ตอนที่ 44 : นกที่มีขนเฉกเช่นเดียวกัน
“เธอร้องไห้ทําไม?”
แองเจไม่สามารถทนความสงสัยและความกังวลใจของเธอได้อีกต่อไป จึงได้ถามออกมา พอลลานั้นก็สับสนเช่นเดียวกัน
“พอลลา หนึ่งในคําถามของเธอก็คือ ทําไมฉันถึงช่วยเหมยไว้ใช่มั้ย?”
มาร์คถามพร้อมกับลูกผมของเหมยไปด้วย
“ใช่ นายหลีกเลี่ยงประเด็นนี้มาตลอด ฉันไม่ได้จะพูดให้ดูแย่นะ แต่ด้วยสิ่งที่นายพูดมาก่อนหน้านี้คือพวกเราช่วยกันทําทุกอย่างก็เพื่อความปลอดภัยของพวกเราเอง เพราะอย่างนั้นนายก็เลยเลือกที่จะช่วยพวกเรา แต่เหตุผลนั้นมันดูใช้ไม่ได้กับเหมย แล้วก็พวกเราก็รู้ว่านายและเหมยเจอกันตอนที่นายช่วยเธอไว้ แต่ความห่วงใยเอ็นดูที่มีให้กันนั้นมันดูไม่ปกติเท่าไหร่”
มาร์คพยักหน้าและเข้าใจคําถามของเหมย
“ปกติแล้วผู้ชายต่างๆก็จะมีเหตุผลที่ช่วยเธอเพราะว่าเธอนั้นสวยมาก แต่อย่างไรก็ตามฉันนั้นแตกต่าง ไม่ใช่เพราะว่าเหตุผลนั้นเหตุผลที่ฉันช่วยเธอไว้ก็เพราะว่าเธอนั้นเหมือนฉัน”
“เหมือนนาย?”
เด็กสาวทั้งสองคนต่างก็ไม่เข้าใจว่าเขาพูดอะไรออกมา
“ใช่ พวกเราก็เหมือนกับนกที่มีขนเฉกเช่นเดียวกัน ฉันพูดถูกมั้ย? ฉันคือคนคนหนึ่งที่ไม่มีที่ยืนหรือที่ที่ควรจะอยู่มาก่อนหน้านี้ก่อนเกิดเหตุการณ์บ้าๆนี้เหมยก็เช่นกัน”
“นายแน่ใจได้ยังไงกับเรื่องนี้ว”
พอลลาถามและแองเจก็มีค์
“เธอไม่เชื่อฉันงั้นหรอ?”
มาร์คเลิกคิ้วขึ้นเข้าใส่เด็กสาวทั้งสองคน
“ถ้าเธอไม่เชื่อฉันก็ลองถามเหมยสิ”
เด็กสาวทั้งสองคนมองไปที่เหมยและถามคําถามออกมา
“เหมย สิ่งที่มาร์คพูดมันจริงงั้นหรอ?”
เหมยไม่ได้ตอบคําถามไปทันที เธอปาดน้ําตาที่เปอะเปื้อนไปเต็มหน้าด้วยทั้งสองมือของเธอก่อนที่จะพยักหน้า
เมื่อเห็นว่าเธอพยักหน้าทั้งพอลลาและแองเจต่างก็ตกใจ หญิงสาวแสนงามคนนี้จริงๆแล้วเธอนั้นรู้สึกว่าตัวเองนั้นไม่มีที่ที่ควรอยู่งั้นหรอ? มันยากที่จะให้เด็กสาวทั้งสองคนยอมอรับเรื่องนี้
“เธอบอกเหตุผลเราได้มั้ยว่าทําไม?”
พอลลาพยายามสาวความมากกว่านั้น ในขณะที่มาร์คก็ต้องการรู้ด้วยเช่นกัน เขาก็ถามเหมยออกไป
“เหมย ฉันก็อยากจะรู้เหตุผลของเธอเช่นกัน แต่ถ้าเธอไม่สะดวกใจที่จะเล่าก็ไม่เป็นไรนะ”
เหมยมองไปที่พี่ชายของเธอจากนั้นก็มองไปที่พอลลาและแองเจ และเริ่มพูดออกมา
“ฉันเกิดมาในครอบครัวที่ทําธุรกิจ พวกเธอเคยได้ยินโรงงานเสี่ยวมั้ย? ครอบครัวฉันนั่นแหละที่เป็นเจ้าของและถือหุ้นใหญ่ในบริษัท”
พวกเขาทั้งสามคนต่างก็อึ้ง โรงงานเสี่ยวคือหนึ่งในโรงงานด้านวิศวะ การก่อสร้างและพัฒนาที่ดินที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ และคือบริษัทที่เป็นผู้รับเหมาก่อสร้างรายใหญ่ให้กับรัฐบาลก่อนที่จะเกิดการติดเชื้อหายนะนี้
บริษัทนั้นใหญ่มาก พวกเขาไม่ได้คาดคิดเอาไว้ว่าเจ้าหญิงของบริษัทที่แสนสวยงามนี้จะมาอยู่ตรงหน้าพวกเขา
“ถ้าหากครอบครัวของเธอรวยขนาดนี้ เธอไม่ได้มีความสุขกับชีวิตที่แสนสุขสบายและรํารวยงั้นหรอ?”
แองเจถามออกไปด้วยสีหน้าที่ตกใจและอึ้งกับเรื่องนี้ เหมยก็มีปฏิกิริยาที่ดูเศร้าหมองลงทันที
“ใช่ พวกเรารวยมากแต่ฉันนั้นก็ไม่เคยมีความสัมพันธ์ที่ดีกับครอบครัวเลย ตั้งแต่ฉันจําความได้ก็มีเพียงแค่แม่บ้านเท่านั้นที่ดูแลฉันได้ดีมากที่สุด และสําหรับครอบครัวของฉัน ฉันเป็นเพียงแค่เครื่องมือที่ให้พวกเขาไว้ใช้สําหรับการขยายธุรกิจ”
เมื่อได้ยินแบบนั้นมาร์คและพอลลาก็เข้าใจถึงธรรมเนียมของความอยู่รอด ความรวย ความได้มีอิทธิพลใหญ่โตของคนในแวดวงสังคมคนรวยนี้ จากนั้นมาร์คก็พูดออกมา
“ถ้างั้นหน้าที่ของเธอก็คือต้องแต่งงานกับคนที่ครอบครัวเธอเลือกมาให้ใช่มั้ย?”
เหมยพยักหน้าเป็นการตอบกลับ
“พี่คะ เห็นเฮนรีมั้ยคะ นักเรียนชายที่ตายในโรงหนังตอนที่พี่ช่วยฉันไว้?”
“เขาคือคู่หมั้นเธอหรอ?”
“นี่หมายถึงเรื่องอะไรกัน?”
พอลลาแทรกขึ้นมาในบทสนทนา และมาร์คก็ได้ตอบคําถามของเธอ
“แองเจกับพอลลาไม่เห็นหรอก แต่ข้างในโรงหนังนั้นมีนักเรียนชายคนหนึ่งนั่งเสียชีวิตอยู่ที่เก้าอี้ แก๊งอันธพาลนั่นคงจะฆ่าเขา สิ่งที่เหมยพูดก็คือชายคนนั้นคือคู่หมั้นของเธอที่ครอบครัวเธอจัดหามาให้”
เหมยพยักหน้าเพื่อเป็นการยืนยันในสิ่งที่มาร์คพูด และเธอก็กล่าวต่อ
“เขาเป็นลูกชายของหุ้นส่วนที่รวยที่สุดในบริษัทของครอบครัวฉัน และชายคนนั้นก็ยังเป็นคนลามกอีกด้วย ฉันรู้ว่าเขานั้นมีผู้หญิงคนอื่นอยู่แล้วแต่ก็ต้องถูกจับมาแต่งงานกับฉันและเขาก็ยังพยายามยุ่มย่ามฉันอยู่หลายครั้ง แต่เขาก็ไม่สามารถมาบังคับหรือทําอะไรฉันได้เพราะว่าครอบครัวของฉันนั้นใหญ่กว่า มากไปกว่านั้นเขายังไปโน้มน้าวเพื่อนของฉันทั้งหมดให้พาฉันเข้าไปหาเขา”
แองเจและพอลลาต่างก็พูดไม่ออกและได้แต่มองหน้ากัน
“ถ้าฉันเลือกได้ ฉันขอเลือกให้ฉันมีอิสระมากกว่าอยู่ในครอบครัวที่รวยแบบนี้ เพราะว่าฉันรวยเนี่ยแหละ ฉันถึงไม่มีเพื่อนที่จริงใจ คนที่พยายามเป็นเพื่อนกับฉันต่างก็เพราะหวังในผลประโยชน์และต่างก็เป็นคนที่เฮนรีจ้างมาเพื่อให้มาโน้มน้าวฉัน ผู้ชายส่วนใหญ่ก็มองฉันแค่ที่หน้าตาและรูปร่างและสายตาของพวกเขาก็ทําเหมือนกับว่าฉันนั้นโป๊อยู่”
ตอนนี้เธอก็ได้พูดออกมาด้วยน้ําเสียงอันขุ่นเคือง
“แล้วเรื่องที่เกิดขึ้นกับฉัน ก็เป็นความผิดของเฮนรี”
เหมยเริ่มร้องไห้ออกมาอีกครั้งและน้ําตาไหลมากกว่าเดิม
“พวกผู้ชายพวกนั้น แก๊งชั่วนั่นมันได้มองมาที่ฉันหลายต่อหลายครั้ง”
มาร์คก็ได้ตกใจ
“ฉันเห็นพวกมันมาก่อนเมื่ออาทิตย์ที่แล้วอยู่แถวๆร้านสะดวกซื้อแถวโรงเรียน ทุกๆครั้งมันก็มองมาที่ฮันพวกมันเหมือนหมาที่ยืนน้ําลายไหลอันน่ารังเกียจ ฉันก็ไม่ได้สนใจอะไรพวกนั้นตั้งแต่ที่ฉันมีการ์ดและคนขับรถ เมื่อตอนที่ฉันกับเฮนรีกําลังจะถูกพวกนัดกัดจับได้ฉันไม่ได้คาดคิดเลยว่าจะต้องมาเผชิญหน้ากับพวกมันเพราะพวกมันมาช่วยเอาไว้ฉันไม่ต้องการไปกับพวกมัน แต่เฮนรีดึงฉันและฉันก็ทําอะไรไม่ได้ จากนั้น จากนั้น…”
มาร์คดึงเหมยเข้ามาในอ้อมกอดของเขา และปล่อยให้เธอร้องไห้อยู่ที่ไหล่ของเขา มาร์คลูบหลังของเธอ ก่อนจะมองไปที่เด็กสาวสองคนที่ได้ยืนขึ้นมา และต้องการที่หยุดให้เธอพูดเรื่องวันนั้นออกมา
“ฉันไม่คิดว่าเรื่องนี้มันจะเกิดขึ้น ฉันควรฆ่าพวกมันไปสะ”
มาร์คถอนหายใจออกมาแบบช่วยไม่ได้ แต่ดวงตาของเขาก็เต็มไปด้วยความอาฆาตที่อยากฆ่าพวกมันพอลลาและแองเจก็ได้เข้าไปหาเหมยและลูบหลังและไหล่ของเธอ
“ พวกเธอสองคนคิดว่าไงล่ะ? มีที่ไหนบ้างที่เธอคิดว่าเธอสมควรจะอยู่ได้?”
พอลลาและแองเจก็ไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้อีก
“ฉันไม่คิดว่าเธอจะเจอกับสถานการณ์แบบนี้”
พอลลาก็ได้ซบไปที่ไหล่ของเหมย
“ฉันเข้าใจความกลัวของเธอที่มีต่อเพศชายแล้ว ก็เพราะว่าเรื่องร้ายๆที่เธอได้รับมา แต่มันก็ยังแปลกที่เธอติดนายงอมแงม และฉันก็ไม่คิดว่าเหมยชอบนายหรืออะไรแบบนั้น ไม่คิดว่าเหมยจะเป็นแบบนั้นด้วย แม้ว่านายจะช่วยปกป้องเธอเอาไว้”
“อาจจะเป็นเพราะสิ่งที่ฉันพูดกับเธอไป”
“นายพูดอะไรไป?”
“เมื่อตอนที่ฉันช่วยเธอไว้ เธออยู่ในช่วงอารมณ์ที่ไม่ได้สนใจแล้วว่าเธอจะมีชีวิตต่อหรือตายไปเธอนั้น ไม่แม้แต่ตอบสนองกับฉันตอนที่ฉันเข้าไปหา เพราะอย่างนั้นฉันเลยพูดกับเธอไปว่าทุกอย่างนั้นไม่เป็นไรมันจะต้องดีขึ้น มันก็ช่วยทําให้เธอรู้สึกดีขึ้นมานิดหน่อย และจากนั้นเธอก็เริ่มปล่อยน้ําตาออกมา ฉันคิดว่าน่าจะเป็นเพราะสิ่งนั้น เหมยรู้สึกว่าในชีวิตเธอนั้นไม่มีอะไรที่ทําให้เธอรู้สึกดีเลยสักนิดและฉันเป็นหนึ่งในคนที่ทําให้เธอเลิกคิดแบบนั้น”
พอลลามองไปที่เหมยซึ่งอยู่ในอ้อมกอดของมาร์คและ เริ่มใจเย็นขึ้นมาบ้าง เธอกําลังฟังในสิ่งที่พี่ชายของเธอพูดออกมา
“เหมยมาร์คพูดถูกมั้ย?”
เหมยก็ค่อยๆพยักหน้าเพื่อเป็นการตอบก่อนที่เธอจะได้ออกมา จากอ้อมกอดมาร์คอย่างช้าๆและหน้าแดง
“โถ่ เธอนี่มันช่างขี้แงจังเลยนะ”
มาร์คก็ได้หยิบผ้าเช็ดหน้าผืนที่สะอาดออกมาจากกระเป๋าของเขาและเช็ดไปที่ใบหน้าของเหมย มันโชคดีเหลือเกินที่เขาเจอผ้าเช็ดหน้าผืนใหม่จากร้านขายเสื้อผ้า
“ถ้าอย่างนั้นนั่นก็คือเหตุผลที่นายช่วยเธอเอาไว้?”
พอลลาถามมาร์ค
“ใช่แล้วเพราะว่าฉันเข้าใจความรู้สึกแแบบนี้ ฉันเข้าใจความรู้สึกของคนที่อยากตาย เธอก็รู้นิว่าฉันเป็นแบบนั้นมาก่อนถ้าเธอรู้สึกว่าไม่มีที่ไหนที่เธอควรอยู่ เธอจะเริ่มค่อยๆไม่อยากมีชีวิตอีกต่อไป สําหรับฉันฉันนั้นเริ่มหยุดคิดมากเกินไปกับเรื่องความสําคัญของการมีชีวิตอยู่ของชีวิตฉันเองและชีวิตคนอื่นๆ ฉันจัดการควบคุมตัวเองจากการรู้สึกอยากฆ่าตัวตาย แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนที่ตกอยู่ในหลุมดํานั้น จะสามารถหลุดความคิดนั้นออกมาได้”
แองเจและพอลลาก็พูดไม่ออก พวกเธอไม่คิดว่าจะรุนแรงถึงเพียงนี้ มันคงยากมากสําหรับคนอื่นๆที่จะมาเข้าใจทั้งหมดของความรู้สึกและอารมณ์พวกเขาถ้าไม่มาเจอกับตัวเสียเอง
“งั้น นายจัดการตัวเองให้หนีจากความอยากตายยังไงล่ะ?”
“ก็ฉันกลายเป็นโอตาคุและเกมเมอร์ยังไงล่ะะะ”
“อะไรนะ?!”
“เธอก็เห็นว่าฉันหมกตัวอยู่แต่กับเรื่องราวของอนิเมะ นิยาย หรือวิดิโอเกม มันยังมีอนิเมะอีกเป็นพันๆเรื่องที่ยังไม่ถึงบทจบง่ายๆ ฉันจําเป็นต้องรอบทจบเรื่องราวพวกนั้นถ้าไม่อย่างนั้นฉันจะนอนตายตาไม่หลับ สรุปก็คือฉันเป็นพวกชอบปล่อยอารมณ์ความรู้สึกไว้กับจินตนาการ”
มาร์คก็ได้พูดเรื่องของเขาจบลงพร้อมกับยักไหล่ซึ่งทําให้เด็กสาวสองคนนั้นหมั่นไส้ แต่อย่างไรพอลลาก็พอใจในคําตอบและความ สัตย์จริงของมาร์คแล้ว
“อ้าว นี่ก็ถึงเวลาสําหรับคําถามต่อไปแล้วสินะ?”
มาร์คถาม จากนั้นพอลลาก็เปลี่ยนท่าทางที่จริงจังมากขึ้น อีกครั้งพร้อมกับถามคําถามต่อไปของเธอ
“ใช่ สําหรับคําถามต่อไปนั้น คําถามนี้ฉันต้องการคําตอบจากนายเอามากๆ”
“ฉันยังไม่หลุดพ้นหรอเนี่ย?”
“โปรดตอบด้วยเพราะฉันค่อนข้างสงสัยเรื่องนี้มากๆ และมันก็จะกระทบความปฏิสัมพันธ์ของเราในอนาคตด้วย”
“นั่นเป็นคําถามที่ดูน่ากลัวแน่เลยใช่มั้ย? โอเค ฉันจะพยายามตอบ”
พอลลาสูบลมหายใจเข้าและลมหายใจออกอย่างสุดลึก
“นายมีพลังจิตใช่มั้ย? นายสามารถอ่านใจผู้คนได้ใช่มั้ย?”
มาร์คก็รู้สึกประหลาดใจกับคําถามของพอลลาและไม่ได้คาดคิดว่าเธอจะถามคําถามแบบนี้ออกมา