ตอนที่ 89 สังหารในพริบตา!
หยางเย่รีบออกจากหุบเขาเพื่อจะถามถึงวันที่ของวันนี้ แต่ก็ต้องพบกับความประหลาดใจเพราะไม่เจอใครสักคน หยางเย่หาได้ยอมแพ้ไม่ เขาวนรอบสํานักนอกจนเจอศิษย์แรงงานคนหนึ่งที่เพิ่งเข้าร่วมสํานัก เขาทราบจากศิษย์แรงงานว่าทุกคนมุ่งหน้าไปยังลานประลองเป็นตายแล้ว
หยางเย่รีบพุ่งไปยังลานประลองเป็นตาย เขาต้องตกตะลึงเมื่อมาถึงที่นี่ เพราะมันเต็มไปด้วยผู้คนมากมาย เมื่อรวมศิษย์นอกรุ่นก่อนและศิษย์ใหม่เข้าด้วยกัน จํานวนคนจะมากถึงหนึ่งหมื่นคน ยิ่งกว่านั้น คนนับหมื่นมารวมตัวกันที่ลานประลองเป็นตาย มันจึงกลายเป็นสถานที่ที่คนชุนนุมกันอย่างแออัด
ขณะมองไปยังฝูงคนจํานวนมาก หยางเย่ค่อนข้างลําบากใจเล็กน้อย เพราะเขาพยายามจะหาหนทางเข้าไปข้างในนั้น
เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเดินเข้าไปผ่านบรรดาศิษย์ เขาได้ตบไหล่ศิษย์คนหนึ่งพร้อมกล่าว “ศิษย์พี่ข้าขอทางหน่อย”
ศิษย์นอกคนที่หยางเย่แตะไหล่คือศิษย์ใหม่เช่นเดียวกัน เขากําลังรู้สึกไม่พอใจกับคําเหยียดหยามจากบรรดาศิษย์รุ่นพี่ ดังนั้นเมื่อสังเกตว่ามีใครบางคนมาแตะที่ไหล่ เขาจึงรีบตอบโดยไม่ได้หันไปดู “ข้ากําลังอารมณ์เสียอยู่ อย่ามายุ่งกับข้า!”
หยางเย่ทําได้เพียงฝืนยิ้ม เขาปาดจมูกก่อนจะแตะไหล่ศิษย์คนนั้นอีกครั้ง “ศิษย์พี่ ให้ข้าเข้าไปด้วยเถอะ ข้าสายมากแล้ว!”
“ข้าบอกว่า…” ศิษย์ที่กําลังไม่พอใจหันไปมองหยางเย่ เมื่อเห็นหยางเย่ ท่าทีของเขาราวกับเจอผี เขาชี้ไปที่หยางเย่พร้อมอ้าปากค้าง
หยางเย่รู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อยเมื่อเห็นท่าทีของเขา “มันจําเป็นต้องทําเหมือนกับเจอผีเลยงั้นหรือ?”
ขณะที่หยางเย่กําลังจะกล่าวบางอย่าง ศิษย์คนนั้นหันไปตะโกนท่ามกลางกลุ่มคน “หยางเย่อยู่ที่นี่! หยางเย่อยู่ที่นี่!”
ภายใต้การเพิ่มพลังเสียงด้วยพลังปราณล้ำลึก เสียงของเขาดังก้องไปทั่วจนกลบเสียงอึกทึกรอบด้าน
จากนั้นทุกคนหันไปมองจุดที่ศิษย์คนนั้นอยู่ สายตาทั้งหมดจ้องมองไปที่หยางเย่
บนลานประลอง หลิวชิงอวี่เปิดตากว้างพร้อมกับมองหยางเย่ด้วยสายตาที่อาฆาตแค้น!
อีกด้านหนึ่ง ชิงเสวียถอนหายใจโล่งอกเมื่อเห็นหยางเย่ “ในที่สุดเขาก็มา”
แม้จะดูสงบมากเพียงใด นางก็ยังรู้สึกกังวลอยู่ในใจ เพราะการต่อสู้ครั้งนี้มันเกี่ยวข้องกับชื่อเสียงของกลุ่มดาบเทวะสวรรค์
เวลานี้หยางเย่เข้าใจแล้วว่าการเป็นจุดศูนย์กลางของความสนใจรู้สึกยังไง เขาพยักหน้าเล็กน้อยให้บรรดาศิษย์ด้านข้างก่อนจะเดินไปที่ลานประลอง
บรรดาศิษย์รอบด้านขยับหลีกทางให้ด้วยตนเอง
ในลานประลอง หยางเย่และหลิวชิงอวี่ยืนห่างกันสิบห้าเมตร และทั้งคู่มีดวงตาที่โกรธแค้นต่อกัน
เฉาหัวมองไปยังทั้งสองพร้อมกล่าว “หลิวชิงอวี่ หยางเย่ พวกเจ้าทั้งสองคืออัจฉริยะของสํานักดาบราชัน มันนับว่าเป็นการสูญเสียของสํานักไม่ว่าผู้ใดจะแพ้ในวันนี้ ผู้อาวุโสทุกคนและข้ายินดีจะช่วยคลายความขัดแย้งในใจให้พวกเจ้าทั้งสอง ดังนั้นพวกเจ้ายอมยกเลิกการต่อสู้ครั้งนี้ได้หรือไม่?”
“ข้าไม่อาจจับมือกับคนที่สังหารตระกูลข้าได้!” หลิวชิงอวี่กล่าว
หยางเย่หาได้สนใจหลิวชิงอวี่ไม่ เขามองไปที่เฉาหัวพร้อมกล่าว “ผู้อาวุโสเฉา เริ่มการประลองได้เลย ความขัดแย้งของพวกเราไม่ใช่สิ่งที่จะประนีประนอมกันได้!”
เฉาหัวถอนหายใจเมื่อได้ยินเช่นนั้น “ลานประลองเป็นตายขึ้นอยู่กับความสามารถของพวก เจ้าว่าจะอยู่หรือตาย เริ่มได้!”
ทันทีที่กล่าวจบ เฉาหัวได้ออกจากลานประลอง เหลือไว้เพียงหยางเย่และหลิวชิงอวี่
หลิวชิงอวี่บิดข้อมือเรียกดาบออกมา เขาไม่เปลืองลมหายใจเพื่อสนทนาสิ่งใดอีก ร่างของเขาพุ่งไปโจมตีหยางเย่อย่างรวดเร็วทิ้งไว้เพียงภาพติดตาอยู่ด้านหลัง
แม้ภาพติดตานี้จะเลือนลางเล็กน้อย แต่มันก็สามารถทําให้ผู้อื่นสับสนได้ เพราะหลิวชิงอวี่ไม่คิดจะโจมตีหยางเย่โดยตรง เขาใช้ก้าวเงาลวงวนอยู่รอบหยางเย่ ด้วยความเร็วที่เหนือความคาดหมาย มันเกิดเป็นภาพติดตานับยี่สิบร่าง ยิ่งกว่านั้น จํานวนของร่างเงายิ่งเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ แม้กระทั่งศิษย์ที่อยู่ด้านนอกลานประลองยังไม่สามารถมองได้ทัน
เมื่อพวกเขาเห็นฉากนี้ หนึ่งในศิษย์ด้านนอกอุทานด้วยความตกใจ “เคล็ดวิชาเงาลวงตามันเป็นวิชาขั้นสีดําระดับต่ำ! ยิ่งกว่านั้นศิษย์พี่หลิวยังฝึกฝนจนสามารถสร้างได้มากกว่าสามร่าง หยางเย่ลําบากแล้ว!”
“ใช่ ข้าไม่คาดคิดว่าศิษย์พี่หลิวจะฝึกฝนวิชาเงาลวงตาได้ถึงขั้นชํานาญเพียงนี้ ด้วยภาพเงาลวงตาผสานกับพลังปราณขั้นสวรรค์ กล่าวได้ว่าศิษย์พี่หลิวกําลังได้เปรียบอย่างมาก!”
“อย่าเพิ่งมั่นใจ หยางเย่คือผู้ที่เข้าสู่ชั้นยี่สิบสองในหอคอยผู้รับใช้ดาบเชียวนะ เขาจะต้องมีไพ่ตายเช่นกัน มาดูกันต่อ!”
ในลานประลอง ขณะที่หลิวชิงอวี่กําลังใช้วิชาทําให้คู่ต่อสู้สับสน หยางเย่ค่อย ๆ ปิดตาลง เขาไม่ได้มีทางเลือกอื่นนอกจากยอมรับว่าวิชาของหลิวชิงอวี่เหนือกว่าก้าววายุมากนัก แต่หลิวชิงอวี่ทําได้แค่ฝันกลางวันที่จะทําการสังหารหยางเย่
เขาขมวดคิ้วเมื่อเห็นหยางเย่ไม่สนใจวิชาของเขา
ดวงตาซูชิงฉือหลงเมื่อเห็นหยางเย่ปิดตา เขาไม่คาดคิดว่าาหยางเย่จะกล้าพอจนปิดตาเข้าสู้ แต่คงเพื่อไม่ให้สับสนกับภาพลวงตา เมื่อหยางเย่ปิดตาลงสนิท หลิวชิงอวี่ไม่สามารถกลั้นใจได้ไหวอีก
ประกายเย็นเยือกปรากฏผ่านดาบของหลิวชิงอวี่ที่แทงไปตรงคอหยางเย่
ทันใดนั้นหยางเย่เปิดตาขึ้น เขาหันกลับไปพร้อมปล่อยรังสีที่ดุดันออกมาโอบล้อมหลิวชิงอวี่
หลิวชิงอวี่เกิดอาการผวาขึ้นเมื่อสัมผัสได้ถึงรังสีพลังนั้น ทันทีที่ได้รับผลของพลังคุกคามเข้าไป เขาเกิดความคิดจะยอมแพ้ขึ้นมาในหัว ถูกต้อง พลังปราณนั้นรุนแรงและดุดันจนทําให้เขาไม่สามารถต้านทานได้ โชคดีที่ความแข็งแกร่งของเขาไม่ได้อ่อนแอ ดังนั้นจึงระงับอาการนั้นไว้ในเวลาต่อมาไม่นาน และเริ่มแทงดาบไปทางหยางเย่อีกครั้ง แต่ครั้งนี้ความเร็วมันลดลงอย่างมาก
เวลานี้หยางเย่ได้ทําการชักดาบ
ประกายเย็นเยือกปรากฏผ่านลานประลอง จากนั้นทุกอย่างได้แข็งที่อขณะที่ดาบของหลิวชิงอวี่อยู่ห่างจากคอหยางเย่เพียงไม่กี่เซนติเมตร
หลิวชิงอวี่มองไปที่หยางเยู่พร้อมกล่าว “ค… ความเร็วอะไรกัน!”
ทันทีที่กล่าว เลือดได้พุ่งออกมาจากคอของหลิวชิงอวี และร่างของเขาค่อย ๆ ร่วงลงกับพื้น
ทุกคนรอบลานประลองตกตะลึง
หยางเย่ไม่สนใจสายตาของคนเหล่านั้น เขาเดินไปที่หลิวชิงอวี่พร้อมถอดแหวนมิติออกจากมือของเขา จากนั้นจึงเดินออกจากลานประลอง
จากการต่อสู้ในครั้งนี้ หยางเย่สามารถเข้าใจการใช้ “เจตจํานงแห่งดาบ” หนึ่งในนั่นคือความสามารถในการยับยั้งชั่งใจ ก่อนหน้านี้เมื่อเขาใช้เจตจํานงค์แห่งดาบ เขาสามารถสัมผัสอย่างเห็นได้ชัดไม่ว่าจะเป็นพลังหรือความเร็วของหลิวชิงอวี่ ทั้งสองถูกมองออกและถูกระงับได้อย่างรวดเร็ว
เพราะเหตุนี้จึงทําให้หยางเย่สามารถสังหารเขาได้เพียงแค่การโจมตีเดียว
ยิ่งกว่านั้น หยางเย่เชื่อว่าผลของเจตจํานงแห่งดาบยังสามารถทําได้มากกว่านี้ เพราะไม่ว่าจะเป็นความเร็วหรือพลังที่เขาใช้ มันเพิ่มประสิทธิภาพได้อย่างเยี่ยมยอด กล่าวคือเจตจํานงแห่งดาบนี้สามารถเพิ่มความแข็งแกร่งของเขาได้อย่างน่ากลัว
เมื่อหยางเย่เดินออกจากลานประลอง ผู้ชมโดยรอบได้หายจากอาการตกใจ จากนั้นบรรดาศิษย์ด้านหลังชิงเสวียเริ่มส่งเสียงโห่ร้องด้วยความตื่นเต้น ก่อนหน้านี้ หยางเย่มาถึงช้า ทําให้พวกเขาโกรธกันมาก ทั้งยังถูกเหยียดหยามจากบรรดาศิษย์พี่ ตอนนี้หลิวชิงอวี่ถูกกําจัดได้ใน
ดาบเดียว มันราวกับการตบหน้าบรรดาศิษย์พี่อย่างสะใจ เช่นนั้นจะไม่ให้พวกเขามีความสุขได้ยังไง? จะไม่ให้พวกเขาไม่ตื่นเต้นได้ยังไง?
หลังจากได้สติกลับมา ชิงเสวียเผยรอยยิ้มออกมาอย่างชัดเจน เพราะหลังจากวันนี้ไปตลอดสามปีข้างหน้า ชื่อเสียงของกลุ่มดาบเทวะสวรรค์จะโด่งดังจนไม่มีใครในสํานักกล้าทัดเทียม!
หลังจากเจียงหยวนที่ยืนอยู่ท่ามกลางกลุ่มคนได้สติ ความรู้สึกด้อยพลังได้ปรากฏขึ้นในใจเขาทันที เดิมที่เขาคิดว่าความแข็งแกร่งระหว่างเขาและหยางเย่ไม่ได้ห่างกันมากทั้งยังเคยคิดว่า หากต่อสู้กับหยางเยในวันนั้น เขาจะมีโอกาสถึงเจ็ดในสิบที่สามารถเอาชนะหยางเย่ได้
แต่ความเป็นจริงตรงหน้าได้บอกเขาอย่างชัดเจนว่า แม้จะเป็นยอดฝีมือขั้นปราณสวรรค์ และหยางเย่จะอยู่เพียงขั้นปราณมนุษย์ ช่องว่างระหว่างทั้งสองก็กว้างใหญ่มาก และมันไม่ใช่สิ่งที่เขาจะไล่ตามได้ทันเวลาช่วงระยะเวลาสั้น ๆ
อีกด้านหนึ่ง บรรดาศิษย์พี่อีกฝั่งยังคงตกตะลึงไม่หาย อันดับสิบเก้าของเทียบอันดับสํานักนอก หลิวชิงอวี่ ถูกจัดการอย่างง่ายดาย มันหมายความอะไรกัน?” มันหมายความว่าบรรดาศิษย์พี่ เกือบทั้งหมดที่นี่ไม่มีใครสามารถต่อกรกับหยางเย่ได้อีก! ในขณะที่หยางเย่อยู่เพียงแค่ขั้นปราณมนุษย์เท่านั้น!
ความจริงอันโหดร้ายนี้ทําให้พวกเขาไม่อาจยอมรับได้
แต่หยางเย่หาได้สนใจไม่ ที่เขาต้องการตอนนี้คือกลับไปยังหุบเขาวายุเหมันต์ และศึกษาเจตจํานงแห่งดาบต่อ จากนั้นค่อยเข้าร่วมทดสอบศิษย์ในสํานักในวันพรุ่งนี้ ในตอนแรกหลังจากที่มารดาถูกจับตัว หยางเย่หาได้สนใจตําเหน่งในสํานักไม่ แต่หลังจากที่เสี่ยวเหยาเข้ามายังสํานักดาบราชัน เขารู้สึกว่าต้องมีตําเหน่งในสํานักดาบราชันสูงขึ้นอีก เพราะมีเพียงหนทางนี้ที่จะเพิ่มความปลอดภัยให้นางได้ ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจเข้าร่วมการทดสอบศิษย์ใน
แต่ทันใดนั้น ประกายแสงสีขาวได้สว่างขึ้นทั่วท้องฟ้า ชายวัยกลางคนปรากฏตัวขึ้นเหนือลานประลองเป็นตาย!
เมื่อพวกเขาเห็นชายวัยกลางคน เสียงอึกทึกภายในลานประลองได้เงียบลงไปทันที เพราะชายวัยกลางคนผู้นี้สามารถบินได้ด้วยดาบ นั่นหมายความว่าเขาอยู่ในขั้นปราณจิตวิญญาณ! พวกเขาไม่กล้าที่จะเผชิญหน้ากับยอดฝีมือขั้นปราณจิตวิญญาณ
ชายวัยกลางคนมองกวาดไปที่บรรดาศิษย์ จากนั้นเขามองไปยังเฉาหัวที่ยืนอยู่บนลานประลอง “เฉาหัว ใครคือหยางเย่?”
เฉาหัวชะงัก เขาไม่ทราบเหตุผลว่าเหตุใดชายวันกลางคนถึงถามหาหยางเย่ แต่เขาก็ไม่กล้าเอ่ยถาม ดังนั้นจึงรีบชี้ไปที่หยางเยในทันทีพร้อมเอ่ย “เขาอยู่นั้น!”
ชายวัยกลางคนพยักหน้า จากนั้นเขาพุ่งไปหาหยางเย่ เขาลงมาสนทนากับหยางเยู่ในระดับเดียวกัน “ข้ามคําสั่งของผู้อาวุโสชั้นสูงให้พาตัวเจ้าไปที่หอคอยล่องนภา มากับข้า!”
ถึงแม้หยางเย่จะสับสนเล็กน้อยว่าเกิดอะไรขึ้น เขาก็ไม่กล้าปฏิเสธและพยักหน้ารับ
ชายวัยกลางคนสะบัดมือพร้อมพาหยางเย่บินหายไปในทันที
เมื่อหยางเย่มาถึงหอคอยล่องนภา ท่าทีของเขาเปลี่ยนเป็นมืดดําทันที เพราะมีสตรีสี่คนยืนอยู่ภายในห้องโถง หนึ่งในนั้นคือเฟิงอี้ สตรีคนที่จับตัวมารดาของเขาไป!