ตอนที่ 25 มันติดเขาไปแล้ว!
หยางเย่สบถคำด่าทั้งหลายแก่เงาทมิฬตรงหน้า ถึงแม้เขาจะไม่เข้าใจว่าอยู่ในสถานะอะไร แต่มันเป็นประโยชน์กับเขาอย่างแน่นอน ยิ่งกว่านั้นบุคคลตรงหน้านั้นดูเป็นมนุษย์มากกว่าภูตผี เขาจึงถอนสภาวะเข้าถึงจิตแห่งดาบบ
เขานึกจะปล่อยหมัดไปยังชายผู้นั้น!
ทั้งสองอยู่ห่างกันเพียงสองเมตร แต่หยางเย่ยังไม่เห็นรูปลักษณ์ของเงาทมิฬผู้นี้ เพราะเสื้อที่ปกคลุมด้วยพลังงานสีดำรอบกายจำนวนนับไม่ถ้วน ชายเงาทมิฬดูแปลกตาอย่างมากเมื่อถูกห่อหุ้มด้วยพลังปราณสีดำ
หลังจากสบตากับเงาชุดทมิฬตรงหน้า หยางเย่แสดงท่าทีหวาดกลัวพร้อมร่างกายที่สั่นเทา มันราวกับหนูที่ถูกแมวจับไว้
“เจ้าเห็นเงาสีม่วงหรือไม่?” เงาชุดทมิฬกล่าวด้วยน้ำเสียงค่อนข้างแหบแห้ง เมื่อฟังแล้วค่อนข้างขัดหู มันราวกับมีบางสิ่งติดอยู่ในลำคอเขา
เมื่อได้ยินเงาชุดทมิฬกล่าว ตัวหยางเย่สั่นแรงขึ้นอีก ริมฝีปากที่สั่นสะท้านราวกับว่าประหม่าจนพูดไม่ออก
ทันทีที่พลังปราณสีดำรอบกายเงาชุดทมิฬเพิ่มมากขึ้น มือขวาที่สั่นเทาของหยางเย่ชี้ไปยังด้านหลังพร้อมกล่าว “ข้า ข้าเห็นเงาสีม่วงพุ่งผ่านที่นี่ในชั่วพริบตา จากนั้น… จากนั้นมันก็หายไป”
เมื่อได้ยินหยางเย่กล่าว พลังปราณสีดำรอบกายเงาชุดทมิฬจึงสงบลง เขาเงียบไปชั่วครู่ก่อนจะมองไปยังหยางเย่ที่กำลังสั่นตั้งแต่หัวจรดเท้า เห็นเช่นนั้นเงาทมิฬจึงส่ายหัวออกมา เขาตั้งใจจะจัดการหยางเย่ แต่เขาหยุดความคิดนั้นเมื่อเห็นสภาพปัจจุบันของหยางเย่
มันช่างด้อยค่ายิ่งนัก เขาเหยียดหยามผู้ที่อยู่ขั้นปราณมนุษย์โดยแท้จริง หากเป็นคนที่แข็งแกร่งกว่านี้ บางทีเขาอาจสนุกกับการทรมาน เช่นนั้นแล้วเขาไม่ต้องการเสียพลังปราณกับคนเช่นนี้
มันราวกับช้างสารกับมดตัวเล็กจ้อย หากมดระมัดระวังตัวดี ช้างก็ไม่อาจฆ่ามดได้โดยเจตนา
“จงไปเสีย!” เงาชุดทมิฬกล่าวอย่างเฉยชา
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ดูเหมือนหยางเย่จะได้รับนิรโทษกรรมครั้งใหญ่แล้ว เขารีบกระโจนลงจากต้นไม้พร้อมพุ่งหนีไปอย่างบ้าคลั่ง ขณะที่หนีหยางเย่ถอนหายใจโล่งอกออกมา ท่าทีกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง ใบหน้าของเขาไร้ซึ่งความกลัวอีกต่อไป เขารู้สึกโชคดีอย่างมาก ‘โชคดีที่เราคาดการณ์ถูกต้อง’
เงาชุดดำทมิฬไม่ใช่คนดีอย่างแน่นอน หากแสดงท่าทีแข็งกร้าวกับคนเช่นนั้นหรือแสร้งว่าไม่กลัว เงาชุดทมิฬคงจะชิงชังเป็นแน่ ดังนั้นเขาจึงแสดงท่าทีอ่อนแอเพื่อให้เงาชุดทมิฬดูถูกเหยียดหยาม โชคดีเขาคาดคะเนถูกต้อง
พอเห็นหยางเย่หายไป เงาทมิฬชูมือขึ้นกลางอากาศ พลังปราณสีดำรอบกายเริ่มขยับราวกับมีชีวิตและระเบิดออก เพียงไม่นาน พลังปราณขยายกว้างออกถึงสามร้อยเมตร ทุกที่ที่พุ่งผ่านราวกับหิมะเจอน้ำมันเดือด มันกลายเป็นบ่อน้ำสีดำในทันที!
เพียงไม่กี่อึดใจ ท่ามกลางเงาชุดทมิฬ ทุกสิ่งอย่างในบริเวณสามร้อยเมตรกลายเป็นสีดำทมิฬ มันเป็นภาพที่น่าสยดสยองอย่างยิ่ง
จากนั้นไม่นาน เงาชุดทมิฬดึงพลังปราณสีดำกลับมาพร้อมบ่นพึมพำ “เหตุใดพลังนั้นหายไปตรงจุดนี้? มีใครบางคนจับมันได้ก่อนข้างั้นหรือ?”
เมื่อกล่าวจบ เงาชุดทมิฬหันไปทางสำนักดาบราชันพร้อมกล่าวเสียงต่ำอีกครั้ง “หรืออาจเป็นยอดฝีมือสำนักดาบราชัน?”
เงาชุดทมิฬลังเลอยู่ชั่วครู่ก่อนจะเปลี่ยนเป็นเส้นพลังสีดำมุ่งไปยังสำนักดาบราชัน
……
หยางเย่วิ่งหนีราวกับคนบ้าตลอดทาง เขาวิ่งมาสามชั่วยามก่อนจะหยุดเมื่อเห็นท้องฟ้าเริ่มมืดลง เขาพบถ้ำในบริเวณนั้นพร้อมซ่อนทางเข้าไว้ จากนั้นนำหินแสงจันทร์ที่ได้รับจากหมานจื้อออกมา
ภายใต้แสงสว่างของหินแสงจันทร์ หยางเย่เห็นทุกอย่างในถ้ำอย่างชัดเจน มันไม่ได้เล็กเท่าไหร่ ขนาดมันพอกับคนยืนได้สิบคน ทั้งยังมีวัชพืชจำนวนมากในถ้ำนี้ เห็นได้ชัดว่าเป็นถ้ำของสัตว์อสูรทมิฬ
เมื่อตรวจสอบแล้วว่าปลอดภัย หยางเย่นั่งไขว้ขาลง จากนั้นลูบไปที่ท้องก่อนจะเอ่ย “สหายตัวจ้อยออกมาได้แล้ว เราต้องคุยกันหน่อย!”
สหายตัวจ้อยไม่ใช่สัตว์อสูรทมิฬธรรมดา เห็นได้ชัดจากความว่องไวที่น่าเหลือเชื่อนั่น แต่เหตุใดถึงเลือกเขาล่ะ ทั้งยังสามารถเข้าไปยังท้องได้ด้วย ไม่ใช่สิ ไม่ใช่ในท้อง แต่มันคือจุดตันเถียน สิ่งนี้มันเกินขอบเขตความเข้าใจของเขาโดยแท้จริง
ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจจับเข่าคุยกับสหายตัวจ้อย!
ผ่านไปชั่วครู่ ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองใดจากท้องของเขา หยางเย่มองเข้าไปข้างใน สหายตัวจ้อยข้างในกำลังบิดมุมปากไปมา
เวลานี้ มิงค์ม่วงได้นอนหลับตาภายในจุดตันเถียนน้ำวน มันยังส่งเสียงกรนอย่างเบาอยู่บ่อยครั้ง เห็นได้ชัดว่ามันกำลังหลับอยู่
หยางเย่เกือบจะระเบิดโทสะทันทีที่เห็น จากการที่สหายตัวจ้อยพุ่งเข้าในท้องโดยไม่กล่าวสิ่งใด มันทำให้ไม่พอใจอย่างยิ่ง มากกว่านั้นเขาเกือบถูกสังหารโดยเงาชุดทมิฬ ที่วิ่งหนีอย่างบ้าคลั่งนั้น ก็เพราะความกลัวอย่างมากว่ามันจะตามมาสังหารเขาหากวิ่งช้าเกินไป
กล่าวได้ว่าเขาวิ่งหนีด้วยความกลัวไปตลอดทาง เขาไม่หวังอะไรนอกจากมีขาเพิ่มขึ้น แต่บัดนี้ตัวต้นเหตุกำลังหลับนอนอยู่ในตันเถียนน้ำวนของเขา!
มันสุดจะทนแล้ว!
หลังจากเรียกสหายตัวจ้อยนี้มาครึ่งชั่วยาม ในที่สุดมันก็ยอมออกมาจากตันเถียนน้ำวน
มิงค์ม่วงหยุดกลางอากาศพร้อมถูเล็บบนดวงตาที่ง่วงซึม มันดูไม่ค่อยพอใจที่หยางเย่มาปลุกตอนกำลังนอน จากนั้นมันมองไปที่หยางเย่อย่างโมโห ทั้งยังแสดงท่าทีไม่พอใจหยางเย่อย่างมาก
หยางเย่สะอึก สัตว์อสูรทมิฬตัวนี้ราวกับมนุษย์ยิ่งนัก มันดูไม่เหมือนสัตว์อสูรทมิฬเลย
ชั่วขณะนั้นเขาไม่มีคำพูดใด
จากนั้นไม่นานความง่วงนอนหายไป ดวงตาดูมีชีวิตชีวามองไปยังหยางเย่พร้อมกระพริบตาปริบ มันขึ้นมาอยู่ที่หน้าหยางเย่พอดี
หยางเย่สูดหายใจลึกพร้อมพยายามอย่างหนักที่จะสงบใจ จากนั้นเขามองไปยังสหายตัวจ้อยที่น่ารักพร้อมกล่าว “เจ้า เจ้าตัวจ้อย เจ้าคงเข้าใจสิ่งที่ข้ากล่าว อืม ข้าต้องการจะบอกว่า ข้าจะไม่เอาความที่เข้าไปในจุดตันเถียนเพื่อหลบซ่อน เงาชุดทมิฬจากไปแล้ว เช่นนั้นเจ้าสามารถกลับไปได้”
สหายตัวจ้อยน่ารักอย่างมาก หากเขานำมันกลับไปให้เสี่ยวเหยา เสี่ยวเหยาคงมีความสุขอย่างยิ่ง หรือหากขายไปก็คงได้ราคาที่ดีแน่ แต่หยางเย่ไม่กล้าทำสิ่งใด เพราะสหายตัวจ้อยดูลึกลับเกินไป ยิ่งกว่านั้นมันอาจจะดึงเงาชุดทมิฬกลับมาอีก ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจแยกทางกันดีกว่า
มิงค์ม่วงกระพริบตาปริบ มันไม่ทั้งพยักหน้าหรือส่ายหัว มันเพียงแค่จ้องมองไปที่หยางเย่
“เจ้าปลอดภัยแล้ว ตอนนี้เจ้ากลับบ้านได้ เข้าใจหรือไม่?” เมื่อสังเกตว่าสหายตัวจ้อยไม่มีปฏิกิริยาใด หยางเย่จึงทวนคำกล่าวอีกครั้ง
ครั้งนี้ดูเหมือนมิงค์ม่วงจะเข้าใจหยางเย่แล้ว มันส่ายหัวที่เล็กจ้อย เห็นได้ชัดว่ามันไม่ต้องการไป
‘มันปฏิเสธเรา!’ ทันทีที่เห็นสหายตัวจ้อยส่ายหัว มุมปากหยางเย่กระตุก แม้มันจะน่ารักอย่างยิ่ง หยางเย่ก็ตัดสินใจจะทิ้งมันไว้ เพราะมันอาจจะนำภัยมาสู่ตัวได้ ทั้งยังอาจทำให้เงาชุดทมิฬกลับมาหาอีก ยิ่งกว่านั้นหากเขายอมให้สหายตัวจ้อยเข้าไปในจุดตันเถียน มันก็ยังรู้สึกไม่ถูกต้องอยู่ดี
หลังจากครุ่นคิดอยู่อีกครู่หนึ่ง หยางเย่กล่าวต่อ “สหายตัวจ้อย ข้าเป็นมนุษย์ เจ้าเป็นสัตว์อสูรทมิฬ มันอันตรายอย่างที่จะอยู่กับข้า เข้าใจหรือไม่?”
มิงค์ม่วงกระพริบตาปริบแต่ก็ไม่ได้ตอบสิ่งใดกลับ
“มนุษย์นั้นแย่มาก พวกเขาจะย่างและกินเจ้า เข้าใจหรือยัง?” มิงค์ม่วงพยักหน้า มันแสดงท่าทางเห็นด้วย
“เช่นนั้นจงรีบกลับบ้านเจ้าไปเสีย อย่าตามข้ามา!”
มิงค์ม่วงส่ายหัว ราวกับว่ามันจะไม่ยอมไปไหน
“งั้นเจ้าต้องการสิ่งใด!?” หยางเย่กระวนกระวายใจเล็กน้อย เสียงของเขาดังขึ้นมา
เมื่อมันเห็นหยางเย่โมโห มิงค์ม่วงแสดงท่าทีหวาดกลัวเล็กน้อย มันถอยหลังพร้อมมีน้ำซึมออกมาจากดวงตา ใบหน้ากลมเล็กของมันแสดงท่าทีผิดแปลก
ช่างโชคร้ายอะไรเช่นนี้! เมื่อเขาเห็นท่าทางของมิงค์ม่วง หยางเย่รู้สึกปวดหัวอย่างมาก ทั้งยังมั่นใจอย่างยิ่งว่ามันไม่ใช่สัตว์อสูรทมิฬธรรมดา เพราะสัตว์อสูรทมิฬจำต้องบรรลุขั้นปราณจิตวิญญาณก่อน มันถึงจะมีรูปแบบและสติปัญญาคล้ายมนุษย์ แต่สหายตัวจ้อยตรงหน้ายังไม่อยู่ขั้นปราณจิตวิญญาณ มิเช่นนั้นมันคงกลายร่างเป็นมนุษย์ไปนานแล้ว
แม้สหายตัวจ้อยไม่ได้อยู่ขั้นปราณจิตวิญญาณ แต่เขาก็ทราบดีว่ามันไม่ใช่สัตว์อสูรธรรมดา เขาไม่เคยได้ยินว่าสัตว์อสูรทมิฬจะมีสติปัญญาก่อนบรรลุขั้นปราณจิตวิญญาณ ถึงแม้เขาไม่เคยพบเจอสัตว์อสูรทมิฬมากมายในชีวิต แต่สัญชาตญาณบอกว่ามันก็ไม่ใช่สัตว์อสูรธรรมดา
หยางเย่ยักไหล่พร้อมกล่าว “เช่นนั้นเจ้าตั้งใจจะทำสิ่งใด!?”
ทันทีที่ได้ยินหยางเย่ มิงค์ม่วงเผยรอยยิ้มออกมา มันชี้กรงเล็บเล็กจ้อยไปที่จุดตันเถียนของหยางเย่ ความตั้งใจจริงของมันเห็นได้ชัดจากสิ่งนี้
“เจ้าต้องการอาศัยอยู่ในนี้งั้นหรือ?” หยางเย่กล่าว
สหายตัวจ้อยรีบพยักหน้าเล็กกลม
“ทำไมกัน?”
คำถามนี้ดูจะตอบยากเล็กน้อย มิงค์ม่วงชี้ไปยังจุดตันเถียนของหยางเย่ จากนั้นชี้ที่ตนเอง กรงเล็บมันหมุนอย่างไม่สิ้นสุดกลางอากาศพร้อมใบหน้าที่ตื่นเต้น
หยางเย่ “…”
เมื่อเห็นท่าทีงุนงงของหยางเย่ มันหยุดหมุนกรงเล็บ จากนั้นมันพุ่งลงไปเกาะไหล่หยางเย่พร้อมคลอเคลียใบหน้าเขา มันราวกับพวกเขามีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน
หยางเย่ถอนหายใจ เขาทราบดีว่าสหายตัวจ้อยติดเขาแล้ว ทั้งยังไม่มีโอกาสที่จะหนีได้เพราะความว่องไวที่ปรากฏก่อนหน้านี้
“ช่างมันเถอะ อะไรจะเกิดก็ปล่อยมันเกิดละกัน อันที่จริงข้ามีน้ำวนลึกลับอยู่แล้ว ดังนั้นมันคงไม่เป็นอะไรหากจะมีสหายตัวจ้อยลึกลับเพิ่ม มันก็คงไม่ต่างกันมากเท่าไหร่!” หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ หยางเย่ตัดสินใจถามระดับความแข็งแกร่งของมัน สิ่งนี้ทำให้หยางเย่ทุกข์ร้อนอย่างยิ่ง
หยางเย่เหยียดนิ้วออกมาพร้อมกล่าว “สัตว์อสูรทมิฬระดับหนึ่งงั้นหรือ?”
สหายตัวจ้อยส่ายหัว
“ระดับสอง?”
มันยังส่ายหัวเหมือนเดิม
“งั้นระดับสาม?”