จิ๋งจิ่วครุ่นคิด ก่อนจะกล่าวว่า “บางทีสุดท้ายแล้วพวกเขาอาจจะสำเร็จจริงๆ แต่พวกเขาไม่รู้ว่าแบบนั้นมันทำให้เกิดผลลัพธ์ที่คิดไม่ถึงบางอย่าง ในอดีตศิษย์พี่ก็ทำสำเร็จเหมือนกันมิใช่หรือ? แต่เขาไหนเลยจะคิดถึงว่าภายหลังจะกลายเป็นแบบนั้นได้? แต่ว่า…สือซุ่ยแข็งแกร่งกว่าข้ากับศิษย์พี่ เขาน่าจะผ่านมันไปได้”
แมวขาวมิได้สนใจศิษย์ที่ชื่อสือซุ่ยคนนั้น แต่มันฟังออกว่าจิ๋งจิ่วค่อนข้างเป็นห่วงเด็กคนนั้นอยู่ทีเดียว จึงอดรู้สึกแปลกใจมิได้ มันเหลือบมองเขา ครุ่นคิดในใจเมื่อก่อนเจ้าเอาแต่บำเพ็ญเพียร มิเคยสนใจความเป็นความตายของคนกับแมวมาก่อน เหตุใดตอนนี้ถึงเปลี่ยนไปมากขนาดนี้?
“ข้าว่าจะออกไปเดินเสียหน่อย” จิ๋งจิ่วกล่าว
แมวขาวตกตะลึง กระทั่งขนบนหางก็ยังตั้งชูชันขึ้นมา คิดในใจเจ้ายอมออกจากเขาอย่างนั้นหรือ?
“ไม่สนใจดีกว่า”
จิ๋งจิ่วยื่นนิ้วชี้ไปตรงหน้าแมวขาว
แมวขาวเดินเข้ามาอย่างเป็นธรรมชาติ ก่อนจะเอาแก้มถูไปมา
กระทั่งถูอย่างสบายไปหลายครั้ง มันจึงได้สติขึ้นมา ก่อนจะรีบถอยกลับไปฟุบหมอบอยู่บนขอบหน้าต่าง แสร้งทำเป็นมิรู้เรื่องราว
เวลานี้มันมองจิ๋งจิ่วไม่ออก ดังนั้นจึงมิกล้าลงมือ แต่มันก็มิกล้าใกล้ชิดจิ๋งจิ่วเช่นกัน ด้วยกลัวว่าอาจจะถูกจิ๋งจิ่วลากเข้าไปสู่ปัญหาได้
ไป๋กุ่ยผู้พิทักษ์แห่งชิงซาน มีเรี่ยวแรงพละกำลังที่เทียบเท่าทวยเทพและปีศาจ อีกทั้งมีสภาวะอันน่าหวาดกลัว สถานะความอาวุโสเองก็สูงส่งอย่างมากเช่นกัน
ในอดีตอันยาวนานที่ผ่านมา ทั้งเก้ายอดเขาของชิงซานมีคนเพียงสองคนที่ทำให้มันรู้สึกต้องระมัดระวัง หรือกระทั่งรู้สึกหวาดกลัวได้
มันกลัวจิ๋งจิ่ว แต่มันกลัวศัตรูของจิ๋งจิ่วคนนั้นมากกว่า
จิ๋งจิ่วไร้ความรู้สึก แต่คนผู้นั้นกลับมากความรู้สึก
ไร้ความรู้สึกมิใช่ความเย็นชา เป็นเพียงความหมายตามตัวหนังสือเท่านั้น
แต่มากความรู้สึกกลับมิแน่ว่าจะเป็นเรื่องดี
“อาต้า อยากจะออกไปกับข้าไหม?”
จิ๋งจิ่วถาม
แมวขาวเหลือบมองเขาอย่างดูแคลน
จิ๋งจิ่วกล่าว “เจ้าก็รู้ ข้ามิค่อยเข้าใจเรื่องทางโลกเท่าไรนัก แล้วก็มิเคยเป็นห่วงเป็นใยคนมาก่อน”
แมวขาวมองเขาอย่างขมขื่น คิดในใจเจ้าก็รู้อย่างนั้นหรือ?
จิ๋งจิ่วมิได้กล่าวกระไรอีก
แมวขาวเข้าใจความหมายของเขา จึงยื่นอุ้งเท้าอันอ่อนนุ่มออกไปวาดกลางอากาศเล็กน้อย
กรงเล็บอันแหลมคมยื่นออกมาจากอุ้งเท้าของมัน ดูน่าหวาดกลัวยิ่งกว่ากระบี่ที่เงาแวววาวที่สุด
“ขอบคุณ”
จิ๋งจิ่วลูบหัวของมัน
แมวขาวกัดเขาไปทีหนึ่งอย่างไม่พอใจ แต่แน่นอนว่ามิกล้าออกแรง
……
……
ครั้นกลับมาถึงยอดเขาเสินม่อ ท้องฟ้าก็ยังคงมืดมิด
เมื่อเห็นกระท่อมไม้หลังเล็กที่อยู่ตรงด้านหน้าผาขาด จิ๋งจิ่วครุ่นคิด ก่อนจะเดินไป แล้วผลักประตูเข้าไป
กู้ชิงมิได้นอน หากแต่กำลังศึกษาเพลงกระบี่โดยอาศัยแสงตะเกียง เมื่อเห็นเขา จึงรู้สึกตกใจอย่างมาก
เขามายังยอดเขาเสินม่อได้ครึ่งปี มิเคยเห็นจิ๋งจิ่วออกจากยอดเขามาก่อน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องจะมาหาตนที่นี่
“อีกไม่นานพวกข้าจะไปข้างนอก”
จิ๋งจิ่วกล่าว “เจ้าจะอยู่ในภูเขา หรือจะออกไปข้างนอก?”
กู้ชิงยิ่งตกใจ ในใจครุ่นคิดเหตุใดจู่ๆ จึงจะออกไป? เขานิ่งเงียบไปครู่ จึงกล่าวถามว่า “พวกเจ้าจะไปนานเท่าไร?”
นี่เป็นคำถามที่สำคัญยิ่งนัก
จิ๋งจิ่วรู้ว่าสิ่งที่เขากังวลใจมากที่สุดคือเรื่องอะไร จึงกล่าวว่า “จะกลับมาก่อนงานชุมนุมเฉิงเจี้ยน”
กู้ชิงครุ่นคิด กล่าวว่า “ข้าอยู่ที่นี่ดีกว่า ตั้งใจฝึกกระบี่ แล้วจะได้เฝ้ายอดเขาด้วย”
จิ๋งจิ่วมิได้โน้มน้าวเขา หากแต่กล่าวว่า “หากมีเรื่อง ก็ไปบอกลิง”
กู้ชิงมิค่อยเข้าใจความหมายของเขา ในใจครุ่นคิดว่าจริงอยู่ที่ลิงในยอดเขาเฉลียวฉลาด แต่หากเกิดเรื่องจริงๆ พวกมันจะช่วยอะไรได้? หรือลิงเหล่านั้นจะไปหาคนอื่นมาช่วย?
เขามิได้ถามจิ๋งจิ่ว เพียงแต่เก็บคำพูดนี้เอาไว้ในใจ
……
……
เวลารุ่งสาง การประชุมชิงซาน
มิรู้เป็นเรื่องบังเอิญหรือด้วยเหตุผลอะไรอย่างอื่น นับตั้งแต่ที่ยอดเขาเสินม่อเปิดข่ายพลังปิดกั้นและเจ้าล่าเยวี่ยกลายเป็นเจ้าแห่งยอดเขา กฎเกณฑ์ในการประชุมของชิงซานก็เปลี่ยนไปมาก
โดยปกติกระบี่ของเจ้าแต่ละยอดเขาจะมารวมตัวกันที่ยอดเขาเทียนกวง เจ้าแห่งยอดเขาจะส่งเสียงผ่านมาทางกระบี่ แต่ตอนนี้กลายเป็นตัวแทนของแต่ละยอดเขามารวมตัวหารือที่ตำแหน่งของยอดเขาซีไหลแทน
หลายคนคาดเดาว่าเป็นเพราะเหล่าเจ้าแห่งยอดเขารู้สึกกระอักกระอ่วนที่ต้องเข้าร่วมการประชุมกับเจ้าล่าเยวี่ยซึ่งเป็นอดีตศิษย์รุ่นที่สาม
การคาดเดานี้ยังมีหลักฐานอ้างอิงอื่น นั่นก็คือการประชุมชิงซานครั้งนี้ยังคงคล้ายว่าทั้งตั้งใจและมิตั้งใจลืมแจ้งยอดเขาเสินม่อ
เนื้อหาหลักที่ประชุมในวันนี้คือปัญหาที่ยอดเขาเหลี่ยงว่างพบเจอในการพาลูกศิษย์ออกไปปราบปีศาจที่เมืองเฉาหนานครั้งนี้
ผู้อาวุโสไป๋หรูจิ้งแห่งยอดเขาเทียนกวงมิได้ปิดบังความโกรธของตนเองเลยแม้แต่น้อย กล่าวเสียงดังขอให้รีบส่งศิษย์รุ่นที่สองไปยังแม่น้ำจั๋ว หากเจ้าปีศาจตัวนั้นยังมีชีวิตอยู่ ก็ให้รีบจับมันกลับมา หากตายแล้วก็ให้ลากศพกลับมา ต้องรู้ให้ได้ว่าในส่วนลึกของแม่น้ำจั๋วในคืนนั้นมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
เสียงคำรามดังสะท้อนไปมาในตำหนัก เหมยหลี่และคนอื่นๆ มิได้กล่าวกระไร พวกเขารู้ว่าเหตุใดไป๋หรูจิ้งจึงโกรธเกรี้ยวถึงเพียงนี้ เพราะจนถึงตอนนี้ หลิ่วสือซุ่ยยังคงสลบไสลมิได้สติ
“เหล่าศิษย์น้องที่ยอดเขาซื่อเยวี่ยได้ตรวจดูแล้ว ในร่างกายของหลิ่วสือซุ่ยนั้นมีไฟพิษอยู่มากจริงๆ แต่…เห็นได้ชัดว่ามีความผิดปกติ”
ผู้อาวุโสสือหมิงเซวียนจากยอดเขาอวิ๋นสิงกล่าวด้วยน้ำเสียงแปลกๆ ว่า “ข้าสงสัยว่าเขากินอะไรเข้าไปหรือเปล่า ไว้ถามเขาตอนที่ตื่นขึ้นมาก็จะรู้เอง”
ทุกคนที่อยู่ในตำหนักต่างรู้ว่าสิ่งที่เขาสงสัยคือสิ่งใด ความจริงหลังจากยอดเขาซื่อเยวี่ยมาตรวจดู นี่ก็เป็นสิ่งที่หลายๆ คนคาดเดากัน
ไป๋หรูจิ้งย่อมต้องปกป้องศิษย์ของตน จึงกล่าวเสียงแข็งว่า “ความจริงยังมิปรากฏ อย่าใส่ร้ายคนอื่น!”
สือหมิงเซวียนแค่นหัวเราะ “ความจริงยังมิปรากฏ อย่าใส่ร้ายคนอื่น ช่างเป็นคำพูดที่ดีจริงๆ เช่นนั้นข้าขอถามหน่อย ในเมื่อความจริงยังมิปรากฏ เหตุใดเจี่ยนหรูอวิ๋นจึงถูกขังเอาไว้ล่ะ!”
ทุกคนต่างรู้ ก่อนที่เจี่ยนหรูอวิ๋นจะเข้าไปยังยอดเขาเหลี่ยงว่าง เขาคือลูกศิษย์ของสือหมิงเซวียน
“เจี่ยนหรูออวิ๋นปกป้องได้ไม่ดี ย่อมต้องถูกลงโทษ!”
“ปราบมารกำจัดปีศาจมันก็เป็นเรื่องที่อันตรายอยู่แล้ว หรือยังต้องเป็นแม่นมด้วย?”
“สือหมิงเซวียน เจ้าอย่าคิดว่าขึ้นมาอยู่สูงเช่นนี้แล้วจะเสียมารยาทต่อยอดเขาเทียนกวงของข้าแบบนี้ได้นะ!”
“จุ๊ๆๆ มิเสียทีที่เป็นยอดเขาอันดับหนึ่งแห่งชิงซาน ช่างวางอำนาจบาตรใหญ่ไร้ซึ่งเหตุผลจริงๆ หรือยอดเขาอวิ๋นสิงของข้าเป็นลูกน้องของเจ้า?”
ในชั่วขณะหนึ่งนั้น ภายในตำหนักของยอดเขาซีไหลได้ยินเพียงเสียงตะโกนด้วยความโกรธของไป๋หรูจิ้งและเสียงพูดแปลกๆ ของสือหมิงเซวียน
เจ้าแห่งยอดเขาซีไหลส่ายศีรษะ คิดจะพูดตักเตือนเสียได้ แต่ทันใดนั้นพลันรับรู้ได้ถึงอะไรบางอย่าง สองคิ้วขมวดขึ้นมาเล็กน้อย มิได้กล่าวกระไร
เหมยหลี่มองออกไปด้านนอกตำหนัก สีหน้าแปลกเล็กน้อย ในใจครุ่นคิดเกิดเรื่องอะไรขึ้น เหตุใดใจแห่งกระบี่ของตนถึงไม่สงบขึ้นมา?
ไม่นาน ข่าวๆ หนึ่งก็ถูกส่งจากศาลาหนานซงเจ้ามายังในสำนัก ก่อนจะกระจายไปในยอดเขาทั้งเก้าอย่างรวดเร็ว
เจ่าล่าเยวี่ยและจิ๋งจิ่วออกไปจากสำนักแล้ว
ไปแล้ว? ไปแบบนี้เลยหรือ?
ไป๋หรูจิ้งสีหน้าแปลกใจเล็กน้อย กล่าวว่า “เจ้า…นางเป็นยอดเขาเสินม่อ จะออกไปตามอำเภอใจแบบนี้ได้อย่างไร?”
ภายในตำหนักของยอดเขาซีไหลเงียบสงัด เหล่ายอดฝีมือรุ่นที่สองของยอดเขาต่างสบตากันไม่กล่าวกระไร
และเนื่องเพราะเจ้าล่าเยวี่ยคือเจ้าแห่งยอดเขาเสินม่อ ดังนั้นการออกไปของนางจึงมิจำเป็นต้องได้รับการเห็นชอบจากใคร
ตามกฎของชิงซาน นางเพียงแค่ต้องแจ้งทางยอดเขาซีไหล เอาป้ายกระบี่มาทำการบันทึก จากนั้นอยากจะไปไหนก็ตามแต่นาง
นี่คืออำนาจพิเศษของเจ้าแห่งยอดเขาทั้งเก้า
ต่อให้นางมิได้แจ้งทางยอดเขาซีไหล ก็ไม่มีผู้ใดทำอะไรนางได้
แน่นอน หากเจ้าสำนักไม่เห็นด้วย นั่นย่อมเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
ปัญหาอยู่ที่ว่าเจ้าแห่งสำนักมุ่งมั่นบำเพ็ญพรต มิได้สนใจเรื่องเหล่ามาเป็นเวลาหลายปีแล้ว
เจ้าแห่งยอดเขาซีไหลยิ้มอย่างจนปัญญา กล่าวว่า “ประเดี๋ยวข้าจะไปแจ้งเรื่องนี้กับศิษย์พี่เจ้าสำนักที่ยอดเขาเทียนกวง”
เหมยหลี่มองหลินอู๋จือที่มารายงานข่าว ถามว่า “พวกเขาได้บอกหรือไม่ว่าจะไปที่ใด? กลับเมื่อไร?”
หลินอู๋จือยิ้มเจื่อน กล่าวว่า “มิได้กล่าวกระไร”
เหมยหลี่คิดในใจคงมิใช่ว่าจะจากไปเป็นเวลานานหรอกนะ?
สำหรับผู้บำเพ็ญพรตแล้ว การออกไปท่องยังโลกภายนอกเป็นเวลาหลายสิบปีถือเป็นเรื่องที่ปกติอย่างมาก หลายคนที่อยู่ในตำหนักก็ล้วนแต่เคยมีประสบการณ์เช่นนี้มาก่อน แต่ตอนที่พวกเขาตัดสินใจเช่นนั้นออกมา พวกเขามักจะบรรลุจนถึงขั้นคเนจรแล้ว การก้าวเดินต่อไปบนธรรมวิถีเป็นเรื่องที่ยากลำบากอย่างยิ่ง เจ้าล่าเยวี่ยและจิ๋งจิ่วยังอายุน้อยเพียงนี้ เหตุใดจึงใจร้อนเช่นนี้?
…………………………………………………….