ตอนที่ 55 ชั้นที่ยี่สิบเอ็ด!
ปั้ง!
ในช่วงเวลาแห่งความประมาท หยางเย่ถูกชนเข้าอย่างจังกับหัวของแรดเกล็ดทมิฬ ผลที่ตามมาชัดเจน หยางเย่ถูกกระแทกปลิวไปไกลก่อนจะชนเข้ากับกำแพงอย่างแรง
มีซึมเลือดออกที่มุมปากของหยางเย่ขณะรีบยืนขึ้น จากนั้นใช้ขาขวาแตะลงบนพื้นอย่างเบา เขาใช้แรงถีบดันตัวลอยขึ้นไปกลางอากาศเพื่อหลบหลีกแรดเกล็ดทมิฬที่พุ่งเข้ามา ขณะที่หลบอยู่นั้นหยางเย่ใช้ประโยชน์จากสิ่งนี้โจมตีเข้าด้านหลังของมัน
หยางเย่ไม่ปล่อยให้คู่ต่อสู้ตั้งตัว เขาจับดาบด้วยมือทั้งสองก่อนจะโคจรพลังปราณเข้าสู่ดาบ จากนั้นแทงลงไปอย่างรวดเร็วที่หลังของแรดเกล็ดทมิฬ!
เคล้ง!
เสียงกระทบกันดังก้องไปทั่ว มือของหยางเย่สั่นอย่างหนัก เขาไม่ต้องมองก็ทราบดีว่ายังไม่สามารถแทงทะลุการป้องกันของแรดเกล็ดทมิฬได้ ทันใดนั้นมันกระโดดขึ้นกลางอากาศก่อนจะพลิกตัวอย่างรวดเร็ว
ตอนนี้แรดเกล็ดทมิฬตั้งใจจะทับหยางเย่ให้ตาย
หยางเย่รู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา เขาไม่ลังเลที่จะใช้มือขวาตบที่ไปที่หลังของแรดเกล็ดทมิฬ จากนั้นจึงใช้แรงส่งจากมันเพื่อพุ่งหลบ
ปั้ง!
ร่างที่ใหญ่โตดั่งขุนเขาของแรดเกล็ดทมิฬตกลงสู่พื้นดิน ด้วยความมหึมานี้ทำให้แผ่นดินสั่นสะเทือนอย่างหนัก
ดวงตาหยางเย่กระตุกเมื่อสัมผัสถึงแรงสั่นสะเทือนบนพื้นดิน หากช้าไปอีกเพียงก้าวเดียว ไม่ว่าร่างกายจะทนทานเพียงใด เขาก็สามารถเละเป็นข้าวต้มได้จากแรงกระแทกนั้น
เวลานี้หยางเย่รู้สึกถึงความไร้พลังอย่างแท้จริง สัตว์ยักษ์ตรงหน้าเขาไร้ซึ่งจุดอ่อนใด ยิ่งกว่านั้นมันยังมีพละกำลังที่มหาศาล พลังป้องกันที่ไม่ธรรมดา ความเร็วที่ไม่ได้ด้อยไปกว่าหยางเย่ ‘เราจะสู้กับมันได้อย่างไร?’
เวลานี้เขาต้องการที่จะถามสหายตัวจ้อยนักว่าจะผ่านชั้นนี้ไปได้อย่างไร
หากเขาสามารถใช้พลังเสริมอื่นอย่างเช่นยันต์เสริมกำลัง เช่นนั้นหยางเย่คงมีความมั่นใจในความสามารถที่จะสู้มากกว่านี้ แต่ปัญหาคือเขาไม่สามารถใช้ยันต์เหล่านั้นได้ที่นี่ มันจึงทำให้หยางเย่รู้สึกไร้พลังยิ่งนัก
ขณะที่แรดเกล็ดทมิฬยืนขึ้น หยางเย่เริ่มขมวดคิ้วแน่น จากนั้นไม่ทราบว่าเพราะเหตุผลใด ดวงตาของเขาเปิดกว้างขึ้นในทันทีก่อนจะแสดงท่าทีหงุดหงิดออกมา “สหายตัวจ้อย เหตุใดเจ้าไม่บอกข้าให้เร็วกว่านี้!?”
เมื่อกล่าวจบหยางเย่พุ่งโจมตีอย่างรวดเร็ว ร่างทะยานราวกับพายุขณะพุ่งไปยังแรดเกล็ดทมิฬที่กำลังยืนขึ้น
ดูเหมือนสหายตัวจ้อยที่นอนอยู่ในตันเถียนน้ำวนได้ตื่นขึ้นแล้ว มันบอกเขาเกี่ยวกับจุดอ่อนของแรดเกล็ดทมิฬ ด้วยเหตุนี้มันทำให้หยางเย่รู้สึกดีใจและผิดหวังไปพร้อมกัน เขาดีใจที่มีความหวังในการเอาชนะแรดเกล็ดทมิฬ และผิดหวังที่สหายตัวจ้อยเพิ่งมาบอกเอาตอนนี้ หากมันบอกเร็วกว่านี้อีกสักหน่อย เขายังจะตกอยู่สภาวะลำบากอย่างตอนนี้หรือไม่?
แต่มันไม่ใช่เวลาที่จะมาโต้เถียงกับสหายตัวจ้อย เขามีเพียงความคิดเดียวคือเอาชนะสัตว์อสูรทมิฬขั้นราชัน!
หยางเย่เพิ่มความเร็วจนถึงขีดสุด เวลานี้แรดเกล็ดทมิฬทำได้เพียงยืนนิ่งขณะที่หยางเย่มาถึงตรงหน้าแล้ว ปฏิกิริยาโต้กลับของมันก็ไม่ได้ช้ามากนัก ร่างกายที่หนักอึ้งพุ่งไปทางหยางเย่ มันกดทับเขาราวกับภูผาถล่ม
ขณะที่พวกเขากำลังปะทะกัน ร่างของมันทำให้หยางเย่ต้องคุกเข่าลงกับพื้น จากนั้นเขาขยับตัวไปด้านใต้ของแรดเกล็ดทมิฬ หยางเย่ไม่ยอมปล่อยโอกาสดีให้หลุดมือ เขาใช้ดาบเคลือบปราณทองคำแทงไปยังท้องของแรดเกล็ดทมิฬ!
ฟู่!
ปลายดาบแทงทะลุหนังของแรดเกล็ดทมิฬ หยางเย่ไม่มีเวลามายินดีกับสิ่งนี้เมื่อเห็นว่าปลายดาบไม่อาจแทงได้ลึกนัก ไม่นานแรดเกล็ดทมิฬกระโจนขึ้นกลางอากาศเพื่อให้หลุดออกจากดาบ
หยางเย่ตกตะลึงและไม่กล้าลังเลอีก พลังปราณล้ำลึกในร่างโคจรไปที่ดาบราวกับห่าฝน จากนั้นเขาใช้พละกำลังทั้งหมดที่มีทะลวงดาบในมืออย่างรุนแรงอีกครั้ง!
ฟู่!
ครั้งนี้ดาบไม่ถูกหยุดไว้ มันแทงทะลุเกล็ดตรงหน้าท้องของแรดเกล็ดทมิฬลึกจนถึงด้ามจับ มันดูเหมือนพยายามจะกระโจนขึ้นอากาศอีก แต่ครั้งนี้ดูเหมือนจะไม่ทัน
ร่างของแรดเกล็ดทมิฬค่อย ๆ หายไป หยางเย่ที่นอนอยู่บนพื้นพร้อมกับเหงื่อที่ไหลท่วม เขากล่าวในใจ ‘ช่างโชคดีนัก!’
ถูกต้อง ชัยชนะครั้งนี้เรียกได้ว่าโชคดีโดยแท้จริง หากสหายตัวจ้อยไม่บอกเกี่ยวกับจุดอ่อนของมัน นอกจากยอมรับความพ่ายแพ้เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นอีก ยิ่งกว่านั้นจุดอ่อนของแรดเกล็ดทมิฬยังไม่อาจเรียกได้ว่าจุดอ่อน เพราะพลังปราณห้าธาตุทองคำและพละกำลังของเขา จึงสามารถแทงทะลุเพียงผิวหนังมันได้ หากกำลังและความเร็วด้อยกว่านี้เพียงเล็กน้อย เขาคงถูกทับจนเละเป็นข้าวต้มไปแล้ว!
หลังจากได้เรียนรู้การต่อสู้ครั้งนี้ หยางเย่เข้าใจหลายอย่างเพิ่มขึ้น อันดับแรกพละกำลังทางกายภาพ และพลังป้องกัน ทั้งสองเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่ง ก่อนหน้านี้หากพละกำลังของเขาไม่แข็งแกร่งพอ เช่นนั้นร่างกายของเขาคงแพ้ไปตั้งแต่การปะทะแรกกับมันแล้ว และมันเป็นไปไม่ได้ที่จะเอาชนะได้ ดังนั้นหยางเย่จึงตั้งใจจะฝึกฝนร่างกายของเขาอย่างหนักเพิ่ม ด้วยพลังปราณห้าธาตุทองคำ เขาเชื่อว่ามันจะต้องช่วยเสริมพลังทางกายภาพและความแข็งแกร่งเพิ่มอีก ยิ่งกว่านั้นยังจะได้รับผลของมันเพิ่มเป็นสองเท่าจากการฝึก
อย่างที่สองคือเขาเข้าใจแล้วว่าความรวดเร็วไม่ใช่ทุกอย่าง โดยเฉพาะกับสัตว์อสูรทมิฬ เหมือนแรดเกล็ดทมิฬก่อนหน้านี้ ความเร็วของเขาเป็นเลิศอย่างมาก ทั้งยังสามารถโจมตีมันได้นับสิบครั้งเพียงชั่วอึดใจ แต่มันกลับไร้ประโยชน์! เขาไม่สามารถทะลวงพลังป้องกันของแรดเกล็ดทมิฬได้ไม่ว่าจะโจมตีกี่ครั้งก็ตาม
ดังนั้นหยางเย่ยังต้องเพิ่มพละกำลังอีก เพราะเมื่อมีพละกำลังที่แกร่งพอจะผสานกับความเร็วแล้ว มันก็สามารถต่อกรกับสัตว์อสูรทมิฬได้ มิเช่นนั้นหากเจอกับสัตว์อสูรทมิฬขั้นราชันอีกครั้ง ก็คงทำได้เพียงทรมานจากการถูกสังหาร!
อย่างที่สามคือหยางเย่ไม่มีทักษะมากพอที่จะใช้วิชา วิชาดาบแยกลมปราณของเขาไม่สามารถทำอะไรกับผู้รับใช้แห่งดาบหรือสัตว์อสูรทมิฬได้แม้แต่น้อย แน่นอนมันไม่ใช่เพราะวิชานี้อ่อนแอ เพราะหยางเย่เองก็เห็นกับตาแล้วตอนซูชิงฉือใช้มัน
ปัจจุบันเขามีวิชาอยู่ห้าอย่าง วิชาดาบพื้นฐาน วิชาดาบแยกลมปราณ วิชาควบคุมดาบ วิชาดัชนีดาบราชัน และก้าววายุ หนึ่งในวิชานี้เป็นขั้นปฐพี อีกหนึ่งเป็นระดับกลางขั้นสีดำ และวิชาที่เหลือเป็นระดับสูงขั้นสีเหลือง กล่าวได้ว่าคุณภาพของวิชาเหล่านี้ไม่ธรรมดา นอกจากวิชาดาบพื้นฐานแล้ว หยางเย่ยังไม่บรรลุในวิชาอื่นเลย เขาฝึกฝนทุกวิชาเพียงแค่ขั้นพื้นฐานของพวกมันเท่านั้น
ตลอดทางที่ผ่านมา หากไม่ได้ฝึกฝนวิชาดาบพื้นฐานจนถึงแก่น และหากไม่ได้วิชาระดับสูงทั้งหลายมาเสริม เขาคงถูกส่งออกจากหอคอยไปนานแล้ว
เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ หยางเย่สูดหายใจลึกพร้อมฝืนหัวเราะออกมา ‘ดูเหมือนเราจะมีความบกพร่องอยู่มาก! จากข่าวลือที่ได้ทราบมา บรรดาอัจฉริยะในหมู่อัจฉริยะของเทียบอันดับสวรรค์ ด้วยความแข็งแกร่งของเราในตอนนี้ ก็ไม่ต่างจากมดปลวกสำหรับพวกเขา!’
หยางเย่ไม่เคยประเมินเทียบอันดับสวรรค์ในเขตแดนใต้มาก่อน เขาไม่ทราบว่ามีคนมากมายเพียงใดอาศัยอยู่ในเขตแดนใต้ แต่ก็ตระหนักได้ถึงบางสิ่ง มีอัจฉริยะที่น่าเกรงขามอยู่นับไม่ถ้วนในเขตแดนใต้ หากเขาต้องการโดดเด่นในหมู่ปีศาจนั้นและขึ้นไปสู่ห้าอันดับแรก ความลำบากกว่าจะสำเร็จคงยากเกินกว่าจะจิตนาการได้
เขาเคยโอ้อวดไว้และบอกโฉมงามไปแล้ว ดังนั้นหากไม่สามารถทำสำเร็จ นอกจากสูญเสียสหายแห่งเต๋าไปแล้ว เขายังจะเสียหน้าเพิ่มด้วย เช่นนั้นเขาจำต้องเข้มงวดและฝึกฝนตนเองให้หนักขึ้น
มีเพียงแรงกดดันเท่านั้นถึงจะพัฒนาตนเองได้! หยางเย่ยิ้มและหยุดคิดเกี่ยวกับเรื่องในอนาคต ตอนนี้เขาต้องเผชิญกับความลำบากตรงหน้า มีสัตว์อสูรขั้นราชันอยู่ชั้นยี่สิบ ดังนั้นชั้นยี่สิบเอ็ดจะน่าสะพรึงกลัวเพียงใด? เขาจะหยุดลงที่ชั้นยี่สิเอ็ดเหมือนอัจฉริยะคนก่อนงั้นหรือ?
หยางเย่ไม่คิดให้เสียเวลา เพราะต้องฟื้นฟูพลังปราณก่อนตอนนี้ เขาไม่มีความมั่นใจในความสามารถของตนเองที่จะไปสู้ในชั้นต่อไป แต่ก็ยังไม่ยอมแพ้ ไม่ว่ายังไงเขาก็ต้องการที่จะพยายามอีกสักครั้ง แม้มันเป็นสัตว์อสูรขั้นจิตวิญญาณ เขาก็ต้องการที่จะสู้!
สี่วันผ่านไปตั้งแต่เริ่มการทดสอบสำนักนอก จำนวนคนด้านนอกของหอคอยไม่ได้ลดลงแต่แม้แต่น้อย มันกลับเพิ่มมากขึ้นตลอดเวลาแทน
โดยเฉพาะเมื่อมีข่าวว่าศิษย์ใช้แรงงานที่อยู่ขั้นปราณมนุษย์ระดับแปดสามารถไปถึงชั้นยี่สิบ มันไม่เพียงแค่ศิษย์นอกที่มาชุมนุมกัน ยังมีศิษย์แรงงานจากยอดเขาแรงงานมาเพิ่มขึ้นอีก
หยางเย่ยังเป็นเพียงศิษย์แรงงานตอนนี้ เมื่อมีศิษย์แรงงานได้ทำให้ทั้งสำนักตกตะลึง จะไม่ให้ศิษย์ขั้นเดียวกันตกตะลึงได้อย่างไร บรรดาศิษย์แรงงานนั้นต่างตื่นเต้นเสียยิ่งกว่าศิษย์นอกทุกคน
ผู้อาวุโสของสำนักดาบก็ไม่ได้ไล่ศิษย์แรงงานไปไหน เพราะเหตุการณ์ในหอคอยผู้รับใช้ดาบเกิดจากศิษย์ใช้แรงงานนั่นเอง
สิ่งที่ควรค่าแก่การกล่าวถึงเมื่อผู้คนทราบว่าใครอยู่ในหอคอยผู้รับใช้แห่งดาบก็คือหยางเย่ บางคนเริ่มสนทนาเกี่ยวกับหยางเย่ที่จะให้เขาเป็นแบบอย่างของสำนัก
พวกเขามีเหตุผลที่จะให้หยางเย่เป็นแบบอย่างที่ดี อย่างเช่นหยางเย่มาจากครอบครัวที่ยากจน ทั้งยังต้องทนกับความลำบากมาตั้งแต่เด็ก ยิ่งกว่านั้นยังไม่ยอมแพ้จากการถูกลดขั้นไปเป็นศิษย์แรงงาน กล่าวคือทุกสิ่งที่เลวร้ายกับหยางเย่ในอดีต มันกำลังจะมีค่ากับเขาเวลานี้
ยิ่งกว่านั้นผู้อาวุโสเชียนที่ถูกยกย่องจากบรรดาศิษย์ว่ามีดวงตาที่เฉียบแหลม มันทำให้เขาดีใจอย่างมากเมื่อได้ยินเช่นนี้
เวลานี้ทุกคนด้านนอกหอคอยผู้รับใช้แห่งดาบกำลังรอหยางเย่ทำลายสถิติจากครั้งที่แล้ว และสร้างสถิติใหม่
ภายใต้สายตาทุกคู่ที่มองดูอย่างคาดหวัง หยางเย่เปิดตาขึ้นในชั้นที่ยี่สิบ จากนั้นก้าวขึ้นไปยังชั้นยี่สิบเอ็ด!