จิ๋งจิ่วกล่าว “หากจิ่งหยางยังมีชีวิตอยู่ ท่านจะพูดอะไรกับเจ้า?”
เจ้าล่าเยวี่ยย่อมต้องเข้าใจ ที่ปรมาจารย์อาเลือกตนสืบทอดกระบี่ ย่อมต้องหวังว่าสุดท้ายแล้วตนเองจะสามารถขึ้นไปสู่หนทางสู่สวรรค์เส้นนั้นได้ แต่ว่า…หากปรมาจารย์อาเกิดเรื่องจริงๆ นางในฐานะที่เป็นศิษย์สืบทอดกระบี่ จะไม่ไถ่ถามไม่สนใจได้อย่างไร?
จิ๋งจิ่วกล่าว “เมื่อครู่ข้าขี่กระบี่ไปกับเจ้า สายตามองดูแผ่นดินเบื้องล่าง สายน้ำดูคล้ายกิ่งไม้ น้ำที่ไหลเชี่ยวนิ่งสงบเมื่ออยู่ในสายตาข้า เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้? เพราะพวกเราบินอยู่สูงพอ ระยะห่างระหว่างเรากับแผ่นดินไกลพอ นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมผู้บำเพ็ญพรตจึงต้องรักษาระยะห่างจากโลกปุถุชนเอาไว้
เจ่าล่าเยวี่ยกล่าว “หากไม่สามารถลงไปยังพื้นด้านล่างได้ ต่อให้บินสูงขึ้นไปอีก มันยังจะมีความหมายอันใด?”
จิ๋งจิ่วกล่าว “เป้าหมายของการบำเพ็ญเพียร มิใช่การช่วงชิงเอาชนะ แล้วก็หาใช่การไล่หาความหมายไม่ หากแต่เป็นการบินให้สูงขึ้นไป”
เจ้าล่าเยวี่ยถาม “เพื่ออะไร?”
จิ๋งจิ่วกล่าว “ธรรมวิถีแสวงหาอายุยืนยาว เพื่อจะได้มีเวลาในการมองดูโลกนี้มากขึ้น บินสูงขึ้นไป ก็เพื่อจะได้มองได้ไกลขึ้น ทั้งหมดก็เพื่อสิ่งนี้ กล่าวกันว่าผู้บำเพ็ญพรตไร้ซึ่งความรู้สึก คำกล่าวนี้มิผิด นั่นเพราะผู้บำเพ็ญพรตไม่เคยมองสิ่งที่อยู่ตรงหน้า หากแต่มองเพียงสิ่งที่อยู่ไกลออกไป ในใจสามารถไร้ซึ่งสายน้ำ เพราะต้องใส่ฟ้าดินลงไป”
เจ้าล่าเยวี่ยมิได้ตอบโต้อะไรในคำพูดนี้ของเขา กล่าวว่า “ข้ารู้ว่าเจ้าเคยบิน”
มีเพียงผู้ที่เคยโบยบินอย่างอิสระบนผืนนภาอันกว้างใหญ่ ถึงจะได้สงบนิ่ง ไร้ซึ่งความตื่นเต้นใดๆ ในการขี่กระบี่บินครั้งแรกเหมือนอย่างจิ๋งจิ่ว
จิ๋งจิ่วมิได้กล่าวกระไร เขาย่อมต้องเคยบิน เขาเคยไปยังสถานที่ที่ไม่เคยมีผู้ใดไปมาก่อน เคยเห็นทิวทัศน์ที่ไม่เคยมีผู้ใดเห็นมาก่อน ดังนั้นเขาจึงกระจ่างแจ้งกว่าใครๆ ว่าชีวิตควรถูกใช้ยังที่ใด ไม่ควรใช้ไปกับการคิดวางแผนชั่วร้าย แล้วก็ไม่ควรใช้ไปกับการแก้เเค้น —- เหล่านั้นเป็นเพียงวิธีการแก้ไขปัญหา หาใช่ปัญหาที่แท้จริงไม่
แต่ว่า นี่ไม่ใช่เจตนาที่เขากล่าวกับเจ้าล่าเยวี่ยเช่นนั้น เขาเพียงแต่เป็นห่วงนาง จึงคิดอยากจะเตือนนางให้ล้มเลิก
หากสาวน้อยนางนี้สืบเจออะไรเข้าจริงๆ เขากังวลว่าตัวเองจะไม่สามารถปกป้องนางได้
แม้นเขาจะเป็นจิ๋งจิ่ว
……
……
รุ่งเช้าวันที่สอง ลิงส่งเสียงร้อง จิ๋งจิ่วที่อยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่ตื่นขึ้นมา
ถ่านเงินเผาไหม้อยู่ในเตา น้ำในกาน้ำชาเพิ่งเดือดพล่าน ส่งเสียงหวีดดัง กู้ชิงถือพัดกลมอันเล็ก นั่งคู้อยู่หน้าเตา ท่าทางดูช่ำชองยิ่งนัก
“สือซุ่ยบอกเจ้าหรือ?” จิ๋งจิ่วถาม
กู้ชิงเขินอายเล็กน้อย กล่าวว่า “ใช่”
จิ๋งจิ่วกล่าว “เจ้าไม่จำเป็นต้องทำเรื่องพวกนี้”
กู้ชิงกล่าว “ตอนอยู่ยอดเขาเหลี่ยงว่าง ข้าก็ทำเรื่องพวกนี้บ่อยๆ”
ก่อนหน้าที่จะได้พิสูจน์พรสวรรค์บนวิถีกระบี่ของตนเอง เขาเป็นเพียงเด็กติดตามที่ตระกูลกู้ส่งไปยังยอดเขาเหลี่ยงว่างเพื่อรับใช้กั้วหนานซาน
ปูเตียงพับผ้าห่ม ต้มชารินน้ำ งานพวกนี้เขาเคยทำมาแล้วมากมาย
เจ้าล่าเยวี่ยเดินออกมาจากถ้ำ ครั้นเห็นภาพนี้จึงกล่าวกับเขาตรงๆ “กู้หานจะโกรธเอาได้”
กู้ชิงมิได้กล่าวกระไร หลังน้ำเดือดแล้ว เขาก็เทมันลงในกาน้ำชา ก่อนกล่าวลาเดินจากไป
เจ้าล่าเยวี่ยมองดูกู้ชิงที่อยู่บนทางขึ้นเขา พลางกล่าวถามว่า “เจ้ามองว่าอย่างไร?”
จิ๋งจิ่วกล่าว “พรสวรรค์ไม่เลว แม้นจะไม่เท่าเจ้ากับสือซุ่ย แต่ใจมั่นคงกว่าพวกเจ้า”
เจ้าล่าเยวี่ยถาม “เขาอยู่ในยอดเขาเหลี่งว่างมาตั้งแต่เล็ก เป็นพี่น้องแท้ๆ กับกู้หาน เหตุใดเจ้าถึงรับเขาไว้อีก?”
มีหลายเรื่องที่จิ๋งจิ่วสามารถไม่ถามได้ แต่นางทำไม่ได้
นางเป็นเจ้าแห่งยอดเขา ต้องรับผิดชอบยอดเขาที่เพิ่งปรากฏตัวขึ้นมาใหม่แห่งนี้ คนสองคนในยอดเขาแห่งนี้ และยังมี…ลิงเหล่านั้น”
จิ๋งจิ่วครุ่นคิด กล่าวว่า “อย่างไรเสีย เขาก็มาแล้วนี่นา”
……
……
กู้ชิงกลับมาริมผาเพื่อสร้างที่พักของตนเองต่อ
เขาเคยทำอะไรหลายๆ อย่างมาแต่เล็ก แต่ไหนเลยจะเคยสร้างบ้านมาก่อน เวลานี้ย่อมต้องดูเก้ๆ กังๆ เกรงว่าผ่านไปอีกสิบกว่าวันก็คงไม่มีหวังที่จะสร้างเสร็จ
โชคดีที่เขาเป็นผู้บำเพ็ญพรต แม้นจะไม่สามารถใช้ชีวิตได้ด้วยการกินลมดื่มน้ำค้าง แต่ร่างกายของเขาแข็งแรง นอนอยู่ในป่าก็มิต้องเป็นกังวลว่าจะถูกอากาศหนาวเล่นงานจนป่วยไข้
เขาถือกระบี่ตัดกิ่งไม้ที่อยู่บนท่อนไม้เหล่านั้นไม่หยุด แล้วก็ตัดเถาวัลย์แก่ๆ จากบริเวณหน้าผามาจำนวนมาก เพื่อเตรียมจะใช้มัดไม้ที่ตัดมาเหล่านั้นเข้าด้วยกัน
เขาทำเรื่องเหล่านี้ ไม่รู้เหตุใดเขากลับยิ่งรู้สึกทุกข์ใจ
เขามิได้เป็นเมล็ดพันธุ์แห่งเต๋าแต่กำเนิดเหมือนอย่างเจ้าล่าเยวี่ยและหลิ่วสือซุ่ย แต่พรสวรรค์ของเขาก็โดดเด่นอย่างมากเช่นกัน อายุไม่เท่าไรก็สามารถบรรลุเข้าสู่ขั้นสมความนึกคิด เทียบกับจิ๋งจิ่วแล้วยังสูงกว่าเสียอีก
ตอนนี้จิ๋งจิ่วเป็นศิษย์สืบทอดของยอดเขาเสินม่อ ทุกวันเอาแต่นอนอาบแดดอยู่บนยอดเขา แต่เขากลับต้องมาตัดต้นไม้สร้างบ้านอยู่ที่นี่
หลายวันก่อนเขาไม่รู้ว่าตัวเองควรจะไปที่ใด แต่ตอนนี้กลับไม่รู้ว่าเหตุใดตนเองจึงต้องมาทำเรื่องเหล่านี้
เขามิได้กล่าวโทษ แล้วก็มิได้เกลียดชังด้วยริษยา เขาเพียงแต่เสียใจ
เขาเป็นน้องชายของกู้หาน แต่กลับมิได้เกิดจากแม่คนเดียวกัน ความจริงแล้วเขาเป็นเพียงลูกนอกคอกที่ไม่อยู่ในสายตาตระกูลกู้
ครานั้นตระกูลกู้คิดอยากจะเอาใจกั้วหนานซาน จึงส่งเขาเข้าไปเป็นเด็กติดตามอยู่ในยอดเขาเหลี่ยงว่าง
จนกระทั่งมีเหตุบังเอิญบางอย่าง ทำให้กั้วหนานซานพบพรสวรรค์ทางวิถีกระบี่ของเขา ชีวิตของเขาจึงเกิดการเปลี่ยนแปลง
หลายวันก่อนเขาพ่ายแพ้ให้กับจิ๋งจิ่วในงานชุมนุมเฉิงเจี้ยน กั้วหนานซานมิได้กล่าวกระไร กู้หานตำหนิเขาอย่างรุนแรงไปทีหนึ่ง
จากนั้น ก็เป็นการสังเวย
เขาก้าวออกมายอมรับว่าตัวเองแอบเรียนเพลงกระบี่ เช่นนี้ยอดเขาซั่งเต๋อก็จะไม่สามารถอาศัยเรื่องนี้มาเล่นงานเหล่าศิษย์พี่บนยอดเขาเหลี่ยงว่างได้ หรือแม้กระทั่งผู้อาวุโสที่อยู่บนยอดเขาเทียนกวง เพียงแต่เหตุใดจึงต้องเป็นตัวเองที่เสียสละเล่า? จริงอยู่ที่เขาไม่ควรใช้เพลงกระบี่สุริยันออกมาต่อหน้าผู้คนมากมายขนาดนั้น แต่ว่า…ก็เป็นพวกท่านมิใช่หรือที่ต้องการให้ข้าเอาชนะจิ๋งจิ่วให้ได้?
เขาใช้แขนเสื้อเช็ดน้ำตาที่ตกลงมาบนใบหน้า มือยังคงกำกระบี่ตัดกิ่งไม้ที่อยู่บนท่อนไม้
เวลาผ่านไปอย่างช้าๆ ยอดเขาที่เก้าอาบแสงแดดอันอบอุ่น เขาวางกระบี่ลง เช็ดเหงื่อบนใบหน้า จากนั้นเตรียมพักผ่อน
เขานั่งขัดสมาธิลงไปข้างกองไม้ ดวงตาหลับลง จากนั้นเริ่มดูดซับพลังชีวิตในธรรมชาติ คราบน้ำตาที่ยังหลงเหลืออยู่บนใบหน้าค่อยๆ ถูกลมพัดจนแห้งไป
ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าไร เสียงเยือกเย็นเสียงหนึ่งทำให้เขาตื่นขึ้นมา
“เจ้าอยู่ที่นี่จริงๆ ด้วย”
กู้ชิงหมุนตัวมองไป
กู้หานยืนอยู่ข้างทางขึ้นเขา จ้องมองมาทางเขาด้วยสายตาเยือกเย็น
กู้ชิงหวาดกลัวขึ้นมา เขารีบยันกายลุกขึ้น อ้าหากคิดอยากพูดอธิบาย
สีหน้ากู้หานเย็นชายิ่งนัก คล้ายกับน้ำค้างแข็งจริงๆ
เมื่อรับรู้ได้ถึงความกดดันอันหนักอึ้งนั้น ริมฝีปากกู้ชิงสั่นเทาขึ้นมาเล็กน้อย
แต่ทันใดนั้น มิรู้เขาคิดถึงอะไร ริมฝีปากเขาค่อยๆ หยุดสั่นลง ก่อนจะกลับเป็นปกติ สายตาเขาก็แปรเปลี่ยนเป็นสงบขึ้นมา
เขานิ่งเงียบมิกล่าวกระไร สบตากลับไปหากู้หาน
ด้านหน้าของหน้าผา ทุกอย่างเงียบสงัด
ในดวงตาของกู้ชิง กู้หานมองไม่เห็นความหวาดกลัวอย่างที่คิดเอาไว้ นี่ทำให้เขารู้สึกแปลกใจ
ถึงแม้นับตั้งแต่ที่ติดตามศิษย์พี่หนานซานร่ำเรียนกระบี่ ความหวาดกลัวที่เจ้านอกคอกนี่มีต่อเขามันจะน้อยลงไปมากก็ตาม
สิ่งที่ทำให้เขาโกรธมากกว่านั้นก็คือ ในดวงตาของกู้ชิง กระทั่งความรู้สึกสำนึกผิดก็มองไม่เห็นแม้แต่นิดเดียว
“เจ้าแพ้เพราะใจร้อนเกินไป ใช้เคล็ดกระบี่ที่ศิษย์พี่แอบถ่ายทอดให้ออกมา ถึงได้เป็นแบบนี้”
กู้หานมองดูเขาพลางกล่าวตะโกนอย่างโมโหว่า “หรือเจ้ายังคิดว่าทั้งหมดนี่มันเป็นความผิดของข้า ตัวเองมิได้มีความผิดอะไรเลยอย่างนั้นหรือ?”
กู้ชิงนิ่งเงียบไปครู่ ก่อนกล่าวว่า “ข้ารู้ว่าตัวเองผิด”
กู้หานสีหน้าแปรเปลี่ยนเล็กน้อย
กู้ชิงพูดต่อว่า “ดังนั้นข้าจึงยอมรับว่าตัวเองแอบเรียนกระบี่ ถูกขับออกมาจากยอดเขาเหลี่ยงว่าง ในสามปีมิให้สืบทอดกระบี่ นี่คือค่าตอบแทนที่ข้าต้องจ่าย”
กู้หานตะลึงงัน มิรู้ตัวเองควรจะพูดอะไร
………………………………………………………………..