มหาวิบัติสงครามการกลายพันธุ์ (Mutagen) – ตอนที่ 1 : การมาเยือนของจุดเริ่มต้นสู่จุดจบแห่งความสงบสุข

ตอนที่ 1 : การมาเยือนของจุดเริ่มต้นสู่จุดจบแห่งความสงบสุข

 

วันแรก – เวลาตี5.22 นาที – ทางตอนใต้, ดิลิแมน, เมืองเกซอน, เมโทรมะนิลา, ฟิลิปปินส์

 

ที่แห่งนี้เป็นสถานที่แห่งความวุ่นวายไม่ว่าจะเวลากลางวันหรือกลางคืน ตึกอาคารเล็กหรือใหญ่ก็จะมีให้เห็นอยู่ทั่วพื้นที่ท่ามกลางประชากรมากมายที่ว้าวุ่นอยู่กับธุระและเรื่องของตัวเอง

 

น่าเสียดายวันนี้ เช้าแสนสงบสุขของทุกคนนั้นได้ถูกรบกวนด้วยปัจจัยหลายอย่าง เสียงไซเรนสะท้อนกันตามพื้นที่ต่างๆในเมือง  บางคนนั้นก็เคยชินกับเสียงพวกนั้น เพราะเป็นปกติที่อาจจะเกิดขึ้นเมื่อมีเหตุก่ออาชญกรรมและเสียงพวกนั้นก็เป็นเสียงที่พวกตำรวจไล่จับพวกอาชญากรหรือคนชั่วต่างๆ

 

อย่างไรก็ตาม ในตอนนี้มันไม่ใช่ในกรณีนั้น

 

สื่อ ตำรวจ กู้ภัย นักดับเพลิง และผู้คนอื่นๆต่างก็กำลังเข้ามาชุลมุนในที่เกิดเหตุไวที่สุดเท่าที่พวกเขาจะทำได้

 

แม้ในขณะนี้ พวกเขาต่างก็ต้องมีหน้าที่การงานที่ต้องไปรับผิดชอบ แต่ทุกคนนั้นได้รับความเสียหายอย่างรุนแรงจากสิ่งที่พวกเขาเห็นอยู่ข้างหน้านี้ตอนนี้

 

ตึกอาคาร แม้จะเป็นตึกทำงานหรือตึกที่พักอาศัยก็พังทลายลงมา ไฟเผาไหม้ลุกลามไปทั่วเกือบทุกที่ ซากปรักหักพังก็ได้ล้มลงมาอยู่ในพื้นที่บริเวณนั้น เส้นถนนหลายแห่งก็ถูกปิดกั้นและไม่สามารถเข้าไปถึงได้เนื่องจากการพังทลายของตึกอาคาร

 

จำนวนผู้เสียชีวิตก็ไม่สามารถประเมินได้จากการมองเห็นอยู่เบื้องหน้า

 

และสาเหตุที่เกิดขึ้นนั้นก็ไม่ได้มาจากแผ่นดินไหวแบบที่ทุกคนนั้นคาดคิดไว้ ผู้โดยสารเครื่องบินจำนวนมากบนเครื่องบิน A350 ตกลงสู่พื้นที่ใจกลางเมือง เครื่องบินขนาดใหญ่พุ่งชนตึกอาคารทำให้เกิดความเสียหายในขณะที่เครื่องบินนั้นพังออกเป็นส่วนๆ

ในขณะที่ตึกอาคารนั้นถูกกระแทกกับการชนของเครื่องบิน ส่วนหนึ่งของตึกยังคงยึดไว้ได้อยู่ ส่วนลำตัวของเครื่องบินยังไม่เสียหายเท่าไหร่มากและนอนนิ่งอยู่กับซากปรักหักพัง ผู้คนแถวนั้นต่างหวังว่าจะมีผู้รอดชีวิตบนเครื่องบินเหลืออยู่

 

เหล่ากู้ภัยรีบเข้าไปยังจุดเกิดเหตุและพื้นที่ที่เกิดความเสียหายทันที พวกเขามองหาผู้รอดชีวิตทั้งบนซากตึกและในเครื่องบิน ทั้งมีการดับไฟ แบกหามผู้บาดเจ็บไปที่รถพยาบาล และรายงานสถานการณ์ผ่านสื่อการรายงานข่าว

 

ยิ่งเร็วเท่าไหร่ที่พวกเขาเริ่มเข้าไปให้ความช่วย สถานการณ์อันเลวร้ายก็เกิดผลเร็วขึ้นตามมาเท่านั้น

 

มีผู้คนปรากฏออกมาเดินโซเซออกมาจากซากปรักหักพังจากส่วนลำเครื่องบินที่ไม่ได้รับความเสียหาย กู้ภัยรีบเข้าไปรักษาพยาบาลทันทีทันใด ทุกๆคนต่างก็ร้องอุทานกับปฏิหารที่เกิดขึ้น มันเหมือนราวกับฝัน

 

อย่างไรก็ตาม จากฝันนั้นก็ได้กลายเป็นฝันร้ายไปภายในพริบตา

 

“อ่าาาาาาห์”

 

เลือดกระเซ็นออกมาจากนักกู้ภัยที่ได้เข้าไปช่วยเหลือ ผู้คนที่ควรจะถูกช่วยเหลือจากการบาดเจ็บจากอุบัติเหตุจากเครื่องบินนั้นก็กระโจนเข้าใส่กัดและฉีกเนื้อหนังของนักกู้ภัยและผู้คนบริเวณนั้นออกเป็นชิิ้นๆ

 

เพียงแค่เท่านั้นยังไม่พอ มีสิ่งที่น่ารังเกียจสูงราวแปดฟุตพุ่งพรวดออกมาจากซากเครื่องบิน พวกมันมีผิวหนังที่เน่าเปื่อย และเสียงคำรางดังก้อง

 

กระสุนปืนก็ตามมาในตอนที่ตำรวจตัดสินใจลงมือยิง

 

อย่างไรก็ตาม พวกตำรวจนั้นก็มีไม่พอสำหรับการปฎิบัติหน้าที่กับเหตุการณ์นี้

 

ทุกคนในตอนนั้นพากันวิ่งหนีเพื่อให้ตัวเองรอดชีวิต พวกเขาคิดได้อย่างเดียวว่า

 

‘ทำไมเครื่องบินนั่นไม่ระเบิดไปแทนสะเลย’

 

***

 

วันแรก เวลา 9โมง27นาที – ทางหลวงเอมีลีโอ อากีนัลโด, เมืองบาคัวร์, คิวาเต, ฟิลิปปินส์

 

“ฮ่าาา…”

 

มาร์คถอนหายใจในขณะที่กำลังขึ้นบรรไดสะพานลอย เสียงถอนหายใจของเขาไม่ได้เต็มไปด้วยความรู้สึกที่ผิดหวังหรือหดหู่แต่เต็มไปด้วยความรำคาญ เขารำคาญมากเสียเหลือเกินจนแทบสามารถที่จะต่อยหน้าคนที่กำลังเดินอยู๋ข้างหน้าเขา แต่ความรู้สึกรำคาญของเขาก็ค่อยๆลดลง

 

เขาไม่ใช่บุคคลประเภทที่จะชอบออกจากบ้านบ่อยๆ แม้กระทั่งตอนที่เขาจำเป็นจะต้องออกไป เขาก็ออกไม่ไปไกลจากตัวบ้านอยู่ดี แต่วันนี้เขาต้องฝืนตัวเองหลายชั่วโมงในการเดินทางไปยันจุดหมายของเขา

 

บิลค่าไฟของเขาจำเป็นจะต้องชำระภายในวันนี้ไม่งั้นอาจถูกตัดไฟ ด้วยความขี้เกียจที่จะออกจากบ้าน สุดท้ายก็ต้องจบด้วยแบบนี้

 

ตั้งแต่ที่เขาจำเป็นจะต้องไปจ่ายค่าไฟ เขาตื่นหกโมงเช้าและต้องไปถึงที่การไฟฟ้าก่อนเจ็ดโมงเช้า เขาต้องการจะทำมันให้เสร็จกไว้ที่สุดเท่าที่เป็นไปได้และกลับไปที่บ้าน

 

ก็ปาไปเป็นเวลาแปดโมงเช้าแล้วที่เขาถึงจุดหมาย เนื่องจากการจราจรติดขัดมากแบบที่ไม่ได้คาดคิดไว้ มาร์ครู้สึกโชคดีเมื่อเขาถึง มีคนต่อแถวเพียงแค่สี่คน เขามาถึงสายไปหน่อยเขาคิดว่าจะมีคนเยอะต่อแถวมากว่านี้ เขาคิดว่าเขาจะได้กลับบ้านได้เร็วขึ้น

 

อย่างไรก็ตาม ความคิดนั้นก็ต้องสะดุดหยุดลงเมื่อเขาได้สังเกตุว่าลูกค้าที่มาก่อนเขายังไม่มีใครได้ไปใช้บริการสักคน

 

เวลาก็เริ่มผ่านไปเรื่อยๆ คนก็เริ่มเข้ามาใช้บริการเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แม้ในขณะนั้นก็ยังคงไม่มีใครได้ใช้บริการสักคนตั้งแต่อ๊อฟฟิศได้เปิดทำการตั้งแต่เช้า

 

มาร์คเริ่มรู้สึกหมดความอดทน แต่เขาไม่สามารถทำอะไรได้เพราะบิลค่าไฟต้องจ่ายภายในวันนี้ ถ้าเขาออกไปตอนนี้ เขาคิดว่าบ้านเขานั้นต้องไม่มีไฟใช้ในวันพรุ่งนี้แน่ ไม่ใช่แค่มาร์คคนเดียว แต่ผู้บริการคนอื่นๆก็รู้สึกแบบเดียวกับเขาด้วย คนอื่นๆก็เริ่มบ่นและถามพนักงานที่เดินผ่านไปมาตลอดเวลา

 

มาร์คสังเกตุเห็นว่าพนักงานบริการเริ่มมีอาการปั่นป่วนและสับสนวุ่นวายกับบางสิ่งบางอย่างอยู่ พวกเขาเดินไปมาระหว่างการทำงานด้วยท่าทางที่ไม่สบายใจเท่าไหร่

 

เวลา 9โมง27นาที ในที่สุดปัญหานั้นก็ถูกเปิดเผยให้ผู้ใช้บริการทราบ

 

“พวกเราขออภัยในความไม่สะดวกด้วย ระบบการทำงานนั้นมีปัญหาค้างและใช้การใดๆไม่ได้ พวกเราจะปรับปรุงให้โดยด่วน”

 

ผู้จัดการสาขาอธิบาย

 

ลูกค้าหลายคนนั้นก็มีคำถามออกมามากมาย เขารู้ว่ามีปัญหาโดยตรงมาจากของอ๊อฟฟิศหลัก และไม่มีใครสามารถบอกว่าจะเริ่มกลับมาใช้บริการได้อีกเมื่อไหร่

 

ในเมื่อพวกเขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจากไป ลูกค้าทุกคนออกไปจากอ๊อฟฟิศในขณะที่ก็ได้บ่นพึมพำไปตามๆกันกับการที่ต้องเสียเวลารอไปนานมาก

 

มาร์ครู้สึกหัวเสียมากเพราะว่าเขาต้องการจะจ่ายบิลในวันนี้เท่านั้น เขาออกไปจากอ๊อฟฟิศพลางคิดว่าจะมาชำระบิลอีกครั้งในตอนกลางวัน เขาไม่สามารถคา้งค่าบิลนี้ไปอีกวันได้ ถ้าทุกอย่างมันไม่ได้ดั่งใจเขา เขาตัดสินใจแล้วว่าจะใช้ชีวิตอยู่บ้านไปอีกหนุ่งวันแบบไม่มีไฟฟ้าให้ใช้และก็จะยอมจ่ายค่าปรับ

 

“ปัญหาเยอะอะไรอย่างนี้นะ…”

 

เขาบ่นอยู่คนเดียวในขณะที่เดินข้ามสะพานลอย

 

ตั้งแต่เขาได้ใช้เวลาผ่านไปเรื่อยๆ เขาก็ตัดสินใจที่จะเข้าไปที่ห้างสรรพสินค้าที่อยู่ห่างไม่กี่ถนนจากที่นี่ เขาอาจจะไปเล่นตู้เกมฆ่าเวลารออยู่ที่นั่น มันเป็นวิธีที่ดีที่ทำให้เขาใจเย็นลง

 

แต่เขาก็ยังคงต้องรอให้ถึงเวลา 10โมง เพื่อห้างสรรพสินค้าได้เปิดใช้บริการ

 

มาร์คเดินลงมาจากสะพานลอยและเลี้ยวซ้ายตรงดิ่งไปยังห้างสรรพสินค้า

 

เขาสังเกตุได้ว่ามีบางอย่างแปลกๆเกิดขึ้นในบริเวณพื้นที่แห่งนี้ อาจจะเป็นเพราะว่าเขาหงุดหงิดเกินไปหรือว่าเพราะเขานั้นไม่ได้ออกมาข้างนอกบ่อยๆ

 

ก่อนที่เขาจะเดินขึ้นไปบนสะพานลอย มีหลายคนก็กำลังเดินมาทางเดียวกับเขา ในขณะที่เขากำลังเดินข้ามสะพานลอยอยู่นั้น เขาก็ควรที่จะเห็นสภาพการจราจรที่ติดขัดเอาการมากกว่าปกติ เสียงบีบแตรดังก้อนบนถนนทางหลวงในขณะที่คนขับรถแสดงอาการหงุดหงิดกับการติดอยู่บนการจราจรที่หนักแน่น

 

มันแปลกไปมากกว่าเดิมอีกที่ถนนเลนทางเหนือบนทางหลวงนั้นมีการจราจรที่ติดหนัก แต่ในขณะที่ถนนเลนทางใต้มีรถวิ่งอยู่สองสามคันซึ่งน้อยผิดปกติ

 

ไม่มีใครได้สังเกตุว่ารถเกือบจะทุกคันนั้นที่มุ่งหน้าไปถนนทางใต้ไม่ได้มาจากถนนทางเหนือ แต่มาจากทางแยกของถนนทางด้านตะวันตกของทางหลวง มากไปกว่านั้น รถที่มาจากถนนทางเหนือนั้นขับเคลื่อนที่อย่างรวดเร็วเกินจำกัดด้วย เหมือนคนขับกำลังขับหนีอะไรบางอย่างงั้นแหละ

***

 

วันแรก เวลา10โมง4นาที – ทางหลวงเอมีลีโอ อากีนัลโด, กรมทางหลวงทิโรนา, ถนน ปานาพัน 4

 

คนขับรถ Jeeney รู้สึกหงุดหงิดอย่างมาก เขาไม่สามารถรอต่อไปได้กับการจราจรที่หนาแน่นไม่ขยับขนาดนี้ เขาค่อยๆขับรถ Jeepney ของเขามุ่งตรงไปยังถนนสายใต้บนทางหลวงด้วยความพยายามที่จะแซงยานพาหนะที่อยู่เบื้องหน้าเขา

 

ในขณะที่การจราจรในเลนนี้ที่กำลังลื่นไหลด้วยดี ได้เกิดเหตุรถบัสของเมืองจากถนนสายเหนือบนทางหลวงขับเคลื่อนมาด้วยความเร็วสูง รถบัสพยายามหลบเลี่ยงอุบัติเหตุ แม้ว่ามันจะอันตรายแค่ไหนหากได้เร่งความเร็วขึ้นอีก

 

ด้วยชะตากรรมที่พลิกผัน คนขับรถ Jeepney ไม่ได้ทันสังเกตุเห็นรถบัสที่ขับออกมาจากเลนเดียวกันกับเขาในเวลาเดียวกัน

 

เมื่อรถ Jeepney พยายามเบี่ยงเลนออกไปได้ครึ่งคัน รถบัสกลับไม่พยายามเลี่ยงไป ทำให้เกิดการชนกันระหว่างรถ Jeepney ด้วยแรงกระแทก

 

ครึ่งหน้าของรถ Jeepney ถูกบดขยี้และถูกเหวี่ยงชนเข้ากับรถอีกคันที่อยู่ท้ายคันของเขา

 

อีกด้านหนึ่ง รถบัสคว่ำไถออกไปเนื่องจากแรงกระแทก มันกลิ้งคว่ำไปมาหลายครั้งและกวาดยานพาหนะทุกคันและผู้คนที่อยู่บนท้องถนน มันได้หยุดกลิ้งทันทีหลังจากชนเข้ากับรถบัสคันที่มีขนาดใหญ่กว่า

 

ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นอันน่าสยองขวัญมากกับผู้คนที่พบเห็นเหตุการณ์ ยานพาหนะเกือบสิบคันถูกบดขยี้กลายเป็นซากศพเหล็กที่ราวกับมีเลือดไหลออกมาจากซากที่ยังเหลืออยู่ ซากเหล็กที่หักแตกออกมากระจายไปทั่วพื้นที่พร้อมกับร่างของผู้โชคร้ายที่ถูกสอยไปพร้อมกับรถบัส

 

ขาดออก บดขยี้ และกองทับกัน เป็นคำไม่กี่คำที่สามารถอธิบายกับภาพเหตุการณ์อันหน้าสยดสยองของศพที่นอนเสียชีวิตอยู่ใจกลางบนถนนทางหลวง

 

ผู้พบเห็นบางคนเข่าอ่อนหมดแรงเมื่อได้พบเห็นภาพเบื้องหน้า บางคนเบือนสายตาหนีไม่กล้าแม้จะมองภาพศพอันสยดสยอง ความรู้สึกตกใจและตื่นกลัวที่พวกเขาเผชิญกับสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่นั้นไม่สามารถอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้

 

ยังพอมีคนที่ตั้งสติได้อยู่รีบโทรหากู้ภัยหรือตำรวจให้รีบเข้ามาช่วยเหลือโดยทันที แต่อย่างไรก็ตาม  เสียงที่ได้ยินออกมาจากโทรศัพท์มีเพียงแค่เสียงสัญญาณปิ๊บๆ ไม่มีเสียงสัญญาณตอบโต้ใดๆออกมา ซึ่งมันมีความแปลกประหลาดบางอย่างที่ไม่มีใครในที่นี้สามารถล่วงรู้ได้ว่าเพราะคืออะไร

 

หลังจากอุบัติเหตุนั้นได้หยุดลง ผู้คนต่างๆก็เริ่มไปชุลมุนกันอยู่ตรงที่เกิดเหตุ บางคนก็ยังคงเรียกกู้ภัยและตำรวจกันต่อไป ในขณะที่บางคนนั้นถ่ายรูปและคลิปวิดิโอ

 

หลังจากนั้นแล้ว…

 

“เฮ้ ดูนั่น!”

 

ไม่มีใครรู้ว่าใครเป็นคนตะโกนออกมา แต่เสียงนั่นก็ได้เรียกความสนใจจากทุกคนไปที่ซากเหล็กและปรักหักพังซึ่งก็ดูไม่เหมืนอรถบัสไปเสียแล้ว ทุกคนให้ความสนใจไปตรงนั้นเพราะ…

 

พวกเขา เดินโซซัดโซเซ และเคลื่อนไหวอย่างเชื้องช้าออกมาจากที่เกิดเหตุ แม้ว่าแผลจะเหวอะหวะแค่ไหนและกระดูกได้แตกทะลุออกมาจากร่างกายไปแล้ว  ซึ่งเป็นผู้โดยสารที่ควรจะเสียชีวิตไปนานแล้วกลับปรากฏตัวออกมาจากรถบัส

 

ประชาชนผู้ซึ่งหวังดีนั้นได้วิ่งเข้าไปช่วยผู้บาดเจ็บโดยทันที อย่างไรก็ตาม สิ่งแรกที่พวกผู้บาดเจ็บทำคือกระโดดเข้าไปหาคนที่ได้อยู่ใกล้ที่สุด หลังจากนั้นก็มีเลือดกระเซ็นทะลักออกมา มีเสียงร้องดังลั่นอันน่าสยองเกล้าสะท้อนออกมาอย่างดัง ผู้คนที่อยู่บนถนนทางหลวงล้วนทุกคนจะต้องได้ยิน

 

สิ่งที่ทุกคนเห็นนั้นคือผู้คนที่พยายามจะเข้าไปให้ความช่วยเหลือต่างก็โดนกัดจนตายโดยพวกที่บาดเจ็บนั้นเป็นกระทำ ผู้คนแถวนั้นที่พยายามจะเข้าไปช่วยคนที่ถูกกัดก็ได้ประสบชะตากรรมเดียวกัน พวกเขาก็ถูกกัดด้วยเช่นกัน

 

ผู้ที่เห็นภาพแบบนั้นต่างก็ไม่สามารถควบคุมสติอยู่ได้ มีผู้คนเป็นจำนวนมากได้วิ่งหนีออกมาจากถนนหลวงสายเหนือ ในขณะที่พวกเขาวิ่งหนีใบหน้าของทุกคนนั้นต่างก็แตกตื่น ฉากหลังของพวกเขานั้นมีแต่เพียงเลือดที่ท่วมท้องถนนและเสียงกรีดร้องอันน่าสยดสยองดังลั่นต่อไปไม่หยุดยั้ง

มหาวิบัติสงครามการกลายพันธุ์

มหาวิบัติสงครามการกลายพันธุ์

เรื่องย่อ เป็นเช้าอีกวันที่คล้ายจะปกติธรรมดาเหมือนในทุกๆวัน แต่ใครจะรู้ล่ะ วันนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นของหายนะ จุดกำเนิดเริ่มต้นของหายนะนั้นไม่ได้ถูกกำหนดเอาไว้ แต่หารู้ไม่ เชื้อหายนะนั้นเริ่มเกิดขึ้นตั้งแต่เกิดจักรวาลแห่งนี้ แต่นั่นก็แค่เกิดขึ้นบริเวณนอกบรรยากาศของโลกเพียงเท่านั้นเอง ผู้คนและสัตว์ต่างๆกลับฆ่าฟันและกินกันเอง จากนั้นค่อยๆกลายพันธุ์เป็นสัตว์ประหลาดที่ใครๆต่างก็รู้จักชื่อนี้ดี ‘ซอมบี้’ ในขณะที่บางคนนั้นโชคดีได้รับพลังและทักษะความสามารถที่จะต่อสู้กับมัน ทุกๆชีวิตในตอนนี้ที่ไม่ได้ ‘กลายร่าง’ ก็เริ่มพัฒนาหาวิธีทำลายล้างและหยุดเรื่องราวทั้งหมดนี้ในขณะที่โลกทั้งใบนี้กำลังติดเชื้อโดยสารก่อการกลายพันธุ์บางอย่าง มาร์ค ชายผู้เป็นโอตาคุ เกมเมอร์ และไม่ชอบออกไปสู่โลกภายนอก กลับติดแหงกอยู่ใจกลางแห่งความหายนะซึ่งดูเหนือธรรมชาติ การใช้ความคิด ความรู้ และความสามารถที่ไม่เหมือนใครและไม่เป็นไปตามแบบแผนของสังคมของเขานั้น จะทำให้เขามีชีวิตรอดไปอีกนานแค่ไหนกับหายนะที่เต็มไปด้วยสัตว์ประหลาดซอมบี้ การเปลี่ยนแปลงต่างๆ และผู้คนชั่วร้ายสารเลวในฐานะผู้ที่ยังรอดชีวิตอยู่ในประเทศบ้านเมืองที่มีประชากรล้นเหลือแบบนี้

Comment

Options

not work with dark mode
Reset