กู้ชิงหันหน้ามามองเขา พลางถามอย่างไม่เข้าใจ “ทางนั้น?”
หลิ่วสือซุ่ยมองดูรอบๆ พลางกล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “ยอดเขาเสินม่อ”
กู้ชิงตะลึงลาน กล่าวว่า “ข้ามิใช่ศิษย์สืบทอดกระบี่ ไม่มีสิทธิ์”
หลิ่วสือซุ่ยกล่าวว่า “เมื่อก่อนเจ้าก็มิใช่ศิษย์สืบทอดกระบี่ แล้วทำไมจึงอยู่บนยอดเขาเหลี่ยงว่างได้?”
กู้ชิงกล่าว “ตอนนั้นข้าเป็นเด็กติดตาม จัดอยู่ในประเภทผู้ดูแลงานจิปาถะ”
“เช่นนั้นเจ้าก็ไปเป็นผู้ดูแลที่ยอดเขาเสินม่อได้”
หลิ่วสือซุ่ยกล่าว “คอยดูแลเรื่องต่างๆ ให้คนผู้นั้น ความจริงแล้วง่ายมาก ทุกวันก็แค่ต้มน้ำชงชา ปูเตียงพับผ้าห่ม ปัดกวาดที่พัก จากนั้นก็ไม่มีอะไรแล้ว”
กู้ชิงกล่าว “ฟังดูเหมือนจะน้อยจริงๆ”
หลิ่วสือซุ่ยคิดๆ ไปก็รู้สึกโมโหขึ้นมาเล็กน้อย กล่าวว่า “คนผู้นั้นเกียจคร้านจนน่าเหลือเชื่อ ทั้งวันเอาแต่หลับตาพักผ่อน ยังจะมีเรื่องอะไรให้ทำอีก?”
กู้ชิงกล่าว “ข้าเคยได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับจิ๋งจิ่ว เขาเกียจคร้านถึงเพียงนี้จริงหรือ?”
หลิ่วสือซุ่ยมองดูเขาพลางกล่าวอย่างจริงจัง “ไม่ว่าเจ้าจะคิดอย่างไร เขาก็เกียจคร้านกว่าที่เจ้าคิดเอาไว้”
กู้ชิงรู้สึกกลุ้มใจเล็กน้อย ที่มากกว่านั้นคือเสียใจ ภายในใจครุ่นคิดคนที่เกียจคร้านถึงเพียงนี้ เหตุใดจึงเอาชนะตนได้อย่างง่ายดาย?
เขารู้สึกหวั่นไหวขึ้นมาอีกครั้ง
สภาวะของเขาตอนนี้สูงกว่าจิ๋งจิ่ว แต่งานชุมนุมเฉิงเจี้ยนในวันนั้นแสดงให้เห็นแล้วว่าจิ๋งจิ่วมีคุณสมบัติพอที่จะชี้แนะเขา
ยอดเขาเสินม่อในเวลานี้ มีเพียงเจ้าล่าเยวี่ยและจิ๋งจิ่วเพียงสองคนเท่านั้น หากเขาเข้าไปในฐานะผู้ดูแล ไม่แน่อาจจะได้รับการช่วยเหลือในด้านใดด้านหนึ่งก็เป็นได้
เพียงแต่จิ๋งจิ่วจะยินยอมหรือเปล่า?
เขาส่ายหน้าอย่างจนปัญญา กล่าวว่า “แม้นเขาจะมิได้โกรธเคืองพี่หาน แต่เขาก็ไม่มีเหตุผลที่จะช่วยข้า”
หลิ่วสือซุ่ยคิดถึงความสัมพันธ์ระหว่างจิ๋งจิ่วและกู้ชิง จึงถอนใจออกมาเช่นเดียวกัน
“ไม่ว่าอยากไร ข้าก็ยังคิดว่าเจ้าไม่ควรจากไป แม้นตอนนี้เจ้าจะยังมิได้สืบทอดกระบี่ สามารถย้ายไปยังสำนักอื่นได้ แต่ว่า…”
กู้ชิงนิ่งเงียบไปครู่ ก่อนกล่าวต่อว่า “เรื่องบางเรื่องอีกไม่นานก็จะวนมาถึงตัวข้าแล้ว ลูกศิษย์ของยอดเขาเหลี่ยงว่างต้องเตรียมตัวเสียสละเพื่อชิงซานอยู่ตลอดเวลาใช่ไหมล่ะ?”
……
……
กู้ชิงมิได้นอนทั้งคืน ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจฟังคำแนะนำของหลิ่วสือซุ่ย ตอนนี้ยังไม่ออกไปจากชิงซาน ขณะเดียวกันก็คิดอยากลองดูว่าหนทางนั้นจะเดินต่อไปได้หรือไม่
รุ่งเช้าวันที่สอง ทันทีที่ริมธารมีเสียงคนดังขึ้น เขาก็ออกมาจากถ้ำแล้วมุ่งหน้าไปทางยอดเขาเสินม่อ
เขายืนอยู่ด้านล่างยอดเขา ได้ยินเสียงร้องของเหล่าวานรที่ดังมาจากในป่า ภายในใจรู้สึกวิตกกังวล
เพราะกลัวจะถูกมองว่าไม่มีมารยาท เขาจึงมิได้ขี่กระบี่ขึ้นไป หากแต่เดินเท้าขึ้นไปแทน โชคดีที่ระหว่างทาง วานรเหล่านั้นเพียงแต่มองอาคันตุกะคนแรกนับแต่ที่ยอดเขาเสินม่อปลดข่ายพลังป้องกันผู้นี้อย่างสนใจ แต่มิได้เข้ามาขวางทางเขาและค้นตัวเขาเพื่อหาสิ่งของอะไร
ในตอนที่มาถึงปลายสุดของยอดเขา ดวงอาทิตย์ยามเช้าได้ลอยพ้นหมู่ยอดเขาขึ้นมาแล้ว แสงสีแดงปกคลุมหน้าผา ดูอบอุ่นยิ่งนัก
น้ำค้างบนเก้าอี้ไม้ไผ่หายไป จิ๋งจิ่วลืมตาขึ้น ครั้นมองเห็นเขาก็รู้สึกแปลกใจ จากนั้นยื่นมือไปหยิบก้อนหินก้อนเล็กๆ ขึ้นมาจากพื้นแล้วดีดไปข้างหลัง
ก้อนหินก้อนนั้นพุ่งผ่านอากาศ จากนั้นทะลุผ่านห้องด้านหน้าออกไปจากแม่นยำ ราวกับมีดวงตา ก้อนหินวนอ้อมเสาไปกระแทกถูกกระจกทองแดง ส่งเสียงดังชัดเจน
เจ้าล่าเยวี่ยเดินออกมา กล่าวถามว่า “มีเรื่องอะไร?”
จิ๋งจิ่วชี้ไปยังกู้ชิงที่ยืนอยู่ไม่ไกล กล่าวว่า “คล้ายมีแขก”
กู้ชิงคำนับเจ้าล่าเยวี่ย กล่าวว่า “คารวะศิษย์พี่…ไม่สิ…อาจารย์อา”
คำพูดที่จิ๋งจิ่วพูดบนลานต้อนรับแพร่กระจายไปในหมู่ลูกศิษย์ของยอดเขาทั้งเก้า
เขาโตกว่าเจ้าล่าเยวี่ยปีหนึ่ง แม้นจะขานเรียกอาจารย์อาออกมา แต่ก็ยังอดรู้สึกกระอักกระอ่วนมิได้
เจ้าล่าเยวี่ยเองก็มิค่อยชินกับการถูกเรียกอาจารย์อา นางตกตะลึงเล็กน้อยก่อนจะได้สติกลับมา กล่าวถามว่า “มีเรื่องอะไร?”
กู้ชิงมิรู้จะเอ่ยปากเช่นไร
เมื่อเห็นสีหน้าเขา เจ้าล่าเยวี่ยก็เดาได้ กล่าวว่า “เจ้ามิใช่ศิษย์สืบทอดกระบี่ ดังนั้นพวกเราจึงไม่อาจรับเจ้าได้”
กู้ชิงกล่าว “ตอนนี้ยอดเขาเสินม่อต้องการผู้ดูแลหรือไม่?”
“ที่นี่มิใช่ยอดเขาเหลี่ยงว่าง พวกเราไม่คิดรับผู้ดูแล”
เจ้าล่าเยวี่ยมองเขาพลางกล่าวอย่างจริงจัง “เจ้าไม่ควรต้องมาทำงานยกชาเทน้ำพวกนี้ สำนักชิงซานมีผู้ดูแลเพิ่มมาคนนึงก็มิได้มีประโยชน์อะไร”
กู้ชิงเข้าใจความหมายของนาง มิได้รู้สึกผิดหวังอะไร เพราะเขาเพียงคิดอยากมาลองดู
คำพูดของเจ้าล่าเยวี่ยแฝงเอาไว้ด้วยความรู้สึกให้ความสำคัญ ทำให้เขารู้สึกสงบลงกว่าเดิมมาก แต่หากต้องรอไปอีกสามปี มันยังจะมีประโยชน์อันใด?
กู้ชิงคำนับอีกครั้ง จากนั้นหมุนตัวเตรียมลงจากเขา
ทันใดนั้นพลันมีเสียงหนึ่งดังขึ้น
“เขาลูกนี้ใหญ่มาก”
กู้ชิงชะงักฝีเท้ามองไป เขารู้สึกไม่ค่อยเข้าใจ
จิ๋งจิ่วเอนกายอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่ มิได้เหลียวหน้ากลับมา เขากล่าวกับตัวเองว่า “มีแค่ลิงพวกนั้นที่อยู่ที่นี่ โล่งเกินไป”
กู้ชิงพลันเข้าใจทันที
ต่อให้ไม่สามารถสืบทอดกระบี่ได้ เขาก็ยังสามารถสร้างที่พักขึ้นมาในยอดเขานี้ได้ ในกฎของชิงซานก็มิได้มีบอกเอาไว้ว่าทำมิได้
……
……
นี่เป็นการมายังยอดเขาซั่งเต๋อครั้งแรกของหลิ่วสือซุ่ย แล้วก็เป็นครั้งแรกที่เขาถูกยอดเขาซั่งเต๋อสอบถาม
สีหน้าเขาขาวซีดเล็กน้อย สองมือที่วางอยู่ข้างกายสั่นระริกขึ้นมาเบาๆ
บางทีอาจเป็นเพราะตื่นเต้น บางทีอาจเป็นเพราะหวาดกลัว บางทีอาจเป็นเพราะหนาวเย็น
การตกแต่งภายในถ้ำดูธรรมดา มองไม่ออกเลยว่ามีความเกี่ยวข้องกับพวกห้องคุมขังอย่างไร แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด หลิ่วสือซุ่ยจึงมักรู้สึกว่าผนังและพื้นของถ้ำมีไอเย็นแผ่กระจายออกมาตลอดเวลา ปราณกระบี่ที่หมุนเวียนอยู่ในกายอย่างเงียบๆ ไม่สามารถสร้างความอบอุ่นให้ได้มากเท่าไร
แต่แน่นอน สาเหตุของความหนาวเหน็บนี้อาจจะมาจากอาจารย์เซียนจากยอดเขาซั่งเต๋อที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ก็เป็นได้
สีหน้าของอาจารย์เซียนจากยอดเขาซั่งเต๋อผู้นั้นเย็นชายิ่งนัก คล้ายกับบ่อน้ำที่ใกล้จับตัวเป็นน้ำแข็ง
อาจารย์เซียนท่านนี้ชื่อต้วนเหลียนเถียน ว่ากันว่าวิธีการสืบสวนของเขารับมือด้วยยากที่สุด
เขามองดูใบหน้าอันไร้เดียงสาของหลิ่วสือซุ่ย ก่อนจะเผยรอยยิ้มแปลกๆ ออกมา “ในคืนนั้น เจ้ามิได้อยู่ที่ห้องของเจ้า เช่นนั้นเจ้าไปที่ไหน?”
ครั้นได้ยินคำถามนี้ หลิ่วสือซุ่ยนิ่งเงียบไปครู่ใหญ่
ในคืนนั้น อาจารย์อาจั่วแห่งยอดเขาปี้หูถูกคนสังหาร ศพของเขาถูกพบอยู่ข้างลำธารสายหนึ่ง
ในคืนนั้น หลิ่วสือซุ่ยออกจากถ้ำ แอบไปหาจิ๋งจิ่ว แต่ผลปรากฏว่าจิ๋งจิ่วไม่อยู่
วันที่สอง เขาก็รู้แล้วว่าผู้ที่สังหารอาจารย์จั่วผู้นั้นคือจิ๋งจิ่ว เพราะจิ๋งจิ่วเป็นคนบอกเขาเอง
“เพราะฝึกกระบี่ไม่ราบรื่น จิตใจไม่สงบ ข้าก็เลยออกไปเดินๆ ขอรับ”
หลิ่วสือซุ่ยมองดูน้ำค้างแข็งที่จับตัวอยู่บนก้อนอิฐพลางกล่าว
ต้วนเหลียนเถียนจ้องมองดวงตาของเขา กล่าวว่า “มีคนยืนยันได้ไหม?”
หลิ่วสือซุ่ยเงยหน้าขึ้นมา กล่าวว่า “ไม่ทราบขอรับ คิดว่าน่าจะมีคนเห็นข้า”
ต้วนเหลียนเถียนหรี่ตาเล็กน้อย กล่าวว่า “เจ้าไปที่ใด?”
หลิ่วสือซุ่ยกล่าว “เดินไปเรื่อยๆ ไม่มีทิศทาง”
ต้วนเหลียนเถียนกล่าว “เจ้ารู้ใช่ไหมว่าแบบนี้มันไม่สามารถล้างข้อสงสัยได้?”
หลิ่วสือซุ่ยกล่าวอย่างดื้อดึง “เดิมทีมันก็มิได้เกี่ยวข้องกับข้า เหตุใดข้าต้องล้างข้อสงสัยด้วย?”
“อย่าคิดว่าเจ้าเป็นศิษย์สายตรงของยอดเขาเทียนกวงแล้วข้าจะมิกล้าลงโทษเจ้านะ”
ต้วนเหลียนเถียนยิ้มเยือกเย็น กล่าวว่า “แม้นสภาวะของเจ้าจะยังต่ำต้อย ไม่มีทางที่จะสังหารศิษย์น้องจั่วได้ แต่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ อย่างการส่งข่าวสารมันไม่จำเป็นต้องอาศัยสภาวะ”
หลิ่วสือซุ่ยมิได้กล่าวกระไรอีก
“อีกไม่กี่วัน ข้าจะถามเจ้าอีกครั้ง”
ต้วนเหลียนเถียนส่งสัญญาณบอกให้เขาออกไปได้ สุดท้ายกล่าวว่า “หวังว่าถึงตอนนั้น เจ้าจะมีคำตอบดีๆ ให้ข้านะ”
เมื่อเดินออกมาจากถ้ำ หลิ่วสือซุ่ยเงยหน้า ก่อนจะเห็นดวงอาทิตย์อันร้อนแรงอยู่บนฟ้า ร่างกายรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาเล็กน้อย
หม่าหวากำลังรอเขาอยู่
ตอนอยู่ที่ธารสี่เจี้ยน หม่าหวาเป็นคนดูแลสถานที่พักของหลิ่วสือซุ่ยและเพื่อนร่วมสำนักในห้องแรก
ในคืนนั้น คนที่พบว่าหลิ่วสือซุ่ยแอบออกไปก็คือเขา
หลิ่วสือซุ่ยเดินผ่านเขาไป มิได้หยุดฝีเท้าแม้แต่น้อย แล้วก็มิได้กล่าวกระไร
มือของหม่าหวาที่เตรียมจะตบไหล่เขาค้างเติ่งกลางอากาศ บนใบหน้าอ้วนๆ มีรอยยิ้มกระอักกระอ่วนปรากฏขึ้นมา
……………………………………………………….