ตอนที่ 14 : ผลงานชิ้นเอกอันเปื้อนมลทิน
เขาไม่ได้สังเกตุระยะบริเวณในโรงหนังเลยเนื่องจากมันค่อนข้างจะมืด โรงหนังแห่งนี้ถูกสร้างไว้ในลักษณะแบบนี้ ตอนนี้มาร์คเริ่มเห็นแก๊งนักเลงนั่นชัดเจนขึ้น เขาสามารถยืนยันได้เลยว่าเหล่าคนพวกนี้นั้นยังมีอายุแค่ประมาณ 14-16 ปีเองเท่านั้น
“พวกแกสามคนยกมือขึ้น และอย่าแม้แต่ที่จะเคลื่อนไหว ยกเว้นว่าพวกแกอยากหัวหลุดออกไปน่ะ”
เขาพูดอย่างเยือกเย็นใส่สามคนนั้น ก่อนจะจ้องมองไปที่คนสุดท้ายอีกคน
“และแกน่ะ ออกไปให้ห่างจากเธอสะ”
“แก! แกเป็นใครกัน? พวกเราไม่คิดจะทำตามที่แกบอกหรอก! แกไม่ควรมาเล่นบทเป็นฮีโร่นะ พวกเรามีกันอยู่ถึงสี่คน แต่แกมันตัวคนเดียว!”
หนึ่งในสามคนนั้นพูดออกมาด้วยน้ำเสียงกล้าแข็งออกมาด้วยเหตุผลบางอย่าง ในขณะที่หัวหน้าของพวกมันและคนอีกสองคนยังคงเงียบกริบไว้ คนที่พูดออกมาพยายามที่จะข่มขู่โดยการเดินออกมาประจันหน้าเหมือนกับว่ามันทำเป็นไม่กลัวปืน
พวกมันอีกสองคนก็ได้หัวเราะคิกคักกัน พวกมันคงเคยชินกับการใช้กลยุทธ์นี้หลายต่อหลายครั้งมาก่อนเมื่อตอนที่พวกมันมีเรื่องทะเลาะกันภายในแก๊งและใช้วิธีนี้ในการปะนีปะนอม ดังนั้นพวกมันจึงรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับไอโง่คนนี้ซึงทำตัวเล่นบทเป็นฮีโร่เข้ามาช่วย พวกมันสังเกตุว่ามาร์คไม่ได้โต้ตอบและคิดว่าเขากำลังหลอกล่อพวกมันอยู่ ในขณะที่สายตาของมาร์คนั้นก็เพ่งเล็งไปหาพวกมันทุกคน พวกมันคิดว่ามาร์คนั้นไม่กล้าแม้แต่จะยิงด้วยซ้ำ
โชคไม่ดีเท่าไหร่ พวกมันเล่นบทเป็นคนโง่ไปแล้วครั้งหนึ่ง มาร์คไม่ได้จ้องเขม็งไปยังพวกมันโดยตรง แต่เป็นเพราะว่าเขากำลังมองหาบางสิ่งซึ่งคืออาวุธ แม้ว่าเขาจะมีลางสังหรณ์รู้อยู่แล้วว่าแต่ละคนนั้นมีอาวุธอะไรอยู่ เขาทำเพียงเพราะให้แน่ใจเพียงเพื่อเขาจะได้ไม่ต้องใช้ลูกกระสุนไปอย่างสิ้นเปลือง
ใช่! เขาแค่ไม่ต้องการที่จะทำให้ลูกกระสุนเสียไปฟรีๆ!
พวกแก๊งนักเลงนั่นได้ยิ้มกันอยู่ในใจ แต่โชคไม่ดีเลยสำหรับพวกมัน ความหวังของพวกมันสลายหายไปเมื่อมาร์คได้เริ่มยิ้มออกมา รอยยิ้มนั้นถูกเติมเต็บไปด้วยความดูหมิ่นใส่พวกมันโดยตรง จากนั้นเขาก็ได้พูดออกมา
“ทำงานเป็นทีมดีนะ แต่…”
มาร์คได้เตะไปที่ง่ามขาของคนที่อยู่ข้างหน้าเขาจนทำให้มันเข่างอล้มลงไปกับพื้น จากนั้น…
ปัง!
“เรื่องแบบนี้ฉันไม่พลาดหรอก”
หัวหน้าของพวกมันก็สูญเสียแขนขวาไป ปืนลูกซองได้พังแขนของเขาไปเรียบร้อยสะแล้ว และปืนพกของมันก็ปลิวออกไปพร้อมแขนขวาของมันที่ถูกใช้การไม่ได้แล้ว
มาร์คนั้นรู้อยู่แล้วว่าหัวหน้าของพวกมันจะต้องมีปืนพกไว้เนื่องจากหลายๆสาเหตุ อย่างแรก เด็กชายที่เสียชีวิตอยู่ตรงใกล้ๆทางเข้าถูกฆ่าโดยโดนยิง อย่างที่สองเป็นนิสัยของพวกที่ชอบกระทำชำเราอยู่แล้วที่ต้องพกปืนไว้ พวกมันควรที่จะได้รุมโทรมเด็กสาวคนนั้นที่นอนอยู่บนพื้นแล้ว แต่ก็ยังไม่ได้ทำ เธอถูกเสิร์ฟให้เป็นออเดิร์ฟกับเจ้านายของพวกมันเสียก่อน อย่างที่สามคือคนที่ถูกมาร์คเตะ จริงๆแล้วมันจะพยายามเคลื่อนไหวมาอยู่ข้างหน้าปืนของเขาไม่ใช่เพียงเพื่อข่มขู่เขา แต่ต้องการที่จะซ่อนความเคลื่อนไหวของหัวหน้ามัน
เมื่อมาร์ครู้แล้วว่าใครที่มีปืน สายตาของเขาก็จ้องพุ่งไปที่พวกมัน และเพื่อให้ชัวร์ว่าเด็กพวกนี้มีปืนกันอยู่แค่กระบอกเดียว เป็นเพราะว่ามาร์คได้เผยตัวตนของเขาออกมาแล้ว พวกมันทั้งสามคนตอบโต้โดยได้พยายามคว้าหาอาวุธซึ่งก็เป็นอาวุธที่ไม่มีทางสู้ได้ และพวกมันไม่แม้แต่จะยอมแพ้ทั้งๆที่พวกมันถูกปืนเล็งอยู่
ตอนนั้นเองหัวหน้าของพวกมันก็กำลังจะหยิบปืนขึ้นมา มาร์คเลยจัดการเตะเสยไปที่ลูกน้องพวกมัน จากนั้นก็ยิงไปที่แขนของเจ้านายพวกมัน เมื่อตอนที่เขาได้เตะไปที่ลูกน้องของมันล้มไปด้วยความเจ็บปวด จริงๆแล้วเขาต้องการที่ยิงมันให้ตายไปเลยด้วยซ้ำ แต่เขาก็อยากจะอะลุ้มอล่วยให้มันก่อนด้วยเหตุผลหลายๆอย่าง
หัวหน้าของพวกมันพยายามตั้งตัวยืนขึ้นด้วยความเจ็บปวดและตกใจ มันได้จับแขนที่เหลือของมันไว้อย่างแนบแน่น แต่ทันใดนั้นเอง มีดยาวของมันก็หลุดออกมาและห้อยแกว่งไปแกว่งมาอยา่งไม่น่าดู ในขณะที่มันได้ล้มกลิ้งไปตามพื้น ทำให้มีดยาวที่หลุดออกมาแทงไปที่มัน เลือดสาดกระจายเต็มกำแพงโรงหนังและพื้น เขาร้องตะโกนร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดก้องไปทั่วฮอลโรงหนัง คนที่มาร์คได้เตะก็ล้มสลบไปไม่มีสติอยู่ที่พื้นและในปากของมันก็เต็มไปด้วยฟองน้ำลาย
พวกมันอีกสองคนที่เหลือได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับหัวหน้าและเพื่อนของมันก็ไม่ได้ยอมจำนนต่อความกลัวหรือยอมแพ้ แต่พวกมันกลับวิ่งหนีไปเร็วที่สุดเท่าที่พวกมันจะทำได้ พวกมันทิ้งอาวุธไว้ข้างหลัง
พวกมันวิ่งหนีด้วยความหวาดกลัวอย่างลนลานว่าพวกมันจะถูกยิงและจบชีวิตลงเหมือนเพื่อนของพวกมัน และยมทูตของพวกมันจริงๆแล้วคงกำลังมองดูพวกมันเหมือนมองดูแมลงสาปที่กำลังวิ่งหนีจากความตาย
มาร์คแค่ยืนมองพวกมันสองคนอย่างเหยีดยาม โดยไม่มีความคิดโง่ๆจะวิ่งไล่ตามพวกมันไป มันไม่มีค่าพอสำหรับลูกกระสุนของเขา อีกอย่างเขามีแผนไว้สำหรับพวกมันแล้ว จากนั้นเขาเข้าไปกระชากแขนของหัวหน้าแก๊งที่กำลังบาดเจ็บสาหัสอยู่เพื่อจะเอาปืนพก จากนั้นเขาก็ได้เอาผ้าเช็ดหน้าออกมาจากกระเป๋าของเขา และใช้มันเช็ดเลือดที่เปื้อนอยู่บนปืนพก
“ลูกกระสุน 38มม. นิ?”
มาร์คถามตัวเองในขณะที่เขาก็สำรวจกับปืนพกนนั่นอยู่
เขาเปิดกระบอกปืนและหยิบกระสุนเปล่าออกมาสองลูก และเหลืออีกสี่ลูกที่เปน 38 มม. ที่ยังยิงได้ และเขาก็ได้หยิบเอากระสุนเปล่าสองอันนั้นออกมาเก็บใส่กระเป๋า แล้วเอาอีกสี่ลูกที่เหลือใส่เข้ากระบอกปืนเหมือนเดิม
เขาถือปืนพกอันใหม่ที่ได้รับมา จากนั้นก็เข้าไปหาหัวหน้าแก๊งที่นอนครวญครางอยู่ เสียงของมันก็ได้แหบแทบไม่ได้ยินไปแล้ว เนื่องจากความเจ็บปวดที่รุนแรงที่มันได้รับไป และเป็นเพราะมันก็ได้รับความสูญเสียครั้งใหญ่ในชีวิตไป มันจับแขนของมันไว้อย่างแนบแน่นเพื่อพยายามห้ามเลือดไม่ให้ไหลหมดตัว มันมองจ้องไปที่มาร์คซึ่งกำลังเดินเข้ามาหาด้วยสายตาที่แสดงถึงความกลัว
“อย่าฆ่าฉัน… นายยังสามารถเอาผู้หญิงไปได้นะ แค่อย่าฆ่าฉัน…”
มันกลัวว่ามาร์คผู้ซึ่งมีสายตาเหมือนปีศาจในตอนนี้นั้นจะฆ่าเขา
ในทางตรงกันข้าม มาร์คไม่ได้สนใจไปที่เสียงขอร้องแหบๆของมัน เขาได้ยินคำอ้อนวอนของมันแต่ใครมันจะไปอ้อนวันโดยทั้งๆที่ไม่ได้ใส่กางเกงกัน? มะเขือยาวของมันห้อยแกว่งไปแกว่งมาและชี้ไปทางเขา! เขาคุกเข่าลงและหยิบกางเกงของมันมา แน่นอนเขาไม่ได้จะช่วยมันสวมกางเกง แต่ก็เพื่อที่เขาจะหาของในกระเป๋ากางเกงมัน
เขาเจอลูกกระสุน 38 มม.อยู่ที่กระเป๋าหลังมัน ไม่แปลกใจที่ทำไมกระเป๋าของมันถึงดูหนัก จากนั้นเขาก็ปล่อยหัวหน้าแก๊งทิ้งไว้ด้วยความเจ็บและความกลัว หัวหน้าแก๊งมันเริ่มที่จะเงียบไปแล้ว และมันก็เริ่มที่จะอ่อนแอลงไปเรื่อยๆ
มาร์คหันไปมองที่เหยื่อซึ่งนั่งอยู่เงียบๆที่พื้น เด็กสาวนั้นมีใบหน้ารูปไข่ที่ดูสง่า ผมที่ยาวปะไหล่ของเธอดูนุ่มตรง สัดส่วนของรูปร่างเธอ แขนและขาก็ดูเข้ารูปทั้งหมด แม้กระทั่งหน้าอกของเธอก็ไม่ได้ดูใหญ่หรือเล็กสำหรับขนาดตัวของเธอ มาร์คคิดว่าหากเอเจนซี่นำเธอไปโชว์ตัวให้วงการบันเทิง เด็กสาวคนนี้ก็คงจะดังน่าดู
เธอเหมือนเป็นผลงานชิ้นเอกที่สวยงาม
โชคร้ายเหลือ ตรงที่ความเพอร์เฟ็คของเธอก่อให้เกิดเรื่องที่รุนแรงแบบนี้ ของเหลวข้นสีขาวติดอยู่ที่ขาและร่างกายใบหน้าของเธอ และติดอยู่ที่ปากของเธอด้วย แสดงให้เห็นว่าหลายครั้งที่ไอชั่วช้านั่นได้สำเร็จความใคร่ของมันใส่เธอไปหลายครั้ง อีกทั้งเลือดของมันก็กระเด็นเปื้อนไปที่เธอเมื่อตอนที่เขาได้ยิงมัน รอยฟกช้ำต่างๆก็ปรากฏอยู่แก้มซ้ายและแขนทั้งสองข้างของเธอ
เขาเมินเฉยสถานการณ์อันโชคร้ายนี้ไป มาร์คกลับชื่นชมในรูปลักษณ์ของเธอขึ้นมา ไม่แปลกใจที่แก๊งนั้นมันจะเอาเธอเป็นเป้าหมาย
จากนั้นมาร์คก็ได้ทำหน้าบึ้งตึงไม่พอใจ
เด็กสาวนั่นก็มองไปที่มาร์คเช่นกัน และเธอก็ได้เอามือปกปิดร่างกายของเธอเอาไว้ สายตาของเธอดูจะอ่อนแรงและแม้ว่าเธอจะจ้องมองไปที่เขา แต่ก็กลับเหมือนว่าเธอไม่ได้มองเขาเช่นกัน
มาร์คถอนหายใจ
‘เด็กสาวคนนี้ยอมแพ้ในชีวิตเธอแล้วใช่มั้ย?’
เขาพลางคิดไปพร้อมกับเกาหัวของเขาไปด้วย
“ฉันเพิ่งมาทำอะไรในนี้?”
มาร์คบ่นพึมพำ
เขาเป็นชายโอตาคุและเป็นคนที่จะไม่ถูกการดึงดูดจากใคร การช่วยชีวิตเด็กสาวผู้ไม่มีทางสู้คนนี้อาจจะเป็นเหมือนฝันดีที่เกิดขึ้นกับเขา แต่ตอนนี้จากประสบการณ์ของเขา เขาไม่รู้เลยว่าควรทำอะไรต่อจากนี้ ความสามารถการปฎิสัมพันธ์กับผู้คนของเขานั้นแทบไม่มีเลย
เขาพยายามนึกถึงอนิเมะหรืออิงจากนิยายที่เขาได้อ่านและนำมันมาใช้ แต่ก็ไม่มีเรื่องไหนที่ทำให้เขาคิดออกว่าเขาสามารถแก้ไขปัญหาเหตุการณ์ในตอนนี้ได้ยังไง
“อ้ากกกก! โถ่เว้ยย อะไรก็ตามเถอะ”
‘ผมจะทำสิ่งที่ผมทำได้ก็พอ ผมว่านะ?’