การเดินทางไปมหาลัยนั้นเลวร้ายดั่งกับนรก
ซองอูมักจะเหนื่อยแทบหมดแรงก่อนจะถึงมหาลัย เขาต้องต่อรถถึงสามครั้งซึ่งใช้เวลาสองชั่วโมงในแต่ละครั้ง
เขาพยายามเต็มที่เพื่อที่จะหนีเรียนในเวลาเก้าโมงครึ่งให้มากเท่าที่ทำได้ แต่มันก็ไม่เป็นอย่างหวังเพราะมันคือหนึ่งในวิชาหลักของสาขาวิชา
“อ่าาห์! ไม่นะ! นี่เรามาเรียนเป็นเด็กปีหนึ่งได้ยังไง? เลือกอยู่ใกล้มหาลัยแล้วเลิกเรียนยังดีกว่า”
เขาบ่นงุบงิบพลางเดินออกจากรถบัส เขารู้สึกเมื่อยล้าไปทั้งกายหลังจากการเดินทางอันยาวนาน
อีฮันโฮที่อายุน้อยกว่าเขาหนึ่งปีเดินตามและพูดแหย่เขา
“เฮ้ ทำไมจิตใจอ่อนแอเหมือนทหารหน่วยพิเศษในกองทัพที่ปลดประจำการอย่างนั้นล่ะ?”
วันก่อนซองอูไปดื่มกับฮันโฮและคุยโม้เรื่องวีรกรรมดี ๆ ในตอนที่เขาอยู่ในกรม จากนั้นฮันโฮก็พูดล้อเลียนในทุกครั้งที่มีโอกาส
“แน่ใจนะว่าเป็นหน่วยพิเศษจริง ๆ น่ะ? ไม่ได้โกหกแน่นะ? บอกว่าเดินสิบกิโลตอนอาวุธครบมือใช่ไหม? ทำไมถึงทนนั่งบนรถบัสสองชั่วโมงไม่ได้?”
ซองอูตบบ่าฮันโฮ
“ฮันโฮ แกหยุดล้อเลียนชั้นจนกว่าจะเข้ากรมได้ไหม? จะผ่อนผันไปจนถึงเมื่อไหร่?”
“บอกไว้อย่างหนึ่งนะซองอู เหรียญรวมชาติน่ะดีกว่าเยอะ”
ซองอูเดาะลิ้นแรง
“ให้ตายเถอะ! พูดอะไรในเมื่อแกไม่ได้สนใจข่าวเลย? คนอย่างแกไม่สมควรพูดเรื่องการรวมชาติ! แกเป็นคนแบบนี้เพราะเอาแต่รอไม่ยอมเข้ากรมเพราะมิยองสินะ? การรวมชาติคงเป็นจริงได้ถ้าแกเลิกกับมิยองนั่นแหละ”
ฮันโฮหน้านิ่ว
“ไม่ต้องพูดถึงมิยองได้ไหม?”
“ฮันโฮ ชั้นบอกตั้งแต่สามปีก่อนแล้วใช่ไหมว่าไม่ควรจะคบกับใครในมหาลัยนี้น่ะ?”
“…”
แน่นอนว่าเป็นไปไม่ได้ที่ผู้ชายอย่างฮันโฮที่ไม่เคยมีประสบการณ์ในกองทัพจะเถียงชนะกับใคร
แม้ฮันโฮจะเงียบ ซองอูก็พูดชื่อมิยองอยู่ตลอดไปจนถึงอาคารเรียน ฮันโฮเริ่มมองท้องฟ้าด้วยแววตาว่างเปล่า
“อะไรของแก! ร้องไห้เรอะ?”
ซองอูถาม
“ไม่ แค่มองดูท้องฟ้าต่างหาก…”
“ท้องฟ้า? จินตนาการหน้ามิยองบนนั้นอยู่หรือ?”
“ไม่เห็นตัวอักษรบนท้องฟ้าเมื่อกี๊เหรอ?”
ซองอูเงยหน้าแต่พบเพียงท้องฟ้าสีครามไร้ก้อนเมฆ
“คิดถึงมิยองขนาดนั้นเลยเรอะ?”
“ไม่ใช่! ชั้นเห็นข้อความบนท้องฟ้าจริง ๆ! มันเขียนว่ากำลังดาวน์โหลดมอนสเตอร์ มันเขียนว่า กำลังดาวน์โหลด 99% แล้วก็หายไปเลย มันอยู่ข้างบนหอสมุด!”
ซองอูเงยหน้ามองท้องฟ้าอีกครั้งแต่เขาเห็นเพียงนกไม่กี่ตัวที่บินไปมาบนท้องฟ้า
“…มอนสเตอร์? นี่เมื่อคืนแกเล่นเกมอะไรมา? แยกความจริงกับความฝันไม่ออกเรอะ?”
“ชั้นพูดจริงนะ…”
“แกเห็นภาพลวงตาเพราะช่วงนี้ดื่มมากไปต่างหาก”
“หรือจะเป็นอย่างนั้นน่ะ?”
ฮันโฮเห็นด้วยอย่างง่ายดาย ช่วงนี้จิตใจของเขาไม่มั่นคงเท่าใดนัก แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็มองท้องฟ้าอีกหลายครั้งราวกับรู้สึกไม่สบายใจ
ซองอูเดาะลิ้นเดอนกับฮันโฮที่ตบหน้าตัวเองสองสามครั้ง
“นี่ ซองอู ไปซื้อกาแฟที่เครื่องหยอดเหรียญให้หน่อยได้ไหม? อยากได้คาเฟอีนเพราะตอนนี้จะเป็นบ้าอยู่แล้ว”
“ไม่มีเวลาหรอก ศาสตราจารย์ฮวังจะมาถึงเมื่อไหร่ก็ได้ ดูแถวที่เครื่องหยอดเหรียญนั่นสิ คิดจะแลกเกรดกับกาแฟแก้วเดียวรึไง?”
แม้จะเป็นเวลาก่อนเรียนคาบแรก แต่แถวเครื่องขายเครื่องดื่มก็เรียงยาวอยู่ที่ตึกชั้นแรก
“กระจอกอีกแล้วรึไง? จิตใจแข็งกล้าของอดีตหน่วยรบพิเศษถูกทดสอบอีกแล้…”
ฮันโฮหยุดพูดเพราะรู้ว่าจะเกิดเรื่องใหญ่ถ้าปล่อยลิ้นตัวเองให้พล่ามต่อไป
“เจอกันตอนเที่ยงแล้วกัน วันนี้จะรีบกลับ แต่ชั้นเห็นข้อความบนฟ้าจริง ๆ นะ”
ฮันโฮกล่าว
“หยุดเหลวไหลได้แล้ว! ไว้ค่อยว่ากัน”
ซองอูขึ้นลิฟท์ไปชั้นสี่และมาถึงห้องบรรยาย เขามาถึงพร้อมกับศาสตราจารย์ฮวังพอดี
“…ง่วงจริง ๆ”
เพราะว่าเขาไม่ได้ดื่มกาแฟหรือสนิมขึ้นหลังจากออกกรมทหารเพื่อกลับมาเรียนกันแน่? เขาง่วงในเวลาไม่นานและไม่ได้สนใจกับเนื้อหาการบรรยายในชั้นเรียนเลย
“…”
เขาได้ยินเสียงศาสตราจารย์ฮวังแว่ว ๆ เปลือกตาของเขาหนักอึ้ง ไหล่เขาแข็งไปหมด แต่เขาคิดว่ามันเป็นเพราะการเดินทางอันแสนลำบากกว่าจะมาถึงมหาลัย
ทันใดนั้นเอง เขาเห็นข้อความแปลก ๆ ลอยอยู่กลางอากาศ
<อาชีพที่ดีที่สุดบนโลกที่ล่มสลายคืออะไรกัน? เลือกเดี๋ยวนี้>
“หา? อะไรกัน?”
เขารู้สึกเหมือนเห็นภาพหลอน เขากระพริบตาและขยี้ตาแรง ๆ แต่ข้อความที่เขาเห็นไม่จางหายไป
ติ๊ก ติ๊ก ติ๊ก
หน้าจอหน้าห้องบรรยายสั่นไหว แสงทั้งหมดดับลง
พรึ่บ
“หา? เกิดอะไรขึ้น? ไฟดับเหรอ?”
“อะไรกัน? ทำไมไม่เห็นอะไรเลย!”
มันไม่ใช่ไฟดับธรรมดา ราวกับดวงอาทิตย์ได้หายไปจากจักรวาล ทั้งโลกจมอยู่ในความมืด
ซองอูพยายามย่อตัวเพื่อป้องกันตัวจากภัยธรรมชาติ
“โทรศัพท์ก็ใช้ไม่ได้ เกิดบ้าอะไรกันเนี่ย?”
“แล้วนี่มันเรื่องอะไรกัน? ทำไมเห็นแค่ตัวเราเองล่ะ!”
“ชั้นด้วย…”
สิ่งเดียวที่เห็นอย่างชัดเจนคือข้อความที่ลอยอยู่ที่ซองอูเข้าใจผิดว่าเป็นภาพหลอน ดูเหมือนว่าทุกคนในห้องเรียนจะเห็นแบบเดียวกัน
<คุณเหลือเวลาเพียง 15 วินาที>
“ให้ตายเถอะ…นี่มันเรื่องอะไรกัน?”
“15 วินาทีอะไร?”
แสงสว่างจ้าต่อดวงตาพวกเขา การ์ดสิบใบเริ่มหมุน
มันเหมือนกับการหมุนวงล้อหรือสายพานซูชิ การ์ดเหล่านั้นใกล้ราวกับเอื้อมมือหยิบได้ แต่จากนั้นมันก็หมุนต่อไปตามเข็มนาฬิกา การ์ดเหล่านั้นมีภาพหลายรูปแบบและมีสีสันต่าง ๆ กันเป็นพื้นหลัง
“พวกนายเห็นการ์ดด้วยเหรอ?”
“เฮ้ อย่าไปแตะสุ่มสี่สุ่มห้า!”
“เขาพูดถูก! อย่าแตะนะ! มันอันตราย!”
ไม่มีใครรู้ว่าเหตุใดการแตะต้องการ์ดถึงอันตราย พวกเขาแค่อยากจะหลบมันโดยสัญชาตญาณ แต่ซองอูคิดไปอีกแบบ
‘จะไม่อันตรายกว่าหรอกเหรอถ้าไม่ทำอะไรตอนนี้? ใครจะไปรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอีก 15 วินาทีข้างหน้า?’
<คุณเหลือเวลาเพียง 10 วินาที>
‘เราต้องเลือกการ์ดหนึ่งใบสินะ?’
การ์ดใบหนึ่งมีภาพวาดของนักรบที่มีดาบและโล่ห์ในมือ ส่วนอีกใบเป็นจอมเวทถือคทา ส่วนอีกใบเป็นนักธนูถือลูกธนูหนึ่งดอก การ์ดสามใบมีดาวหนึ่งดวงบนพื้นหลังสีขาว
ส่วนอีกใบเป็นการ์ดสองดาวที่มีพื้นหลังสีเขียวซึ่งดูเหมือนกับนักบวชในสายตาของซองอู แล้วนั่นคืออัศวินปราสาทสามดาวบนพื้นหลังสีชมพูรึ?
ซองอูพยายามเข้าใจสถานการณ์อันพิลึกพิลั่นนี้ เหลือเวลาแค่เจ็ดวินาที การนับถอยหลังกำลังบังคับเขาให้เลือกอย่างนั้นหรือ?
‘นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน? มันเหมือนกับโป๊กเกอร์ใช่ไหม? ที่ต้องตัดสินใจในเวลาจำกัด?’
การ์ดหนึ่งใบที่มีภาพวาดนักสู้ได้หลุดไปจากระยะมือ มันหายไปด้วยเสียง ‘พุ่บ’ จากนั้น…
ปั้ง!
“อ๊า? นี่มันบ้าอะไรกัน?”
ดาบเล่มหนึ่งตกลงบนโต๊ะของเพื่อนซองอู เพื่อนคนนั้นนั่งอยู่ข้างหน้าเขาพอดี
‘มันได้มาจากการ์ดนักสู้ใบนั้นสินะ…’