มู่หนานจือ – บทที่ 21 คลื่นใต้น้ำ

หลี่ฉางชิงอยากรู้มาโดยตลอดว่าระหว่างฮ่องเต้ ฮองไทเฮา ไทฮองไทเฮา และจวนเจิ้นกั๋วกงมีบุญคุณและความแค้นอะไรบ้างกันแน่ สามารถเป็นพันธมิตรกันชั่วคราวภายใต้ผลประโยชน์ร่วมกันได้หรือไม่ นี่เกี่ยวพันถึงจุดยืนของตระกูลหลี่ในราชสำนัก…สุดท้ายฮ่องเต้ก็ยังต้องว่าราชการด้วยตนเองอยู่ดี ถึงแม้เวลานี้พวกเขาจะพึ่งพาอาศัยเฉาไทเฮา แต่ก็ไม่อยากกลายเป็นดาบในมือของเฉาไทเฮาที่เมื่อหมดประโยชน์ก็ถูกจำกัดทิ้งเช่นกัน

เดิมทีนี่เป็นเรื่องที่พวกเขาคิดเอาไว้ก่อนมาเมืองหลวง บิดาถามถึงท่านหญิงเจียหนาน น่าจะเพราะอยากแอบสังเกตการณ์ความสัมพันธ์ของหลายคนนี้ผ่านท่านหญิงเจียหนาน

หลี่เชียนเข้าใจดี แต่ถูกบิดาถามออกมาอย่างเรื่อยเปื่อยแบบนี้ แถมยังต่อหน้าหลิ่วหลีกับหวังไหวอันด้วย ในใจเขาก็รู้สึกไม่ค่อยสบายใจอย่างบอกไม่ถูก

“แค่บังเอิญเจอที่อุทยานหลวงเท่านั้นขอรับ” อยู่ๆ หลี่เชียนก็ไม่อยากพูดมากนัก และเอ่ยว่า “นางใน แม่นม และขันทีกลุ่มหนึ่งติดตามอยู่ จะพูดอะไรได้? ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องคุยแล้ว”

หลี่ฉางชิงได้ยินแล้วก็รู้สึกว่าตนเองรีบร้อนเกินไปหน่อยเช่นกัน จึงถอนหายใจและเอ่ยว่า “เพราะข้าถูกรังแกที่จวนของเหยียนหวาเหนียนมา จึงคิดว่าชนะจากตรงไหนสักกระดานจะดีกว่า”

หลี่เชียนไม่อยากคุยเรื่องพวกนี้ จึงเอ่ยว่า “ท่านพ่อ ผ่านเดือนนี้ไปของขวัญวันเกิดจากแต่ละที่ก็น่าจะส่งเข้ามาแล้ว ของขวัญวันเกิดของพวกเราเตรียมไปถึงไหนแล้วหรือ? อีกอย่างเรื่องแต่งงานกับตระกูลไป๋ ข้าว่าเอาไว้ก่อนดีกว่า ถึงฝ่าบาทจะสนิทกับไทฮองไทเฮา คุณหนูใหญ่ตระกูลไป๋ก็เติบโตที่วังฉือหนิง แต่เรื่องบางเรื่องก็มักจะอยู่เหนือความคาดหมาย อย่าเป็นหมากในมือเฉาไทเฮาจะดีกว่าขอรับ…เฉาไทเฮาสามารถเปลี่ยนคนได้ตลอดเวลา แต่ตระกูลหลี่ของพวกเรากลับเกี่ยวพันถึงความเป็นความตาย”

หลี่ฉางชิงไหนเลยจะไม่รู้?

เขาอดที่จะถอนหายใจไม่ได้ และเอ่ยว่า “รากฐานของตระกูลเราก็ยังตื้นเกินไปอยู่ดี”

หลี่เชียนปลอบใจบิดา “ถึงอย่างไรเส้นทางนี้ก็ต้องเดินทีละก้าวขอรับ”

หลี่ฉางชิงพยักหน้า แล้วเริ่มหารือเรื่องของขวัญวันเกิดกับพวกหวังไหวอิ๋น

หลี่เชียนฟังอยู่ข้างๆ จิตใจไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัว

ท่านหญิงเจียหนานไปหาหวังจ้านทำไมกันแน่นะ?

ส่งพวกหลี่ฉางชิงออกไป บริเวณโดยรอบก็เป็นยามเย็นแล้ว เขานั่งอยู่ในห้องหนังสือที่ไม่มีคนอย่างเงียบๆ เงียบไปนานมาก และสั่งปิงเหอ “เจ้าไปเรียกอวิ๋นหลินมา”

อวิ๋นหลินเป็นคนรับใช้ที่อยู่ข้างกายเขา ฝึกวิทยายุทธมาอย่างดี และคอยคุมองครักษ์สามสิบกว่าคนที่อยู่ข้างกายเขา

องครักษ์เหล่านี้ล้วนจงรักภักดีต่อเขาทุกคน

ปิงเหอขานรับและออกไป

ในวังฉือหนิง

เจียงเซี่ยนวางขนมถั่วแดงที่หลี่เชียนเอามาไว้บนโต๊ะอุ่นของเตียงอุ่นหลังใหญ่ใกล้หน้าต่าง และยิ้มพลางหยอกไป๋ซู่เล่นว่า “นี่ ขนมถั่วแดงที่เจ้าต้องการ!”

ไป๋ซู่แปลกใจ จึงเอ่ยว่า “เฉาเซวียนมาแล้วหรือ?”

“ไม่ใช่เฉาเซวียน” เจียงเซี่ยนเอ่ย “หลี่เชียนเป็นคนเอามา เฉาเซวียนให้หลี่เชียนเอามาให้”

นางรู้สึกว้าวุ่นใจเล็กน้อย

ชาติก่อนนางเจอหลี่เชียนครั้งแรกตอนที่นางว่าราชการหลังม่านและเป็นไทเฮาแล้ว และเพื่อทำให้อำนาจของฮ่องเต้มีเสถียรภาพ แม่ทัพนั้นไม่ว่าอยู่ไกลถึงอวิ๋นกุ้ยหรืออยู่ใกล้แค่เมืองจี้ก็ต้องเข้าเมืองหลวงมารายงานทั้งนั้น

ตอนนั้นเขาเป็นแม่ทัพต้าถง

ครั้งแรกที่เจอนางก็มองอย่างเรื่อยเปื่อย

ตอนนั้นนางก็จำเขาได้แล้ว

ทำไมฟื้นคืนชีพกลับมา คนๆ นี้ก็เริ่มโผล่มาตรงหน้าตนเองบ่อยๆ ล่ะ?

เจียงเซี่ยนเม้มปาก

หากไม่ใช่ว่าเดี๋ยวเฉาไทเฮาก็จะถูกปิดล้อมแล้ว และนางไม่อยากให้เกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้นเพราะตนเอง นางก็จัดการเขาไปตั้งนานแล้ว

ทว่าหากตระกูลหลี่ไปพึ่งพาอาศัยเฉาไทเฮาจริง ไม่จำเป็นต้องลงมือเอง จ้าวอี้ก็จะจัดการพวกเขาอยู่ดีกระมัง?

นางหัวเราะเยาะในใจ แล้วลากไป๋ซู่มากระซิบ “เจ้าคิดหาทางส่งจดหมายให้ท่านป้าสะใภ้ใหญ่ของข้าได้หรือไม่ ข้ามีธุระสำคัญ ออกจากวังในสองวันนี้ได้จะดีที่สุด”

ไทฮองไทเฮาเลี้ยงดูนางจนโต รักนางดั่งของล้ำค่า ตระกูลเจียงมารับนางออกไป ถึงแม้ไทฮองไทเฮาจะไม่ห้าม แต่ในใจกลับแอบกลัวว่าจะสูญเสียหลานสาวคนนี้ไปอีก หากหลังจากนางกลับตระกูลเจียงแล้วพูดถึงป้าสะใภ้ใหญ่แซ่ฝางของตนเองว่าดีกับนางอย่างไร และนางเล่นที่ตระกูลเจียงอย่างมีความสุขแค่ไหน ไทฮองไทเฮาก็จะแอบไม่พอใจ และกลัวว่านางจะชอบจวนเจิ้นกั๋วกงมากกว่า กลัวว่าอยู่ในวังฉือหนิงจะรู้สึกว่ามีกฎระเบียบ ไม่อิสระ และอยากกลับไปตระกูลเจียง

เจียงเซี่ยนรู้สึกถึงความรู้สึกแบบนี้ของท่านยายได้อย่างลึกซึ้งมาตั้งแต่เด็กมากแล้ว

หลังจากนั้นพอนางกลับตระกูลเจียงอีก และเอ่ยถึงคนของจวนเจิ้นกั๋วกงก็กลายเป็นเฉยๆ แล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการขอกลับไปเยี่ยมที่จวนเจิ้นกั๋วกงเองแล้ว…ไทฮองไทเฮารู้แล้วจะเสียใจมาก

แน่นอนว่าไป๋ซู่ก็รู้เช่นกัน

นางได้ยินแล้วก็กระวนกระวายขึ้นมาทันที และเอ่ยว่า “เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า?”

“ไม่มีอะไร” เจียงเซี่ยนเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ข้ากังวลนิดหน่อยว่าไทเฮาจะอาศัยเรื่องวันเฉลิมพระชนมพรรษาหาเรื่องตระกูลเจียง จึงอยากกลับไปเตือนท่านลุงของข้าสักหน่อย”

เรื่องบางเรื่อง นางไม่คิดที่จะบอกไป๋ซู่

เวลานี้ไป๋ซู่ไม่มีความสามารถในการช่วยนาง กระทั่งหากไม่ระวังก็จะทำให้ไป๋ซู่เดือดร้อนไปด้วย

นางหวังว่าชาตินี้ไป๋ซู่จะปลอดภัยและมีความสุข ไม่ต้องได้รับบาดเจ็บใดๆ เพราะนางอีกแล้ว

ก็เหมือนชาติก่อนที่ไป๋ซู่เคยพยายามปกป้องนางอย่างสุดกำลังเหมือนพี่สาว นางก็จะพยายามปกป้องไป๋ซู่อย่างสุดกำลังเช่นกัน

ให้นางเป็นพี่สาวแทน

ไป๋ซู่โล่งอก และเอ่ยอย่างกลุ้มใจเล็กน้อยว่า “เฉาไทเฮาคิดจะทำอะไรกันแน่? เจ้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่า เวลานี้ทุกคนเอ่ยถึงนางขึ้นมาต่างก็กลัวจนไม่กล้าพูดกันทั้งนั้น เดี๋ยวคนนี้ตาย เดี๋ยวคนนั้นตาย เจ้าดูเหล่าองค์ชายที่กุ้ยเฟยให้กำเนิดสิ…”

เจียงเซี่ยนไออย่างหนักหลายครั้ง ส่งสัญญาณให้ไป๋ซู่อย่าพูดอีก

คนที่ควบคุมกรมวังในเวลานี้คือจ้าวเจิ้งอ๋องเจี่ยน น้องชายแท้ๆ ของฮ่องเต้เซี่ยวจงตาของนาง น้องชายสามีของไทฮองไทเฮา แล้วก็เป็นอาของฮ่องเต้องค์ก่อนและปู่ของจ้าวอี้เช่นกัน เขาได้รับความเคารพและความโปรดปรานจากฮ่องเต้หลายรุ่น ถึงแม้จะไม่เคยเข้ามาก้าวก่ายข้อราชการในราชสำนัก แต่ขอบเขตอำนาจในมือกลับใหญ่มาก ตอนนั้นเฉาไทเฮาก็ได้รับความโปรดปรานจากเขา จึงสามารถว่าราชการหลังม่านได้ในท้ายที่สุด

ทว่าสุดท้ายก็เป็นเพราะได้รับการสนับสนุนจากเขาเช่นกัน จ้าวอี้ถึงกล้าตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยวและปิดล้อมภูเขาวั่นโซ่ว

และหลังจากทำเรื่องพวกนี้แล้ว เขาก็ยังคงปลีกตัวอยู่ที่จวนอ๋องเจี่ยนเช่นเดิม และสนใจแต่พวกงานของกรมวัง

ตอนนั้นนางไม่เข้าใจ และคิดว่าอ๋องเจี่ยนถูกใจจ้าวอี้ถึงวางแผนระยะยาว อยากดันให้จ้าวอี้ขึ้นครองราชย์ ตอนหลังนางสำเร็จราชการแทนเอง และตั้งใจอบรมสั่งสอนจ้าวสี่ ทุกครั้งที่อ๋องเจี่ยนเจอนางก็จะเผยสายตาชื่นชมออกมา และบอกว่านางสมกับที่ไทฮองไทเฮาอบรมสั่งสอนมา นางถึงมารู้ในภายหลังว่า สาเหตุที่อ๋องเจี่ยนช่วยจ้าวอี้นั้น ไม่ใช่เพราะจ้าวอี้มีความสามารถอะไร แต่ไม่อยากให้เฉาไทเฮาทำร้ายลูกหลานตระกูลจ้าวอีก จึงทำให้เฉาไทเฮากลายเป็นหลี่ว์จื้อคนที่สองก็เท่านั้น

น่าสงสารที่นางยังคิดว่าจ้าวอี้มีความสามารถในการปกครองแคว้น…เวลานี้คิดดูแล้วก็รู้สึกว่าตอนนั้นตนเองช่างโง่เขลานัก

ไป๋ซู่ได้รับสัญญาณจากเจียงเซี่ยนแล้วก็เอ่ยถึงเรื่องออกจากวังกับเจียงเซี่ยน “เจ้าเขียนจดหมาย ข้าจะให้หลิ่วเหมยแอบเอาไปให้ท่านแม่ แล้วให้ท่านแม่ส่งต่อให้ฮูหยินเจิ้นกั๋วกง”

ตระกูลเจียงรับเจียงเซี่ยนกลับไปเป็นคนละเรื่องกับที่เจียงเซี่ยนจะกลับไปเอง ไทฮองไทเฮาก็จะไม่ขัดขวาง

ถึงอย่างไรนางอายุมากแล้ว ต่อไปเจียงเซี่ยนก็ยังต้องพึ่งพาอาศัยจวนเจิ้นกั๋วกง

เจียงเซี่ยนไปเขียนจดหมาย แล้วปิดผนึกด้วยตราประทับครั่งสีแดง และส่งให้ไป๋ซู่

ไป๋ซู่คิดแล้วก็ส่งขนมถั่วแดงบนโต๊ะอุ่นให้หลิ่วเหมย และเอ่ยว่า “หากมีคนถามขึ้นมาก็บอกว่าไทฮองไทเฮาประทานของว่างให้ข้าสองกล่อง ข้ากินแล้วอร่อย ท่านแม่เพิ่งหายป่วยหนัก จึงให้นางลองชิมด้วย”

หลิ่วเหมยรับของว่างและถอยออกไป

เจียงเซี่ยนอดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้ และเอ่ยว่า “คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าเจ้ายังมีลูกไม้หลอกลวงเบื้องบนแบบนี้ด้วย”

ไม่อย่างนั้นชาติก่อนไป๋ซู่ก็คงจะไม่ใช้ชีวิตอยู่ในวังได้เหมือนปลาได้น้ำแล้ว

ตนเองดูถูกนางไปหน่อยหรือเปล่า

ไป๋ซู่ไม่ใส่ใจนัก และเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “เพราะขนมถั่วแดงสองกล่องนี้มาได้ทันเวลามาก”

พอเอ่ยจบ ทั้งสองคนก็คิดถึงที่มาของขนมถั่วแดงนี้ แล้วก็ต่างหัวเราะลั่นออกมาพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย

—————————

มู่หนานจือ

มู่หนานจือ

แม้ เจียงเซี่ยน เป็นถึงสตรีผู้สูงศักดิ์ ทั้งยังได้แต่งงานกับ ‘จ้าวอี้’ ผู้เป็นฮ่องเต้ ทว่าเขามิเคยร่วมหออุ่นเตียงกันจนกระทั่งจากนางไป เมื่อนางต้องกลายเป็นไทเฮา จึงได้โอบอุ้ม ‘จ้าวสี่’ ลูกชายคนเดียวของจ้าวอี้ว่าราชการหลังม่าน ประคองราชวงศ์อย่างยากเข็ญ แต่แล้วนางกลับถูกฆ่าตายด้วยถ้วยยาพิษ ที่อยู่ในอุ้งมือของฮ่องเต้น้อยอย่างจ้าวสี่! เมื่อลืมตาตื่นมาอีกครั้ง ก็พบว่าได้ย้อนกลับมาช่วงชีวิตวัยสิบสามปี ก่อนมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในราชสำนัก ‘เหตุใดจ้าวสี่จึงมอบความตายให้นาง?’…แม้โอกาสในการมีชีวิตอาจทำให้ไขปริศนานี้ได้ แต่นางขอเลือกเดินในเส้นทางใหม่ ไม่เข้าไปข้องเกี่ยวกับตระกูลจ้าว ไม่สนใจการผลัดเปลี่ยนแผ่นดิน นางขอเพียงมีชีวิตครอบครัวเล็กๆ กับสามีที่วางใจได้ และลูกที่แสนน่ารักทว่า เมื่อนางได้นำพบกับ หลี่เชียน แม่ทัพหนุ่มที่นางเคยรู้สึกเกลียดทุกคราที่พบหน้า ชีวิตและความรักของนางจึงกำลังจะพบกับจุดเปลี่ยนอีกครั้ง… หรือ ‘โชคชะตา’ จะนำพาให้เกิดเรื่องราวและวังวนที่ไม่เหมือนเดิม!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset