“ ฉันต้องดูก่อนจะตัดสินใจ”
“ นายไม่เชื่อใจฉันเหรอ?”
“ คงไม่ผิดถ้าจะบอกว่าฉันไม่ ”
เฟรย์ตอบแบบห้วนๆ
อย่างไรก็ตามการแสดงออกของริกิแสดงให้เห็นว่าเขาคาดหวังการตอบสนองดังกล่าว
“ เราสองคนมองสิ่งต่างๆแตกต่างกัน”
“ นายคงอยากเห็นมันด้วยตาของนายเอง ฉันเข้าใจได้”
ในขณะที่เขาพยักหน้าริกิหยุดครู่หนึ่งก่อนที่จะพูด
“ นายคิดอย่างไรเกี่ยวกับเผ่าพันธุ์อื่น”
” อะไรกัน?”
ใครเค้าถามคําถามแบบนั้นกัน?
เมื่อเฟรย์หันมาหาเขาด้วยสีหน้างงงวยริกิก็พูดต่อด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
“ ฉันกําลังถามนายว่านายเชื่อว่ามนุษย์เป็นเผ่าพันธุ์ที่เหนือกว่าทุกเผ่าไหม?”
“ ไม่นั้นไม่จริงเลย”
โดยธรรมชาติแล้วเฟรย์ชอบมนุษย์
เขาชอบการกระทําเชิงบวกและศักยภาพที่มนุษย์มีและเหนือสิ่งอื่นใดเขาให้ความสําคัญกับความมุ่งมั่นของพวกเขาแม้ว่าจะเผชิญกับความท้าทายก็ตาม
อย่างไรก็ตามนี่ไม่ได้หมายความว่าเฟรย์ถือว่าพวกเขาเหนือกว่าเผ่าอื่นๆอย่างที่ริกิพูด
เขารู้ว่ามีสิ่งมีชีวิตที่น่าอัศจรรย์อื่นๆ อีกมากมายนอกจากมนุษย์
ริกิพยักหน้าอย่างโล่งอก
“ ถ้าเป็นเช่นนั้นฉันก็ไม่มีอะไรต้องกังวลไปดูด้วยตาตัวเอง มีแคมป์อยู่สองสามแห่งบนภูเขา แต่ฉันขอแนะนําตรงนั่นเป็นการส่วนตัว”
จากนั้นริกิชี้ด้วยนิ้วของเขา
เฟรย์เพ่งสายตาไปที่จุดที่เขาชี้ไป แต่เขาไม่เห็นอะไรเลย
“…ฉันไม่เห็นอะไรเลย”
“ มีปราสาทซ่อนอยู่ในต้นไม้ เขามีทหารราวๆสามสิบคน เฝ้ามัน ส่วนใหญ่เป็นอัศวิน แต่อย่างมากก็เป็นเพียงคลาสระดับสองเท่านั้น คงไม่ใช่เรื่องยากสําหรับนายที่จะกําจัดพวกมันด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์ของนาย”
“ แล้วถ้าเกิดฉันตัดสินใจว่าพวกเขาไม่สมควรถูกฆ่าละ…”
“ หากเป็นเช่นนั้นนายก็แค่เดินออกไป ฉันจะไม่บังคับนาย”
ริกิพูดด้วยน้ําเสียงที่ปกติและสงบ
เฟรย์รู้สึกแปลกเล็กน้อยเมื่อเห็นสิ่งนี้เพราะดูเหมือนว่าเขาจะเดาปฏิกิริยาของเฟรย์ได้แล้ว
” ประการแรก”
เขาต้องตรวจสอบด้วยตัวเอง
อาจทําให้เกิดปัญหาได้หากเขาสังหารมาร์ควิส คนใดคนหนึ่งของประเทศ แต่เฟรย์จะไม่แสดงท่าที่ลังเลหากเขาสมควรได้รับมัน
นี่เป็นเพราะเขาไปถึงระดับ 3 ดาวได้สําเร็จ
ตราบใดที่คู่ต่อสู้ของเขาไม่ใช่เดมิก็อดเฟรย์ก็ไม่กลัวที่จะต่อสู้แบบตัวต่อตัวกับใครก็ตาม
และแม้ว่าเขาจะต้องต่อสู้กับเดมิก็อดแต่อย่างน้อยเฟรย์ก็มีความมั่นใจที่จะหลบหนีได้โดยที่ร่างกายของเขายังคงสภาพสมบูรณ์ตราบใดที่เดมิก็อดนั้นไม่ใช่ลอร์ดหรือเหล่าอะโพคาลิปส์
เมื่อเขาคิดเช่นนี้เฟรย์ก็บินไปยังสถานที่ที่ริกชี้ให้เห็น
ตามที่ริกิบอกมีปราสาทเก่าแก่ซ่อนอยู่หลังต้นไม้
เขาไม่เห็นมันก่อนหน้านี้เพราะว่าเขาอยู่ไกลเกินไปแต่ตอน นี้เขาอยู่ใกล้มากขึ้นจนมันเหมือนว่ามันไม่ได้ซ่อนอยู่เลย
รอบๆ ของมันกลับสว่างไสวด้วยคบเพลิงจํานวนหนึ่ง
“…”
การแสดงออกของเฟรย์แข็งขึ้นเล็กน้อย
ภูเขาแห่งนี้อยู่ไม่ไกลจากตัวเมืองมากนัก ดังนั้นหากสถานที่แห่งนี้เป็นที่เปิดเผยต่อประชาชน และหากเป็นเช่นนั้นมันก็มีความเป็นไปได้สูงที่เจ้าหน้าที่ของลู่เป่ยจะรู้เกี่ยวกับการมีอยู่ของค่ายนี้
“ประเทศนี้เป็นประเทศที่มนุษย์เหม็นเน่าที่สุดที่ฉันรู้จัก”
คําพูดของริกิตั้งขึ้นในหัวของเขาอีกครั้ง แต่เฟรย์ส่ายหัว และตัดสินใจตรวจสอบภายในปราสาท
มีอัศวินในชุดเกราะยืนอยู่บนกําแพงสั้นๆ
“ระดับของพวกเขาไม่สูงแน่นอน”
ข้อมูลของริกนั่นแม่นยําและถูกต้อง
คนเหล่านี้เป็นได้อย่างมากก็แค่นักรบชั้นสอง
ปัจจุบันเฟรย์สามารถเผชิญหน้ากับอัศวินระดับมาสเตอร์ได้ แม้ว่าเขาจะไม่ได้ใช้มานาก็ตาม
ในระดับของพวกเขาแม้แต่อัศวินหลายร้อยคนก็ไม่สามารถหยุดเฟรย์ได้
ยิ่งไปกว่านั้นพลังศักดิ์สิทธิ์ของอินดรามีประสิทธิภาพโดยเฉพาะเมื่อใช้กับฝูงชน มันยากสําหรับพวกเขาที่จะป้องกันเนื่องจากเป็นเวทย์ระยะไกลและยังมีผลกระทบของกระแสไฟฟ้าพ่วงไปด้วย
อย่างไรก็ตามพวกเขาไม่ได้แค่ขาดพลัง
แม้แต่การเฝ้าระวังของพวกเขายังค่อนข้างหละหลวม
มีบางคนที่หาวง่วงนอนคุยกับเพื่อนร่วมงาน หรือแม้กระทั่งนั่งลงบนพื้นแล้วแอบหลับไป
ดูเหมือนว่าพวกเขาไม่ได้คิดว่าจะมีใครกล้าพอที่จะโจมตีพวกเขา
เฟรย์ปืนข้ามกําแพงอย่างเงียบๆ
สิ่งแรกที่เขาเห็นคือที่โล่งขนาดใหญ่
และในนั้นมีกรงหลายสิบกรง
กรงทั้งหมดทําด้วยเหล็กและทุกกรงเต็มไปด้วยทาส
ไม่ได้มีแค่มนุษย์
เช่นเดียวกับเผ่าพันธุ์ที่ชาญฉลาดอื่นๆ เช่นเอลฟ์คนแคระ และพวกครึ่งคนครึ่งสัตว์สิ่งมีชีวิตหายากทุกชนิดถูกกักขังที่นี่
พวกเขาทั้งหมดมีบางอย่างที่เหมือนกัน
ทางร่างกายพวกเขาดูปรกติดี อย่างไรก็ตาม ในขณะที่พวกเขาไม่มีอาการบาดเจ็บที่มองเห็นได้ พวกเขาทั้งหมดก็ดูกระสับกระส่ายราวกับว่าพวกเขาได้สูญเสียจิตวิญญาณ
ผู้ที่มีอาการไม่ดีจะเริ่มหายใจเร็วกว่าปกติที่ดูเหมือนจะไม่มี เหตุผล
กรงนั้นเล็กและสกปรกมาก
พวกมันมีขนาดเกือบสมบูรณ์แบบสําหรับเชลยของพวกเขาดังนั้นแม้แต่คนที่มีสุขภาพจิตดีอาจคลั่งได้หลังจากไม่กี่วันหากพวกเขาถูกบังคับให้อยู่ในกรงเหล่านี้
มีบางอย่างกองอยู่ทางด้านขวาและเมื่อเฟรย์จดจ่ออยู่กับมันการแสดงออกของเขาก็เปลี่ยนไปทันที
ศพของทาสที่ตายแล้วถูกกองพะเนินเทินทึก
ความโกรธของเฟรย์ก่อตัวขึ้นในทันที แต่เขาก็ยังสามารถวิเคราะห์สถานการณ์ได้อย่างใจเย็นและรวดเร็ว
“ทําไมถึงฆ่าพวกเขา?”
สําหรับคนเหล่านี้ทาสเป็นสินค้า สินค้าที่พวกเขาใช้ทําเงิน
พวกมันเป็นเศษขยะ? แต่เฟรย์ไม่คิดว่าพวกเขาจะเพิกเฉย ต่อคุณค่าของสินค้าของตัวเองเช่นนี้อย่างไร้เหตุผล
แต่หลังจากนั้นไม่นานเขาก็รู้ว่าทําไม
อัศวินคนหนึ่งกําลังเดินไปยังสถานที่ซึ่งศพถูกกองไว้ด้วยบันไดอย่างเงียบๆ
บนไหล่ของเขาคือเด็กผู้หญิงครึ่งคนครึ่งสัตว์
อัศวินที่ยืนอยู่ใกล้กองเริ่มคุยกับเขา
“ แกปล่อยมันออกมาหมดแล้วเหรอ”
“ อืม”
“ นั่น..? เธอตายแล้วหรือยัง”
“ยังไม่ตาย แต่จากรูปลักษณ์ของมันก็น่าจะอยู่ได้อีกไม่นาน”
“ อูราจิล….เอาง่ายๆ แกไม่รู้หรือว่าท่านมาร์ควิสกําลังอารมณ์ไม่ดีในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา”
“ ไม่ต้องห่วงเขาสนใจแต่พวกเอลฟ์เท่านั้น”
“ เอลฟ์ตัวหนึ่งเสียชีวิตในวันนี้ดังนั้นระวังเอาไว้ด้วย”
“จริงดิ? อืม…เข้าใจแล้ว”
จากนั้นอัศวินก็โยนหญิงสาวจากไหล่ของเขาลงบนกอง
หญิงสาวสะบัดแขนของเธอชั่วขณะด้วยดวงตาที่สิ้นหวังก่อนที่เธอจะหยุดเคลื่อนไหวอย่างช้าๆ
เฟรย์เห็นฉากนี้ตั้งแต่ต้นจนจบ
ไม่ใช่แค่เด็กหญิงครึ่งคนครึ่งสัตว์เท่านั้น
ในบางครั้งอัศวินจะใช้ทาสเพื่อสนองตัณหาหรือทรมานเพื่อคลายความต้องการหรือความเบื่อหน่าย
นั่นคือเหตุผลว่าทําไมศพของทาสจึงได้รับการปฏิบัติเช่นนี้
“…”
มันเป็นฉากของความบ้าคลั่ง
พวกเขาสูญเสียความเป็นคนไปเพราะพวกเขาติดอยู่ในสถานที่นี้เป็นเวลานานหรือ?
หรือนี่เป็นสถานที่ที่จะมีแต่คนน่าเกลียดและชั่วร้ายรวมตัวกัน?
เฟรย์เข้าใจทัศนคติของริกิอย่างสมบูรณ์
เขาจะไม่โกรธได้อย่างไรเมื่อเห็นมนุษย์ทําตัวแบบนี้?
ในฐานะคนที่ชอบและศรัทธาในมนุษย์ภาพนี้ทําให้เฟรย์รู้สึกขายหน้าราวกับว่าน้องชายของเขากําลังถูกเปิดเผยในที่สาธารณะ (Editor note: แปลยากจริงๆแต่ละคําในบทนี้น้อง ชาย = จู๋)
ซู่ๆ
อารมณ์ของเขาถูกยับยั้งในไม่ช้า
ความสงบและความเงียบที่มาพร้อมกับระดับ 8 ดาวของเขาไม่ได้ทําให้เขาปล่อยตัวเองไปตามอารมณ์
ตึง
เฟรย์ลงจากกําแพงและลงมาพร้อมกับเสียงที่เบามาก
เพียงแค่เสื้อคลุมและหน้ากากตัวตนของเฟรย์ก็ถูกซ่อนอย่างมีประสิทธิภาพ
หน้ากากมีผลในการปกปิดพลังศักดิ์สิทธิ์ของเขา แต่เมื่อเฟรย์ใช้มันการปกปิดนี้ก็จะหยุดลง
“ฮะ?”
อัศวินผู้พิทักษ์คนหนึ่งเอียงศีรษะขณะที่เฟรย์ปรากฏตัวต่อหน้าเขา
“ อะไรกัน…? นั้นเป็นหน้ากากที่ตลกดีนะ”
เขาพูดด้วยสีหน้าง่วงงุน
แม้ว่าเฟรย์จะปรากฏตัวต่อหน้าเขาอย่างเปิดเผย แต่เขาก็ไม่คิดว่าเฟรย์เป็นผู้บุกรุก
นั่นเป็นเพราะว่าพวกเขาไม่เชื่อว่าจะมีใครกล้าพอที่จะแทรกซึมเข้ามาในสถานที่แห่งนี้อย่างเปิดเผย
เขาคงคิดว่าเป็นเพื่อนร่วมงานคนหนึ่งของเขากําลังเล่นตลกอยู่
เสียงแตก
ประกายสายฟ้าสีฟ้าปรากฏขึ้นในมือของเฟรย์
ในตอนแรกเขาตั้งใจจะกําจัดเพียงแค่บุคคลที่รับผิดชอบสถานที่นี้
แต่เขาไม่คิดแบบนั้นอีกต่อไป
คนที่ทํางานที่นี่ล้วนเป็นขยะเน่าเฟะ
เขารู้สึกละอายใจที่จะเรียกพวกเขาว่ามนุษย์
แต่เหนือสิ่งอื่นใดนั้นเป็นชุดของพวกเขาที่ทําให้เฟรย์โกรธมากที่สุด
“ พวกแกใส่อะไรอยู่พวกแกรู้บ้างไหม?”
“อะไร?”
“ เกราะเหล็ก ดาบเงินและผ้าคลุม พวกแกคิดว่าตัวเองเป็น อัศวินจริงๆหรือ?”
การแสดงออกของอัศวินเปลี่ยนไปเป็นความโกรธ
“ แกกําลังพูดถึงเรื่องอะไร? ไม่สิแกเป็นใครกัน? ฉันไม่เคยได้ยินเสียงของแกมาก่อน…”
ในชั่วพริบตาต่อมาความตกใจก็ฉาบไปทั่วใบหน้าของเขา
“ ไม่มีทาง ผู้บุกรุ….”
เสียงแตก
สายฟ้าสีน้ําเงินแทงทะลุร่างของชายคนนั้นก่อนที่เขาจะมีโอกาสกรีดร้องทําให้เขาล้มลงคุกเข่า ร่างของเขาไหม้เป็นสีดํา
อย่างไรก็ตามฟ้าผ่านนสว่างและเห็นได้ชัด
“ อะไรนั่นคืออะไร”
“ ผู้บุกรุก! มีผู้บุกรุก!”
จากนั้นอัศวินคนอื่นๆ ก็พุ่งเข้าใส่เฟรย์เป็นกลุ่ม
เฟรย์ยืนอยู่ตรงกลางของช่องว่างด้วยมือของเขาที่อยู่ข้างๆเขารอให้อัศวินเข้ามาใกล้มากขึ้น
“อัศวินหรือ??”
ไม่พวกนี้ไม่ใช่อัศวินด้วยซ้ํา
เฟรย์นึกถึงเพื่อนงี่เง่าของเขาที่ทํางานอย่างหนักเพื่อที่จะกลายเป็นอัศวินที่เก่งที่สุดในโลก
ราชาคมดาบลูซิด
เขาจะทํายังไงถ้าเขามาที่นี่และเห็นสิ่งที่พวกขยะชั่วร้ายเหล่านี้ทําในขณะที่โอ้อวดยศของ “อัศวิน”
แน่นอนเฟรย์รู้คําตอบอยู่แล้ว
สิ่งที่เขากําลังจะทํา ไม่ได้มีอะไรเป็นพิเศษ
เขาแค่จะทําในสิ่งที่ลูซิดจะทําถ้าเขาอยู่ที่นั่น
มันก็แค่นั้นเอง