เมฆฝนเมื่อคืนสลายหายไป
อาทิตย์ยามเช้าร่างเส้นขอบสีแดงคดเคี้ยวเลี้ยวลดอันสวยงามให้แก่หมู่ยอดเขาที่อยู่อีกฟาก
แสงอาทิตย์ตกลงบนยอดเขาชิงหรงที่อยู่ไม่ไกล ค่อยๆ ปัดเป่าเมฆหมอกที่อยู่บนยอดเขา
จิ๋งจิ่วยืนอยู่ริมผา สายตาทอดมองยอดเขาแห่งหนึ่งที่อยู่ไกลออกไป นิ่งเงียบมิกล่าวกระไร
เจ้าล่าเยวี่ยเดินออกมาจากในถ้ำ
เมื่อคืนเป็นอีกคืนหนึ่งที่นางมิได้นอน
ช่วงนี้สมาธิทั้งหมดของนางจดจ่ออยู่ที่เคล็ดกระบี่เล่มนั้น สายตาแทบจะไม่ละไปไหน เวลาหิวก็กินโสมคน กินผลไม้ กระหายก็ดื่มน้ำจากในภูเขา กระทั่งเหนื่อยล้าจนทนไม่ไหว นางถึงจะนั่งขัดสมาธิทำสมาธิครู่หนึ่ง กระทั่งเรี่ยวแรงฟื้นกลับมาบ้างจึงเริ่มฝึกกระบี่ต่อ
ก่อนอาทิตย์อัสดงจู่ๆ นางพลันไขปัญหาที่สำคัญอย่างหนึ่งได้ ขณะที่ดีใจก็รู้ตัวว่าจำเป็นต้องพักผ่อน จึงเดินออกมานอกถ้ำเพื่อผ่อนคลาย
ครั้นมองเห็นจิ๋งจิ่ว นางรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย
ชุดสีขาวของเขาดูสะอาดสะอ้าน คล้ายเป็นชุดที่เปลี่ยนใหม่ แต่ผมของเขากลับเปียกชื้น คล้ายว่าเมื่อคืนตากฝนมา
แม้นจะตากฝนมา เหตุใดจึงไม่ใช้ปราณกระบี่ทำให้ตัวเองแห้ง? เพราะจิ๋งจิ่วกับนางไม่เหมือนกัน เขาไม่เคยนึกเสียดายปราณกระบี่มาก่อน
นางมองตามสายตาของจิ๋งจิ่วไป พบว่าเขากำลังมองดูยอดเขาซั่งเต๋อ
ยอดเขาซั่งเต๋ออยู่ห่างไกลจากที่นี่อย่างมาก แม้นเมฆหมอกบนภูเขาจะเบาบาง แต่ก็ยังไม่อาจมองเห็นได้อย่างชัดเจน
นางกล่าวว่า “เจ้าเพิ่งจะพูดกับข้าไปเองว่ายอดเขาทั้งเก้าไม่ควรจะมาระแวดระวังซึ่งกันและกัน”
จิ๋งจิ่วมิได้กล่าวกระไร เขายังคงมองดูยอดเขาซั่งเต๋ออย่างเงียบๆ
สายตาของเขามิได้เฉยชาเหมือนเวลาปกติ หากแต่กลายเป็นเหมือนกระบี่อันคมกริบ
เขาคล้ายต้องการมองยอดเขาแห่งนั้นจนทะลุปรุโปร่ง จนกระทั่งมองเห็นภาพที่เป็นความลับที่สุดเหล่านั้น
ทันใดนั้นเขาพลันไอออกมา จากนั้นยิ่งไอหนักขึ้นทุกที จนกระทั่งสีหน้าขาวซีด ร่างกายสั่นเทาเล็กน้อย
เจ้าล่าเยวี่ยจ้องมองดวงตาเขาพลางกล่าวว่า “เจ้าได้รับบาดเจ็บ?”
จิ๋งจิ่วสงบลงเล็กน้อย แล้วค่อยๆ กล่าวออกมาว่า “ใช่”
เจ้าล่าเยวี่ยมองดูสีหน้าเขา พลางกล่าว “เจ้าบาดเจ็บหนักมาก”
อาการบาดเจ็บของจิ๋งจิ่วย่อมต้องสาหัสอย่างมาก
ลูกศิษย์ขั้นสมความนึกคิดคนหนึ่ง ถูกไป๋กุ่ยที่ลี้ลับที่สุดและน่ากลัวที่สุดในบรรดาผู้พิทักษ์ทั้งสี่ของชิงซานตะปบซึ่งๆ หน้าแล้วยังไม่ตาย เกรงว่าคงมีเขาเพียงคนเดียวเท่านั้น
ตอนนั้นเพื่อที่สะกดไป๋กุ่ยเอาไว้ เขาจึงดูใจเย็นอย่างมาก แต่ความจริงแล้วเขาเพียงแต่พยายามสะกดอาการบาดเจ็บของตนเอาไว้เท่านั้น
“คนพวกนั้นหรือ?”
เจ้าล่าเยวี่ยถามเสียงเบาๆ “หรือพวกเขาจะรู้แล้วว่าเจ้ากำลังสืบเรื่องนี้อยู่? หรือพวกเขารู้ถึงความสัมพันธ์ของเจ้ากับปรมาจารย์อาแล้ว?”
จิ๋งจิ่วส่ายศีรษะ กล่าวว่า “ข้าเคยบอกแล้ว อย่าสืบเรื่องนี้ต่ออีก”
เจ้าล่าเยวี่ยกล่าว “ข้าเองก็เคยบอกแล้ว ข้าจะสืบเรื่องนี้ต่อไป”
จิ๋งจิ่วนิ่งเงียบไปครู่ จากนั้นกล่าวว่า “ต่อให้ท่านนักพรตจิ่งหยางเกิดเรื่องจริงๆ อาศัยสภาวะของเจ้าในตอนนี้นั้นไม่สามารถเปลี่ยนแปลงแก้ไขใดๆ ได้ นั่นเพราะคู่ต่อสู้ของพวกเราแข็งแกร่งอย่างมาก อีกทั้งโหดร้ายอย่างมาก ดังนั้นสำหรับพวกเราแล้ว ตอนนี้เรื่องที่สำคัญที่สุดก็คือการบำเพ็ญเพียรอย่างเงียบๆ เพื่อยกระดับสภาวะของตนเองให้เร็วที่สุด”
เจ้าล่าเยวี่ยกล่าวอย่างจริงจัง “เจ้าอาจจะไม่รู้จักข้า ข้ามิใช่คนดี ข้าโหดร้ายอย่างมาก”
จิ๋งจิ่วกล่าวอย่างเหนื่อยล้า “นั่นสิ ข้ากลัวจังเลย”
เจ้าล่าเยวี่ยนิ่งเงียบเล็กน้อย กล่าวว่า “มองไม่ออกเลย”
นี่คือการคุยอย่างกระอักกระอ่วนอย่างนั้นหรือ?
จิ๋งจิ่วพลันถามขึ้นมาว่า “เจ้ารู้จักนักพรตไท่ผิงหรือไม่?”
ในฐานะที่เป็นศิษย์ชิงซาน มีหรือที่เจ้าล่าเยวี่ยจะมิรู้จักนักพรตไท่ผิง
นักพรตไท่ผิงคืออดีตเจ้าสำนักรุ่นก่อน เจ้าสำนักคนปัจจุบัน หยวนฉีจิงผู้เป็นกฎแห่งกระบี่ และเจ้าแห่งยอดเขาส่วนใหญ่ล้วนแต่เป็นศิษย์สายตรงของเขา
เขาคือศิษย์พี่ของนักพรตจิ่งหยาง ได้ยินว่านักพรตจิ่งหยางก็เป็นผู้ที่เขาสอนมากับมือ
สภาวะของนักพรตไท่ผิงลึกล้ำดั่งห้วงมหาสมุทร ฝีมือสูงล้ำหาใครเทียบ อีกทั้งมีลูกศิษย์คอยเชิดหน้าชูตา สืบทอดแนวคิดออกไปให้เจริญรุ่งเรือง เรียกได้ว่าเป็นบุคคลที่ยอดเยี่ยมที่สุดในประวัติศาสตร์ชิงซาน ต่อให้เป็นทั่วทั้งโลกแห่งการบำเพ็ญพรต ก็เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในบุคคลอันยิ่งใหญ่ในบรรดาคนไม่กี่คน
หลายปีก่อนหน้านี้ สำนักชิงซานเคยประกาศเขตหวงห้ามแปดร้อยลี้ นักพรตไท่ผิงเก็บตัวบำเพ็ญพรต หลังจากนั้นก็ไม่ได้ปรากฏตัวอีก
ตอนนี้ ทั่วทั้งโลกบำเพ็ญพรตต่างคิดว่านักพรตไท่ผิงได้ตายไปแล้ว เพราะว่าผ่านมาเป็นเวลาหลายปีมากแล้ว
ต่อให้เป็นผู้บำเพ็ญพรตที่ยอดเยี่ยมแค่ไหน ขอเพียงมิอาจบรรลุกลายเป็นเซียน สุดท้ายก็ไม่มีทางเอาชนะคำว่าเวลาได้
เจ้าล่าเยวี่ยมองไปยังส่วนหนึ่งของหมู่ยอดเขา ในใจรู้สึกสับสนเล็กน้อย
เทือกเขาชิงซานที่ทอดยาวหลายพันลี้ นอกจากยอดเขาทั้งเก้าแล้วยังมีสถานที่ลี้ลับอีกมากมาย อย่างเช่นในส่วนลึกของยอดเขามียอดเขาหลายยอดที่มองไม่เห็นตลอดทั้งปี
ปกติยอดเขาเหล่านั้นจะเป็นสถานที่ที่ผู้อาวุโสที่ซ่อนเร้นกายจากโลกภายนอกใช้อยู่อาศัย จึงถูกขนานนามว่ายอดเขาซ่อนเร้น
หนทางสู่สวรรค์ พูดง่ายแต่ทำยาก? หากผู้อาวุโสเหล่านั้นไม่สามารถบรรลุกลายเป็นเซียนได้ พวกเขาก็น่าจะบอกลาโลกนี้ไปอย่างเงียบๆ คล้ายกับนักพรตไท่ผิง
ยอดเขาซ่อนเร้นเหล่านั้น จะแอบซ่อนอยู่ในสายธารแห่งกาลเวลาไปตลอดกาลเช่นนี้ ไม่มีทางถูกค้นพบได้อีกอย่างนั้นหรือ?
จิ๋งจิ่วมิได้รู้สึกทอดถอนใจ เนื่องเพราะเมื่อหลายปีก่อน เขาได้เคยทอดถอนใจเหมือนอย่างเจ้าล่าเยวี่ยมาแล้ว ใจที่มุ่งสู่ธรรมวิธีของเขายิ่งมั่นคง
“ก่อนหน้าที่เขาจะรับตำแหน่งเจ้าสำนัก เขาบำเพ็ญเพียรอยู่ที่นั่นมาโดยตลอด เจ้าสำนักในตอนนี้ หยวนฉีจิง และยังมีอีกหลายๆ คน ตอนนั้นก็อยู่ที่นั่นด้วยเช่นกัน”
เขามองไปทางยอดเขาที่อยู่ไกลออกไปยอดนั้นพลางกล่าว
ยอดเขาที่สามของชิงซาน
ยอดเขาซั่งเต๋อ
เจ้าล่าเยวี่ยมิทราบเรื่องนี้จริงๆ นางคิดถึงคำถามหนึ่งขึ้นมาพลางกล่าวว่า “ปรมาจารย์อาจิ่งหยางเป็นศิษย์น้องของนักพรตไท่ผิง เช่นนั้นท่านเองก็มาจากยอดเขาซั่งเต๋ออย่างนั้นหรือ?”
จิ๋งจิ่วคิดในใจ ถูกต้อง
ดังนั้นเขาจึงคุ้นเคยกับยอดเขาซั่งเต๋อเป็นอย่างดี เขารู้ว่ายอดเขาซั่งเต๋อมีถ้ำหินที่หนาวเย็นอย่างยิ่งอยู่แห่งหนึ่ง ส่วนที่ลึกสุดของถ้ำมีบ่อน้ำอยู่ บ่อน้ำแห่งนั้นมุ่งตรงไปยังใต้ยอดเขาซั่งเต๋อ
ใต้ยอดเขาคือคุกกระบี่ที่สะกดอสูรที่ยากสังหารเอาไว้ และยังมีผู้แข็งแกร่งของพรรคอธรรม สายลับของเผ่าหมิงและเเคว้นเสวี่ย
นอกจากบ่อน้ำนั้น คุกกระบี่ก็ไม่มีทางออกอื่นอีก เช่นนั้นเหลยพั่วอวิ๋นหนีออกมาได้อย่างไร? แล้วเขาล่ะ เขาหนีออกมาได้อย่างไรกัน?”
ตอนอยู่ในหมู่บ้าน ความจริงเขาได้คาดการณ์เอาไว้แล้วว่าจะเกิดผลลัพธ์เช่นนี้ เพียงแต่คิดไม่ถึงเลยว่าอีกฝ่ายจะใช้วิธีเดียวกับตนเอง
อย่างนั้นตอนนี้ท่านอยู่ที่ใด?
หรือว่าข้าต้องกินหม้อไฟทั่วทั้งแผ่นดินถึงจะพบท่านได้?
ต่อให้หาท่านพบแล้ว แล้วจะทำอะไรได้?
จิ๋งจิ่วคิดถึงปัญหาเหล่านี้ คิดจนเหม่อลอย ทุกข์ใจ ก่อนจะไอออกมาอีกครั้ง สีหน้ายิ่งดูขาวซีด
……
……
ปลายสุดของยอดเขาซั่งเต๋อ น้ำค้างแข็งที่เกาะอยู่บนกำแพงหินนับวันยิ่งหนาขึ้น
หยวนฉีจิงยืนอยู่ที่ปากบ่อน้ำ มองดูด้านในอย่างเงียบๆ คิ้วทั้งสองข้างถูกน้ำค้างเกาะจนเป็นสีขาว
ฉือเยี่ยนยืนอยู่อีกด้านหนึ่ง สายตามองดูแผ่นหลังของศิษย์พี่ ในใจรู้สึกสับสน
หลายปีมานี้ ศิษย์พี่มักจะมายืนอยู่ตรงปากบ่อน้ำ แล้วจ้องมองลงไปด้านล่างอยู่เป็นเวลานาน
เขารู้ว่าศิษย์พี่มีอะไรอยู่ในใจ แต่กลับไม่รู้ว่ามันคือเรื่องอะไร
……
……
จิ๋งจิ่วป่วย
ก้าวแรกบนหนทางแห่งการบำเพ็ญเพียรคือฝึกฝนร่างกาย ลมจากหมัดและควันสีขาวที่อยู่ด้านนอกศาลาหนานซงเหล่านั้นคือเครื่องพิสูจน์
ในสำนักชิงซาน ไม่เคยได้ยินว่าใครป่วยมาก่อน
สมุนไพรที่อยู่บนยอดเขาชิงหรงเหล่านั้นใช้รักษาอาการบาดเจ็บ ช่วยเหลือการบำเพ็ญเพียร หาใช่ใช้รักษาอาการเจ็บป่วยไม่
ต่อให้อาการป่วยของจิ๋งจิ่วจะร้ายแรงเพียงใด ก็ไม่มียาใดที่จะรักษาได้
ดังนั้นเขาป่วยครานี้ จึงป่วยเป็นเวลานาน กระทั่งต้นสารทฤดูมาเยือน เขายังคงไออยู่เล็กน้อย
ในช่วงเวลานี้ เขารักษาอาการป่วยของตัวเองอยู่ตลอดเวลา มิได้บำเพ็ญเพียรเลย
เจ้าล่าเยวี่ยย่อมต้องรู้ว่าเขาได้รับบาดเจ็บ มิใช่เจ็บป่วย แต่สำหรับนางแล้ว มาตรว่าจิ๋งจิ่วจะมิได้รับบาดเจ็บ เกรงว่าเขาก็คงมิได้บำเพ็ญเพียรอะไรอยู่ดี
จิ๋งจิ่วมิกังวล ช่วงต้นฤดูร้อนเขาเพิ่งจะเข้าสู่สภาวะสมความนึกคิด ตัวสภาวะยังมิค่อยมั่นคงเท่าไร จากนั้นถูกไป๋กุ่ยโจมตี โอสถกระบี่ได้รับความเสียหายอย่างหนัก แต่เมื่อฟื้นฟูแล้วมันกลับจะยิ่งมีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น
เขาครุ่นคิดถึงชีวิตของตัวเอง บางทีนี่คงจะเป็นความหมายของการทำลายของเก่าแล้วสร้างขึ้นมาใหม่?
……………………………………………