ตอนที่ 100 ราชันหมีพสุธา
การต่อสู้ถูกขัดจังหวะเมื่อเกราะพลังสีเหลืองปรากฏ ราชันหมีพสุธาหยุดการโจมตี และมันมองไปที่กลุ่มของเจียงเหว่ยอีกสี่คนด้วยสายตาดูถูกชิงชัง
การหยุดโจมตีของราชันหมีพสุธาเป็นสิ่งที่คนทั้งเจ็ดหวังมานาน ชายผู้หนึ่งที่อยู่ในเกราะพลังมองออกไปพลางนึกคิดบางอย่าง จากนั้นเขาร้องตะโกนอย่างตกใจ ”มันคือเกราะพลังของโรงเรียนปราชญ์!”
ทันทีที่กล่าวจบ เขาหันไปมองเจียงเหว่ยที่อยู่ด้านข้างพร้อมกล่าวอย่างโกรธเกรี้ยว “เจียงเหว่ย เจ้าหมายความว่ายังไง?”
เมื่อได้ยินคําว่าเกราะพลัง สีหน้าชิงเสวียถึงกับซีดเผือด นางเคยได้ยินมาว่าเกราะพลัง เป็นความสามารถขั้นสูงของโรงเรียนปราชญ์ มันไม่ใช่ความสามารถที่เอาไว้ต่อสู้ ความหนาแน่นและแข็งแกร่งของเกราะพลังนี้เป็นสิ่งที่แม้แต่สัตว์อสูรจิตวิญญาณก็ยังยากที่จะผ่านได้ ยิ่งสําหรับสัตว์อสูรราชันยิ่งยากเข้าไปอีก
แน่นอนว่านางสับสนกับความคิดของเจียงเหว่ย
เจียงเหว่ยไม่สนคําร้องเรียกแม้แต่น้อย เขาหันไปมองชายที่อยู่ด้านข้างพร้อมกล่าว “ศิษย์พี่ฉวนหมิง หากจักรวรรดิต้าฉินทราบว่าพวกเราทําอะไรที่นี่คงจะเป็นปัญหาใหญ่แน่!”
คนทั้งเจ็ดในเกราะพลังนั้นมีสองคนจากสํานักจันทรา อีกหนึ่งมาจากสํานักดาบราชัน และสี่คนที่เหลือมาจากสถาบันการต่อสู้ของจักรวรรดิต้าฉิน ถึงแม้สถาบันนี้จะเป็นอันดับสองในจักรวรรดิต้าฉิน แต่ไม่ว่ายังไงก็ยังเป็นตัวแทนของจักรวรรดิต้าฉิน ดังนั้นหากจักรวรรดิทราบเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขาทั้งสีในวันนั้น มันจึงจะเป็นปัญกับพวกเขาในอนาคตแน่นอน
สําหรับสํานักจันทราและสํานักดาบราชันล่ะ? มันไม่จําเป็นต้องกังวลทั้งสองสํานัก
รอยยิ้มแห่งความชั่วร้ายปรากฏผ่านมุมปากของฉวนหมิง ” อย่าได้กังวลไป เมื่อพวกมันทั้งหมดตายที่นี่ เช่นนั้นใครจะทราบอีก?”
เมื่อกล่าวจบ เขาหันไปพยักหน้าให้เจียงเหว่ย “เจียงเหว่ย ครั้งนี้เจ้าทําได้ไม่เลว หากเจ้าไม่นําพวกมันไปสู้กับราชันหมีพสุธา เช่นนั้นพวกเราคงไม่มีทางเตรียมการเกราะพลังได้ ด้วยสิ่งที่พวกเราได้จากราชันหมีพสุธา คงเพียงพอที่จะมีทรัพยากรบ่มเพาะพลังอย่างน้อยสามเดือน”
เจียงเหว่ยหาได้กล่าวสิ่งใดไม่เมื่อได้ยิน ทรัพยากรการบ่มเพาะพลังนั้นเป็นสิ่งที่ศิษย์ทุกสํานักต้องการ นอกเหนือจากศิษย์ที่มีพรสวรรค์ระดับสูงแล้ว สํานักอื่นจะไม่แจกทรัพยากรบ่มเพาะให้ หากผู้ใดต้องการแข็งแกร่งขึ้นอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ผู้นั้นจําเป็นต้องมีทรัพยากรบ่มเพาะพลัง หากไม่มีมัน ความเร็วในการบ่มเพาะพลังอาจจะล่าช้ากว่าผู้ที่มีไปอีกหลายเท่า
ทุกสํานักจะมีการจัดทดสอบศิษย์ทุกคนทั้งศิษย์นอกและศิษย์ใน หากพวกเขาต้องการเป็นศิษย์ใน พวกเขาต้องมีความแข็งแกร่งที่มากพอ เพราะตําเหน่งศิษย์ในของโรงเรียนปราชญ์นั้นมีพื้นที่จํากัด
พวกเขามาล่าราชันหมีพสุธาในครั้งนี้เพราะรับภารกิจเช่นกัน แต่พวกเขาก็ตระหนักได้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่จะล่าราชันหมีพสุธาด้วยกําลังของพวกเขา ดังนั้นทั้งสี่จึงได้วางแผนนี้ขึ้น แผนการคือหาศิษย์จากสํานักอื่นที่มาฝึกฝนตนเองในขุนเขาไม่สิ้นสุด และใช้พวกเขาสู้กับราชันหมีขณะที่พวกตนสร้างเกราะพลังจับราชันหมีพสุธา
แต่ดูเหมือนแผนไม่ค่อยราบรื่นเท่าไหนนัก เพราะราชันหมีหยุดโจมตีคนทั้งเจ็ดแล้ว
ฉวนหมิงขมวดคิ้ว ในแผนเดิมของเขา คนทั้งเจ็ดจะต้องสู้กับราชันหมีพสุธาจนบาดเจ็บหนัก ความแข็งแกร่งของพวกเขาไม่สามารถสู้กับมันได้ แต่หากคนทั้งเจ็ดสู้แบบถวายชีวิต พวกเขาก็อาจทําอะไรได้บ้าง หลังจากเป็นเช่นนั้นแล้ว มันจะง่ายต่อการสังหารราชันหมีพสุธา
แต่ราชันหมีกับหยุดโจมตีพร้อมแสดงท่าที่แปลกประหลาด
“เจียงเหว่ย รีบเปิดเกราะพลังให้พวกเราออกไปเร็ว!” ชายหนุ่มจากสถาบันการต่อสู้รีบตะโกนออกมา
เสียงหัวเราะเย้ยหยันดังออกจากปากของฉวนหมิง “ พวกเจ้าฝึกกันจนเสียสติไปแล้วนั้นหรือ? จนถึงตอนนี้แล้วยังไม่เข้าใจอีกสินะ ได้อยู่แล้ว พวกเจ้าสามารถออกมาได้ แต่สังหารราชันหมีพสุธาด้านหลังก่อน แล้วข้าจะปล่อยพวกเจ้าออกมาดีหรือไม่?”
ได้ยินเช่นนั้น ความหวังในใจของพวกเขาได้ดับวูบลงทันที เพราะคนทั้งสี่จากโรงเรียนปราชญ์คิดจะสังหารพวกเขาพร้อมกับราชันหมีพสุธา
” พวกแกไม่กลัวว่าสํานักจันทรา สํานักดาบราชัน และสถาบันการต่อสู้จะมาแก้แค้นงั้นหรือ?” ชิงเสวียกล่าวอย่างเย็นเยือก
“แก้แค้น?” ฉวนหมิงเริ่มหัวเราะอีกครั้ง ใบหน้าเขาเต็มไปด้วยอาการดูถูกขณะกล่าว “สําหรับสํานักจันทรากับสถาบันการต่อสู้ข้าก็พอกลัวอยู่บ้าง แต่สํานักดาบราชันงั้นหรือ? แม้สํานักดาบราชันจะทราบว่าเกิดอะไรขึ้นวันนี้ สํานักเจ้าจะกล้ามาเอาเรื่องกับโรงเรียนปราชญ์ของข้าหรือเปล่าล่ะ? จากการที่เจ้าเพิ่งเข้าร่วมเป็นศิษย์สํานักดาบราชัน เจ้าคงไม่ทราบถึงความต่างระหว่างสองสํานักนี้สินะ งั้นข้าจะบอกเจ้าละกัน อย่าว่าให้มากความ ศิษย์นอกของสํานักดาบราชันเจ้ามีกันที่ คน? ต่ำกว่าหนึ่งหมื่นอีกใช่หรือไม่? เจ้าทราบหรือไม่ว่าสํานักข้ามีศิษย์นอกกี่คน? หนึ่งแสนสี่หมื่นยังไง! ตอนนี้เจ้าทราบแล้วใช่หรือไม่ว่าสํานักเจ้ามันต่ำต้อยเพียงใด?”
ท่าทีชิงเสวียถึงกับทําสิ่งใดไม่ถูก นางทราบดีว่าโรงเรียนปราชญ์และสํานักดาบราชันนั้นห่างกันแค่ไหน ทั้งยังทราบดีว่าสํานักดาบราชันอ่อนแอที่สุดในหกมหาอํานาจ ยิ่งกว่านั้นเมื่อถูกฉวนหมิงข่มขู่และเย้ยหยันใส่นางเองก็ไม่สามารถเถียงสิ่งใดได้
ฉวนหมิงมองอย่างเย็นชาไปยังคนทั้งเจ็ด “อย่าคิดว่าจะฟังเกราะพลังได้ล่ะ หากอยากมีชีวิตต่อก็จงสังหารราชนหมีพสุธาเสีย สังหารมัน แล้วข้าจะปล่อยพวกเจ้าไป!”
หนึ่งในศิษย์ของสถาบันการต่อสู้หัวเราอย่างขมขื่น “เจ้าจะเปิดเกราะพลังให้หลังจากพวกเราสังหารมันได้งั้นหรือ? คิดว่าพวกเราเป็นเด็กสามขวบหรือไง?”
ทันทีที่กล่าวจบเขาหันไปมองราชันหมีพสุธาพร้อมกล่าว “ราชันหมี ข้าทราบว่าเจ้าเข้าใจภาษามนุษย์ พวกเราเป็นฝ่ายผิดเองและข้าขออภัยที่เข้ามารุกราน ตอนนี้พวกเราตกอยู่ในสถานการณ์
คนทั้งหกภายในเกราะพลังรีบหันไปขออภัยราชันหมีเช่นกัน เพราะหนทางรอดเดียวของพวกเขาคือร่วมมือกับราชันหมีพสุธา!
ท่าที่ฉวนหมิงเปลี่ยนไปเมื่อเห็นเช่นนั้น หากพวกเขาสามารถร่วมมือกับราชันหมีได้ เช่นนั้นมันจะเป็นปัญหาใหญ่แน่นอน หลังจากที่ทั้งสามจะกระทําบางอย่าง ราชันหมีพสุธาก็ได้แสดงจุดยืนอย่างชัดเจน
ราชันหมีพสุธามองอย่างเหยียดหยามไปที่กลุ่มคนทั้งเจ็ดในเกราะพลัง จากนั้นมันมองไปยังจุดที่หยางเย่ซ่อนอยู่
หยางเย่ตกตะลึงทันทีที่เห็นว่าราชันพสุธามองมา “ดูเหมือนว่าราชันหมีตัวนี้ปกปิดพลังเอาไว้จริงด้วย! สหาย เจ้าสามารถต่อกรกับเจ้ายักษ์นั้นได้หรือไม่?” หยางเย่เอ่ยถาม
มิงค์ม่วงรู้สึกไม่พอใจในความสงสัยของหยางเย่ มันข่วนหน้าหยางเย่เล็กน้อย จากนั้นมันตั้งใจจะเข้าไปจัดการราชันหมีพสุธาให้เห็น แต่หยางเย่รีบหยุดมันไว้ก่อนจะกล่าวขอโทษขอโพยยกใหญ่เพื่อทําให้สหายตัวจ้อยสงบลง
เมื่อพวกเขาเห็นว่าราชันหมีพสุธามีจุดยืนที่ชัดเจน ใจของพวกเขาถึงกับจมดิ่งสู่ห้วงลึก ไม่ว่าจะต่อสู้หรือไม่ พวกเขาก็ตาย
อีกด้านหนึ่งฉวนหมิงได้หัวเราะออกมาเมื่อเห็นเช่นนั้น ‘ราชันสัตว์อสูรช่างมีความหยิ่งผยองเสียจริง”
แต่ก็ต้องหยุดหัวเราะในเวลาต่อมา เพราะราชนหมีพสุธาเริ่มยกอุ้งมือขนาดใหญ่ตบไปที่เกราะพลัง
ปั้ง!
เสียงระเบิดดังก้อง พื้นแผ่นดินสั่นสะเทือน แต่เกราะพลังยังไม่แตกออก อย่างไรก็ตามหากมองให้ดี จะสามารถสังเกตเห็นรอยร้าวเล็กน้อยบนเกราะพลัง
ปั้ง!
อุ้งมือหมีตบลงไปอีกครั้ง รอยร้าวเริ่มใหญ่ขึ้น
ในครั้งที่สิบ อุ้งมือราชันหมีได้ตบเกราะพลังแตกเป็นเสี่ยง ๆ ภายใต้สายตาที่ตกตะลึงของทุกคน
หลังจากกําแพงแตกออก ราชันหมีพสุธาหาได้โจมตีพวกเขาไม่ มันนั่งลงด้านข้างพร้อมแสดงท่าทีเย้ยหยัน เพราะมันน่าสนใจอย่างยิ่งที่จะนั่งดูมนุษย์สังหารกันเอง
เมื่อเกราะพลังแตกออก ชิงเสวียและทุกคนต่างรู้สึกดีใจ ส่วนท่าทีของฉวนหมิงนั้นเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมขึ้นมา เพราะหากทั้งเจ็ดคนออกจากขุนเขาไม่สิ้นสุดได้ เช่นนั้นมันจะต้องเป็นหายนะสําหรับทั้งสี่แน่นอน เพราะเขาหาได้ใช่อัจฉริยะของโรงเรียนปราชญ์ไม่ และโรงเรียนปราชญ์คงจะไม่แก้แค้นให้พวกเขาเช่นกัน
หากทั้งเจ็ดรอดไปเล่าความจริงได้ เช่นนั้นโรงเรียนปราชญ์จะต้องทําลายวรยุทธ์และไล่ออกจากสํานักแน่นอน!
ฉวนหมิงและพรรคพวกหันไปมองหน้ากันพร้อมพยักหน้า เวลานี้พวกเขาคิดแบบเดียวกัน
ในด้านของชิงเสวียและอีกหกคนเหมือนจะสังเกตบางอย่างได้เมื่อเห็นสายตาฉวนหมิง พวกเขาทราบแล้วว่าทั้งสี่จะไม่ปล่อยให้พวกเขารอด!
หนึ่งในศิษย์ของสถาบันการต่อสู้ตัดสินใจอย่างรวดเร็ว เขาน้ายันต์สี่แผ่นออกมาจากมือ จากนั้นติดทั้งสามแผ่นไว้ที่อีกสามคนจากสถาบันการต่อสู้ ” พวกเราไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพวกมัน นี่คือยันต์ลมกรดระดับกลาง รีบหนี!”
หลังจากกล่าวจบ เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะนํายันต์ลมกรดอีกสองแผ่นให้ศิษย์สํานักจันทรา จากนั้นเขาไม่หันมามองอีกพร้อมวิ่งตรงไปยังทางออกหุบเขา สํานักจันทราแข็งแกร่งที่สุดในหมู่สํานักทั้งสามของหกมหาอํานาจ ดังนั้นมันจะต้องเป็นประโยชน์แก่พวกเขาได้ในอนาคตหากสร้างไมตรีกับพวกเขาไว้ตอนนี้ สําหรับชิงเสวีย เขาไม่สนใจแม้แต่น้อย มีข้อดีตรงไหนที่จะสร้างไมตรีกับสํานักดาบราชัน? อีกทั้งยันต์ลมกรดระดับกลางราคาก็สูงถึงแสนเหรียญทอง!
นอกจากชิงเสวีย พวกเขาทั้งหกได้วิ่งตรงไปยังทางเข้าหุบเขาหลังจากติดยันต์ลมกรด
ฉวนหมิงแสดงท่าที่โกรธเกรี้ยวทันทีพร้อมกล่าวอย่างเย็นเยือก “เจียงหยวนจัดการนางเสีย!”
ทันทีที่กล่าวจบ เขานํายันต์ลมกรดแปะไว้ที่ตัวและอีกสองคนก่อนจะไล่ตามทั้งหกไป
ขณะที่จ้องมองเจียงเหว่ยที่ยืนอยู่ตรงหน้า นางจับดาบแน่นพร้อมแสดงท่าที่ไม่พอใจและโกรธเคือง นางทราบสถานะตนเองดีตั้งแต่เข้าร่วมกลุ่มล่าหมีว่าสํานักดาบราชันนั้นไม่มีค่าแม้แต่น้อย
เจียงเหว่ยไม่ต้องการเสียเวลา หอกในมือเขาสั่นเทาพร้อมพุ่งตรงไปยังชิงเสวีย