ตอนที่ 45 : เจ็บปวยในร่างกายและอารมณ์ของผู้อื่น
มาร์คนั้นประหลาดใจกับคําถามของพอลลา แต่ถึงอย่างไร เขาก็ไม่ได้แสดงสีหน้าที่ตกใจออกมา
ตรงกันข้ามนั้น เหมยก็เกือบจะลืมความรู้สึกเศร้าของเธอไปเลยทันทีเมื่อตกใจกับคําถามของพอลลา ในขณะที่แองเจนั้นมองดูเพื่อนของเธอที่น่าเหลือเชื่อ
“พอลลา? เธอไม่ได้ปวยใช่มั้ยตอนนี้?”
แองเจไม่ถามออกมาไม่ได้ เธอเอามือไปสัมผัสกับหน้าผากของพอลลา แต่อย่างไรก็ตามพอลลาก็ปล่อยให้แองเจทําแบบนั้นต่อไปและพอลลาเองก็เอาแต่จ้องมองมาร์คอย่างจริงจัง
“ฉันไม่คาดคิดเลยนะว่าเธอจะถามอะไรแบบนั้นออกมา”
มาร์คพูดพร้อมกับยิ้มอย่างมีเลศนัย
“ฟังแล้วอาจจะดูน่าตลกนะ แต่ฉันสังเกตุได้ว่าตั้งแต่ตอนที่นายช่วยพวกเรา นายนั้นคาดเดาหลายสิ่งหลายอย่างได้ถูกต้อง และแม้กระทั่งนายยังสามารถตอบคําถามของพวกเรา ก่อนที่เราจะได้ถามอะไรออกไปเสียก่อนอีก แล้วก็อีกอย่างตอนที่นายบอกเหตุผลว่าทําไมนายถึงช่อยพวกเราก่อนหน้านี้ นายรู้ได้ไงว่าตอนนั้นฉันจะยอมแพ้แล้ว? มันคาใจฉันมาก ตอนนี้นายก็รู้อีกว่าเหมยนั้นก็เหมือนกันกับนายและมันก็เห็นได้ชัดว่าเหมยนั้นไม่เคยบอกอะไรให้นายรู้มาก่อน”
ในที่สุดพอลลาก็เอามือของแองเจออกจากหน้าผากเธอและพูดต่อ
“อีกอย่างนายก็พูดออกมาแล้วว่านายมีอะไรบางอย่างที่จัดการได้กับภาวะจิตบกพร่องของนาย อาการหลักของภาวะจิตบกพร่องเกี่ยวกับความไม่ไว้วางใจและวิตกกังวลต่อผู้อื่น ส่วนใหญ่เป็นเพราะว่าไม่สามารถคาดเดาความคิดที่อยู่ในใจของคนอื่นได้ ดังนั้นมีทางเดียวที่เป็นไปได้ที่นายจะนํามาจัดการกับอาการนี้คือนายต้องสามารถอ่านใจของคนอื่นๆได้”
สิ่งที่พอลลาพูดออกมาทําให้มาร์คเกาหัว
“แปลว่าฉันสะเพร่าสินะ ใช่มั้ย? แหม่ ฉันก็ไม่คิดเลยว่าจะมีใครสามารถสังเกตุได้ ถ้างั้นพวกเธอสามคนช่วยเก็บเป็นความลับให้ทีนะ ได้มั้ย?”
เด็กสาวทั้งสามคนมองมาที่มาร์ค หมายความว่าสิ่งที่พอลลาพูดนั้นเป็นเรื่องจริงงั้นหรอ?
“นายสามารถอ่านใจคนได้จริงๆงั้นหรอ?!”
แองเจถามไปด้วยความตกใจ
มาร์คตอบออกไปแบบลากเสียงยาว
“ไม่”
เด็กสาวทั้งสามคนกลับรู้สึกว่าพวกเธอนั้นโดนปั่นหัว โดยเฉพาะกับพอลลา นั่นเป็นเพราะว่าเธอรู้ว่าเขานั้นไม่ได้โกหกเวลาปฏิเสธออกมา!
ถ้าอย่างนั้นแล้วเขารู้ได้อย่างไร? เธอรู้ว่าการที่เธอเฝ้าสังเกตุมาร์คมานั้นสิ่งที่เธอพูดมามันไม่ได้ผิด อย่างไรก็ตามมาร์คก็ไม่ได้โกหกเช่นกัน
“เธอจริงจังหรอเนี่ย เธออย่าทําตัวเป็นคนขี้แพ้สี สีหน้าเธอมันแสดงออกมานะ”
เมื่อพอลลาคิดอะไรลึกซึ้งอยู่เธอก็ได้ยินเสียงของมาร์คเปล่งออกมาอีกแล้ว เขาพูดในสิ่งที่เธอรู้สึกขึ้นมาอีกแล้ว พอลลาทําหน้าถมึงทิ้งดุดันและจ้องไปที่มาร์ค เธอนั้นรู้สึกโกรธเมื่อเห็นว่าสีหน้าของมาร์คนั้นดูเหมือนเขาได้สําเร็จในการแกล้งอําเธอ
เมื่อรู้ว่าพอลลานั้นโกรธ มาร์คจึงตัดสินใจที่จะไม่แกล้งอีกต่อไป
“ก็ได้ ก็ได้ เมื่อเธอนั้นเป็นคนแรกที่อยากรู้เรื่องราวของฉันขนาดนี้ ฉันจะบอกเป็นรางวัลให้แล้วกัน แต่พวกเธอทั้งสามคนต้องสัญญาก่อน ไม่ได้แปลว่าฉันอยากจะเก็บซ่อนมันเป็นความลับอะไรหรอกนะ แต่มันก็ไม่มีประโยชน์ที่จะบอกให้คนอื่นรู้ ดังนั้นพวกเธอต้องเก็บมันไว้เป็นความลับ”
เมื่อเห็นว่าในที่สุดมาร์คนั้นก็จริงจังสักที พอลลาพยักหน้า และสัญญาที่จะเก็บความลับเกี่ยวกับมาร์คในเรื่องอะไรก็ตามที่เขาจะสารภาพ สําหรับเหมยนั้นเธอก็ไม่มีเงื่อนใขใดๆที่จะไม่เห็นด้วยกับมาร์ค ในขณะที่แองเจก็พยักหน้าเช่นกัน
“ฉันไม่มีความสามารถพิเศษเหนือล้ําในการอ่านใจคนอะไรได้แบบนั้นหรอก”
“ถ้างั้นนายทําได้ยังไง?”
“พวกเธอเคยได้ยินโรคที่เจ็บปวดในร่างกายและอารมณ์ของผู้อื่นมั้ย?”
แองเจและเหมยต่างก็มีสีหน้าที่ว่างเปล่า ในขณะที่พอลลาเริ่มที่จะปะติดปะต่อได้
“นายคือคนแบบนั้น?”
“ใช่ และเป็นในกรณีที่รุนแรง เธอสามารถพูดได้เลยว่านี่คือเหตุผลทั้งหมดสําหรับทั้งอาการความผิดปกติของบุคลิกภาพของฉัน และวิธีที่ฉันจัดการกับภาวะจิตบกพร่อง”
“ฉันเข้าใจแล้ว”
พอลลาพยักหน้า
“เฮ้ พอลลา เหมยและฉันไม่สามารถตามพวกเธอได้ทันหรอกนะ เจ็บปวดในร่างกายและอารมณ์ของผู้อื่น หมายความว่าไงกัน?”
เหมยก็พยักหน้าเมื่อพอลลาถามพอลลาออกไป
“มันไม่ใช่เรื่องปกติหรอก ไม่แปลกใจที่เธอสองคนจะตามไม่ทัน เธอเห็นมั้ยว่าคนที่เขา พวกเธอเห็นมั้ยโรคเจ็บปวดในร่างกายและอารมณ์คนผู้อื่นหรือบุคคลที่สามารถรับรู้ความรู้สึกอารมณ์ ความรู้สึกพลังงาน และความคิดของผู้อื่นได้ ซึ่งจะเป็นคนที่อ่อนไหวต่ออารมณ์ของคนรอบๆตัวมาก และยังมีอาการอื่นๆอีก และนี่คืออาการหลักๆ”
พอลลาหันไปหามาร์ค
“นายหมายความว่ายังไง ในกรณีที่รุนแรง?”
“เธอเพิ่งพูดออกไปคนที่มีอาการนี้จะอ่อนไหวต่ออารมณ์ของผู้คนรอบๆตัว แต่ “รอบๆตัว” แค่ไหนล่ะ? ฉันไม่รู้เหมือนกันสําหรับคนอื่น แต่สําหรับฉันสามารถสัมผัสได้หลายเมตร จําได้มั้ยว่าไกลแค่ไหนที่พวกเธอมาจากโซนกลางห้างและฉันก็วิ่งเข้าไปช่วยพวกเธอ? เธอคิดว่านี้จะสามารถอธิบายได้มั้ยของคําว่า “รอบๆตัว” ฉันนั้นสามารถแม้กระทั่งรู้สึกถึงอารมณ์ผู้อื่นผ่านกําแพงได้ด้วยซ้ํา ”
มาร์คหายใจเข้าอย่างลึกและปิดตาทั้งสองข้างของเขาก่อนที่จะพูดต่อ
“ฉันสามารถแม้กระทั่งแยกแยะผู้คนได้ด้วยการดูดซับทางอารมณ์ เหมือนตอนนี้ที่กําลังมีอะไรแปลกๆเกิดขึ้นอยู่ข้างล่าง พวกเราน่าจะเป็นลุงเบอนาร์ดและแคลวิน เหมือนว่าพวกเขากําลังจะตามหาเราเร็วๆนี้”
มาร์คกล่าว
“มันดูเป็นไปได้มั้ยล่ะ? เพียงแค่เข้าถึงอารมณ์คนอื่นๆได้อย่างถูกต้อง สิ่งที่พวกเขากําลังคิดอยู่สามารถคาดเดาได้โดยการใช้สัญชาติญานและเบาะแส”
พอลลากล่าวถึงการวิเคราะห์ของเธอ
“ใช่เลย”
มาร์คก็ได้ยืนยันในสิ่งที่เธอพูดออกมา
“แต่โรคที่เจ็บปวดในร่างกายและอารมณ์ของผู้อื่นมันจะไม่ทําให้เหนื่อยหน่ายหรอ ถ้าเจอคนที่มีอารมณ์พลังลบ? ถ้างั้น นาย…”
“เธอคิดว่าฉันไม่หรอ? แค่ฉันได้รับความรู้สึกพลังลบเข้ามาภายในใจฉันนี่แทบอยากจะเตะความรู้สึกพวกนั้นออกไปให้หมด ถ้าเมื่อกี้เหมยดึงอารมณ์ตัวเองกลับมาไม่ได้ ฉันก็คงจะช่วยเธอด้วยตัวฉันเองและดึงอารมณ์เธอขึ้นมา”
มาร์คมองแบบช่วยไม่ได้
“พี่คะ หมายความว่าไงหมดพลังเหนื่อยหน่ายโดยอารมณ์ และพลังลบๆ?”
เหมยถามด้วยความเป็นกังวล
“เธอก็เห็นว่าเมื่อเวลาคนรอบๆตัวฉันรู้สึกไม่ดี อย่างเช่น ความเศร้า ความกังวล และความโกรธ ฉันเหนื่อยได้โดยง่ายเหมือนร่างกายฉันถูกกลืนพลังและโรคที่เจ็บปวดในร่างกาย และอารมณ์ของผู้อื่นของฉันก็จะทํางานได้เร็วมากขึ้นกว่าปก
“ถ้าอย่างนั้นฉัน…”
เหมยเริ่มรู้สึกแย่อีกครั้งเมื่อเธอรู้สึกได้ว่าเธอเป็นสิ่งที่จุดประกายทําให้มาร์คเกิดอาการนั้นออกมา
“ใช่แล้ว งั้นเธอควรให้กําลังใจและกลับมาร่าเริงได้แล้ว หรือจะให้ฉันต้องรู้สึกลําบากทุกครั้งเวลาที่เธอร้องไห้”
มาร์คลูบไปที่ศรีษะของเธออย่างอ่อนโยน เขาสัมผัสได้ถึงอารมณ์ของเธอ
“ใช่…”
จากนั้นมาร์คมองไปที่แองเจและพอลลาซึ่งดูเหมือนพวกเธอนั้นขมขึ้นกับภาพหวานๆของมาร์คกับเหมยตอนนี้ และมาร์คก็ได้เล่าความจริงอีกอย่างในชีวิตออกมา
“จริงๆแล้ว การที่ฉันเป็นโรคที่เจ็บปวดในร่างกายและอารมณ์ของผู้อื่นก็เป็นสาเหตุทําให้ฉันเปลี่ยนงานบ่อยๆ ทุกๆครั้งที่ฉันเริ่มคุ้นเคยกับงาน เพื่อนร่วมงานของฉันก็เริ่มที่จะมีอารมณ์ลบๆใส่ฉันและเริ่มบาดหมางกับฉัน ความรู้สึกนั้นมันทรมานจนพูดออกมาไม่ถูก แต่ฉันก็รู้เหน็ดเหนื่อยกับการดูดรับอารมณ์ทั้งหมดของผู้คนรอบตัวฉันในขณะที่ฉันกําลังเดินทางไปทํางาน”
“แต่ทําไมพวกเขาถึงได้บาดหมางกับนายล่ะ?”
แองเจถามด้วยความสับสน
“ก็ คุณสมบัติที่ดีที่สุดของฉันเลยก็คือฉันเรียนรู้งานได้ว่องไว ในทุกๆงานที่ฉันลอง ฉันสามารถตามทันในสิ่งที่ฉันจําเป็นต้องเรียนรู้ในเวลาที่สั้นๆได้ และเริ่มทําผลงานและผลลัพธ์ออกมาให้เป็นจริง หัวหน้าก็เลยปลาบปลื้มฉันพอสมควร”
“แล้วนั่นมันผิดตรงไหน?”
แองเจถามออกมาอีกครั้งแต่ครั้งนี้ พอลลานั้นเป็นคนตอบคําถามให้แทน
“ก็ถ้าเขาเรียนรู้ไวและสร้างผลงานที่ดีออกมาได้ในเวลาที่สั้นๆ พนักงานคนเก่าๆก็จะรู้สึกอิจฉาในความสามารถและความสําเร็จของเขาไงล่ะ พวกเขาจะเริ่มรู้สึกขุ่นเคืองมาร์คและจับตามองเขา นั่นก็เลยทําให้บาดหมางกับเขาไงล่ะ”
“ถูกต้องเลย”
มาร์คยืนยันในสิ่งที่พอลลาพูดออกมา
“นั่นมันรุนแรงมากเลยนะ”
เหมยพูดพรึมพําออกมาและรู้สึกเสียใจในอดีตและประสบการณ์ของมาร์ค
“โอเค คําถามนี้ก็เคลียแล้วใช่มั้ย?”
มาร์คถามออกมาทําให้พอลลาได้แต่พยักหน้า จากนั้นมาร์คก็พูดต่อ
“แต่ฉันก็ไม่เข้าใจว่าทําไมเธอถึงบอกว่ามันจะกระทบปฏิสัมพันธ์ของพวกเราในอนาคตล่ะ?”
“ฉันแค่ไม่รู้ว่าจะมองหน้ากับคนที่สามารถอ่านใจฉันออกรู้ ว่าฉันจะคิดอะไรได้อย่างไร?
“หืมมม. เธอไม่จําเป็นต้องมากังวลเรื่องของฉันหรอก ฉันไม่ได้สนใจอยู่แล้วว่าคนอื่นจะคิดอะไร ตราบเท่าที่พวกเขาไม่อยากให้ฉันเข้าไปเกี่ยว”
พอลลายิ้มและตอบกลับไป
“ก็จริง ฉันคิดไว้แล้วล่ะ ด้วยโรคอาการผิดปกติทางบุคลิกภาพของนาย ฉันก็ไม่จําเป็นต้องกังวลแล้ว”
“มันค่อนข้างแปลกนะที่คําถามพวกนี้มาจากเธอ เหมือนกับว่าเธอกําลังทดสอบเครื่องจับเท็จงั้นแหละ”
มาร์คยิ้มเยาะ
พอลลาก็ไม่ได้ตอบกลับอะไรไปอีกและปล่อยยิ้มออกมาเล็กน้อย เธอรู้ว่าเธอสามารถสังเกตุและคาดเดาเกี่ยวกับความสามารถของเขาได้ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเขาจะทําแบบเดียวกันกับเธอไม่ได้ เธอเลยได้เพียงแค่เงียบไว้เพื่อเห็นพ้องในสิ่งที่เขาพูด