต่เป็นทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับเจ้าล่าเยวี่ย
เจ้าล่าเยวี่ยมิได้ตอบรับ
“เมื่อวานข้าได้บอกไปแล้ว ต่อให้สืบทอดกระบี่ล้มเหลว ข้าก็ไม่ไปยอดเขาเหลี่ยงว่าง”
เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ นางก็มิได้ว่าอะไรอีก แต่เหล่าลูกศิษย์ที่อยู่บนลานต้อนรับต่างเข้าใจความหมายที่แฝงอยู่ในคำพูดของนาง ตอนนี้นางสืบทอดกระบี่สำเร็จแล้ว นางยิ่งไม่มีทางไปยอดเขาเหลี่ยงว่าง
กั้วหนานซานนิ่งเงียบไปครู่ ก่อนจะกล่าวว่า “ศิษย์น้อง เจ้ามิพอใจอะไรยอดเขาเหลี่ยงว่างหรือเปล่า?”
กู้หานพลันเอ่ยปากขึ้นมา “หากการกระทำบางอย่างของข้าทำให้ศิษย์น้องไม่พอใจ นั่นเป็นเพราะข้าจัดการได้ไม่เหมาะสม ข้ายินดีขอโทษเจ้า”
ครั้นได้ยินคำพูดนี้ เหล่าลูกศิษย์ที่อยู่บนลานต้อนรับต่างตกตะลึง ในใจครุ่นคิดศิษย์พี่สามแห่งยอดเขาเหลี่ยงว่างผู้หยิ่งยโสเยือกเย็นขอโทษผู้อื่นเป็นเหมือนกันหรือนี่?
การกระทำบางอย่างที่เขาว่า มันหมายถึงสิ่งใด?
จิ๋งจิ่วมองดูเงียบๆ ในใจครุ่นคิดยอดเขาเหลี่ยงว่างช่างมีความพยายามในการแย่งคนที่มีความสามารถจริงๆ ดูเหมือนความคิดของศิษย์หนุ่มสาวเหล่านี้จะแน่วแน่กว่าแต่ก่อนเสียอีก
ทว่าพวกเขาไม่เข้าใจ เจ้าล่าเยวี่ยมิใช่คนอย่างที่พวกเขาคิด เช่นนั้นพวกเขาก็มีแต่ต้องกลับไปมือเปล่าอย่างแน่นอน
“ข้ามิได้ไม่พอใจอะไรยอดเขาเหลี่ยงว่าง”
เจ้าล่าเยวี่ยมิได้กล่าวต่อว่าตนเองก็มิได้ไม่พอใจอะไรกู้หานเช่นกัน หากแต่กล่าวต่อว่า “เพียงแต่ ข้าเพียงคิดอยากเรียนเพลงกระบี่ของปรมาจารย์อาจิ่งหยางเท่านั้น”
กั้วหนานซานมองนางพลางกล่าว “แต่ปรมาจารย์อาจิ่งหยางมิอยู่แล้ว”
จิ๋งจิ่วฟังคำพูดนี้แล้วรู้สึกมิค่อยสบอารมณ์ ก็เหมือนกับตอนที่เห็นภาพเหมือนในหอหลังเล็กก่อนหน้านี้
เจ้าล่าเยวี่ยกล่าว “ไม่มีเคล็ดกระบี่ มิได้หมายถึงทั้งหมด ก็เหมือนจิ๋งจิ่ว เขาไม่เคยร่ำเรียนกระบี่ของยอดเขาซื่อเยวี่ย แต่ก็สามารถเอาชนะกู้ชิงได้”
ครั้นได้ยินชื่อกู้ชิง กั้วหนานซานเลิกคิ้วขึ้นมาเล็กน้อย สีหน้ากู้หานเปลี่ยนเป็นดูแย่ขึ้นมา
จิ๋งจิ่งพลันสังเกตเห็น ศิษย์สืบทอดที่เข้ามาใหม่ล้วนแต่ยืนอยู่บนลานต้อนรับ แต่กลับไม่เห็นเงาของกู้ชิง
“จริงอยู่ที่พรสวรรค์ทางวิถีกระบี่ของศิษย์น้องจิ๋งยอดเยี่ยม ทักษะการใช้กระบี่ที่แสดงออกมาบนธารสี่เจี้ยนเมื่อวานนี้ก็วิเศษนัก แต่ถ้าหากเจ้าพบเจอกับผู้ที่แข็งแกร่งจริงๆ ล่ะ?”
กั้วหนานซานมองไปทางจิ๋งจิ่วพลางกล่าว
จิ๋งจิ่วคิดไม่ถึงว่าจะมีเรื่องของตนเองด้วย
“แน่นอน ข้ามิได้คิดว่าสิ่งที่ศิษย์น้องจิ๋งพยายามลองทำบนวิถีกระบี่มันเป็นเรื่องที่ผิดอะไร”
กั้วหนานซานมองดูเขาพลางยิ้มเล็กน้อย จากนั้นกล่าวต่อว่า “ในทางกลับกันข้าเห็นด้วยกับสิ่งที่เจ้าทำ หากเจ้าเคยไปที่ยอดเขาเหลี่ยงว่าง เจ้าจะรู้ว่าวิถีกระบี่ที่ศิษย์ของยอดเขาเหลี่ยงว่างฝึกฝนคือการเรียนรู้ว่าจะสังหารศัตรูอย่างไร มิสนใจวิธีการ ต่อให้ในมือไร้กระบี่ก็ต้องสังหารคน เมื่อดูเช่นนี้แล้ว ความจริงศิษย์น้องจิ๋งนั้นเหมาะกับยอดเขาเหลี่ยงว่างอย่างมาก”
จิ๋งจิ่วกล่าว “ข้านึกว่าพวกท่านไม่ชอบข้าเสียอีก”
กั้วหนานซานกล่าว “ศิษย์พี่กู้เพียงแค่อยากจะขัดเกลาเจ้า พวกเราอยากดูว่าเมื่อต้องเผชิญหน้ากับความกดดัน เจ้าจะมีความกล้าที่จะชักกระบี่หรือไม่ และเมื่อวานเจ้าก็ได้พิสูจน์ตัวเองแล้ว”
เหล่าศิษย์หนุ่มสาวที่อยู่บนลานต้อนรับต่างรู้สึกประหลาดใจ พวกเขาพบว่ายอดเขาเหลี่ยงว่างคิดอยากจะเรียกจิ๋งจิ่วเข้าไปจริงๆ
จิ๋งจิ่วมิได้กล่าวกระไร
กั้วหนานซานมองดูเขา พลางกล่าวต่อว่า “หากปรารถนาจะบรรลุไปบนธรรมวิธี ก่อนอื่นก็จำเป็นต้องเคี่ยวกรำร่างกายให้หนัก ฝึกฝนจิตใจ ขัดเกลาความมุ่งมั่น จึงจะสามารถก้าวไปข้างหน้าได้อย่างห้าวหาญ เจ้าน่าจะเข้าใจในหลักเหตุผลนี้”
จิ๋งจิ่วส่ายหัวพลางกล้าว “วิถีการฝึกฝนของพวกเราแตกต่างกัน สำหรับข้าแล้ว วิถีของพวกท่านมันผิด”
ลมเย็นพัดผ่านต้นสน เสียงใบไม้สั่นไหวคล้ายเสียงคลื่นในทะเล บนลานต้อนรับเงียบสงัด
กั้วหนานซานยังคงยิ้มเล็กน้อย กล่าวว่า “โปรดชี้แนะ”
“พวกท่านคิดว่าควรจะเพิ่มแรงกดดันจากภายนอกเข้าไปให้มากพอ จึงจะทำให้ใจแห่งกระบี่ของเหล่าศิษย์แน่วแน่มิหวั่นไหว”
จิ๋งจิ่วหมายถึงการฝึกสอนที่เข้มงวดและโหดร้ายที่ยอดเขาเหลี่ยงว่างใช้กับเหล่าลูกศิษย์ แล้วก็หมายถึงเรื่องที่พวกเขากดดันหลิ่วสือซุ่ยและจงใจข่มเขาด้วย
“นี่คือการฝึกจากนอกเข้าใน ข้ามิชื่นชอบ ข้าคิดว่าการบำเพ็ญเพียรมันเป็นเรื่องของตัวเราเอง มันควรเป็นความรู้ตัวที่เกิดจากในไปสู่นอก แน่นอนว่าสำหรับศิษย์ทั่วไปแล้ว วิธีไหนมันได้ผลมากกว่า ข้าเองก็มิแน่ใจ ส่วนที่ว่าข้ามิชื่นชอบพวกท่านหรืออคติไปเองนั้น เอาไว้ต่อไปข้าจะพยายามมองพวกท่านอย่างเป็นกลาง”
จิ๋งจิ่วยื่นมือไปตบไหล่กั้วหนานซาน แสดงออกว่าให้กำลังใจ
กั้วหนานซานเป็นศิษย์อันดับหนึ่งของท่านเจ้าสำนัก เป็นหัวหน้าลูกศิษย์ของยอดเขาเหลี่ยงว่าง เรียกได้ว่าเป็นผู้นำของศิษย์รุ่นที่สาม เขาทำอะไรเปิดเผย นิสัยอ่อนโยน เรียกได้ว่าแตกต่างจากเหล่าศิษย์บนยอดเขาเหลี่ยงว่างที่นิสัยเย็นชาและมองไม่เห็นผู้อื่นอยู่ในสายตาเหล่านั้น แต่เวลาศิษย์ธรรมดาพบเจอเขา มีใครบ้างไม่เกรงกลัว จะมีใครเป็นเหมือนจิ๋งจิ่วที่กล้าใช้น้ำเสียงเช่นนี้พูดกับเขา? อีกทั้งยังไปตบไหล่เขา!
บนลานต้อนรับเงียบกริบ
มิรู้เพราะเหตุใด นอกจากอาการตกตะลึงเล็กน้อยในตอนแรกแล้ว กั้วหนานซานมิได้มีอาการโกรธเกรี้ยวเลย คล้ายว่าสิ่งที่จิ๋งจิ่วทำมันเป็นเรื่องที่สมควร
เขามองจิ๋งจิ่ว คล้ายมองดูอาจารย์อย่างไรอย่างนั้น
ความรู้สึกเช่นนี้…มันแปลกประหลาดยิ่งนัก ไม่ดีเลย เขาขมวดคิ้วขึ้นมา
กู้หานจ้องมองจิ๋งจิ่ว พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “ไม่เคารพอาจารย์ ไม่รู้จักละอาย เจ้าคิดว่าเจ้าตามศิษย์น้องขึ้นยอดเขาที่เก้าแล้วจะทำอะไรตามใจชอบได้อย่างนั้นหรือ? เจ้าอย่าได้พยายามเข้าไปยังยอดเขาเหลี่ยงว่างอีกล่ะ หากเจ้ามิสนใจ เช่นนั้นข้าก็อยากรู้เหมือนกันว่าหลังจากนี้เจ้าจะเรียนกระบี่อะไร!”
สืบทอดกระบี่ของยอดเขาเสินม่อ แต่กลับไม่มีเคล็ดกระบี่ สำหรับทุกคนแล้ว นี่คือปัญหาที่ใหญ่ที่สุดของเจ้าล่าเยวี่ยและจิ๋งจิ่วในเวลานี้
เจ้าล่าเยวี่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “นี่เป็นปัญหาของพวกเรา”
พวกเรา
เมื่อได้ยินคำนี้ ความอดทนของกู้หานขาดผึง มุมปากกระตุกขึ้นมาเล็กน้อย เขามองเจ้าล่าเยวี่ยพลางกล่าว “ศิษย์น้อง…คนที่ไร้ยางอายเยี่ยงนี้…”
เจ้าล่าเยวี่ยเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย
จิ๋งจิ่วกล่าว “เจ้าผิดแล้ว”
กู้หานยิ้มเยือกเย็นพลางกล่าว “ข้าพูดผิดตรงไหน? เจ้าคิดว่าการที่มองไม่เห็นทางขึ้นเขา แล้วจะเดาไม่ได้อย่างนั้นหรือว่าเจ้าขึ้นไปยอดเขาได้อย่างไร? ตอนนี้ศิษย์ในยอดเขาทั้งเก้า มีผู้ใดบ้างมิรู้ถึงความไร้ยางอายของเจ้า?”
จิ๋งจิ่วกล่าว “ข้าหมายถึงการขานเรียกของเจ้ามันผิด ตอนนี้เจ้ามิอาจเรียกนางว่าศิษย์น้องได้อีก หากแต่ต้องเรียกนางว่าเจ้ายอดเขา หรือไม่ก็อาจารย์อา”
สายลมพัดผ่านต้นไม้ เสียงซ่าๆ ดังขึ้น คล้ายเป็นเสียงตอบรับ
บนลานต้อนรับที่เงียบสงัด ครั้นเหล่าศิษย์ได้ยินคำพูดนี้ รู้สึกน่าขันยิ่งนัก แต่ในตอนที่ครุ่นคิดอย่างถี่ถ้วน พวกเขากลับแตกตื่นกันขึ้นมา
จิ๋งจิ่วมิได้พูดจาส่งเดช
เจ้าล่าเยวี่ยสืบทอดกระบี่ยอดเขาเสินม่อสำเร็จ ก็ควรจะถือเป็นศิษย์ที่ถือกำเนิดขึ้นมาใหม่ของปรมาจารย์อาจิ่งหยาง พูดอีกอย่างก็คือในตอนนี้นางมีความอาวุโสเทียบเท่ากับเจ้าสำนัก หยวนฉีจิงและเจ้าแห่งยอดเขาต่างๆ รวมทั้งเหล่าผู้อาวุโสเหล่านั้นด้วย!
ไม่ว่าจะเป็นกั้วหนานซานหรือกู้หาน ต่อให้พวกเขาเป็นหัวกะทิในบรรดาศิษย์รุ่นที่สาม หากเจอนางก็ต้องขานเรียกนางเจ้ายอดเขา หรือไม่ก็อาจารย์อา!
กั้วหนานซานสีหน้าผิดหวังเล็กน้อย แต่ก็ได้สติขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เขายิ้มแห้งๆ พลางส่ายศีรษะ
กู้หานเกรี้ยวโกรธจนหัวร่อออกมา เขามองจิ๋งจิ่วพลางกล่าว “หรือข้ายังต้องเรียกเจ้าว่าอาจารย์อาด้วย?”
จิ๋งจิ่วกล่าว “ใช่น่ะสิ”
กู้หานตะลึงลาน
เหล่าศิษย์ที่อยู่บนลานต้อนรับต่างตะลึงลาน
เมื่อวานนี้เจ้าล่าเยวี่ยและจิ๋งจิ่วยังเป็นเพียงศิษย์ขั้นล้างกระบี่ธรรมดาๆ แต่วันนี้กลับกลายเป็นผู้อาวุโสของทุกคน?
“เอ่อ ข้านึกขึ้นได้ว่ามีบางเรื่องที่อาจารย์สั่งมาแล้วข้ายังมิได้จัดการเลย”
สาวน้อยจากยอดเขาชิงหรงผู้หนึ่งพูดขึ้นมากับเพื่อนของนางโดยมิได้มองมาทางจิ๋งจิ่ว จากนั้นจึงเดินออกไปจากลานต้อนรับ
ไม่นาน ด้วยเหตุผลต่างๆ นาๆ เหล่าลูกศิษย์ที่อยู่บนลานต้อนรับพากันสลายตัวไป ก่อนออกไปก็มิได้เข้ามาร่ำลากั้วหนานซานและกู้หานเหมือนอย่างทุกที
ไม่เช่นนั้นจะให้ทำอย่างไร? หรือจะให้พวกเขาขานเรียกจิ๋งจิ่วว่าอาจารย์อาจริงๆ?
กั้วหนานซานหัวเราะแห้งๆ ขึ้นมา กล่าวว่า “อาจารย์อา”
กู้หานสีหน้าบึ้งตึง หมุนตัวเดินจากไป
…………………………………………………………………