ทว่าความคิดนี้ก็เพียงแค่ฉายวาบจากในสมองของเจียงเซี่ยนและผ่านไปเช่นกัน
ไม่ว่าจะวางแผนทรยศหรือปลงพระชนม์ล้วนไม่มีจุดจบที่ดีทั้งนั้น ยิ่งกว่านั้นเวลานี้อ๋องเหลียวกับจิ้งไห่โหวต่างก็มีอนาคต หากเกิดเรื่องกับจ้าวอี้ พวกเขาก็มีข้ออ้าง ‘กวาดล้างคนสนิทและคนเลวข้างกายฮ่องเต้’ ตระกูลเจียงกับตระกูลหวังล่วงเกินเบื้องบน สูญเสียจิตใจของผู้คน และไม่มีหลี่เชียนคอยสกัดทั้งสองคน ตระกูลเจียงกับตระกูลหวังก็มีแต่จะจบลงด้วยการถูกสังหารหมู่เท่านั้น
นางไม่ได้ฟื้นคืนชีพขึ้นมาเพื่อทำให้ตระกูลเจียงกับตระกูลหวังถูกสังหารทั้งครอบครัว
แต่นางจะให้ใครไปสืบเรื่องฮูหยินเฟิ่งเซิ่งล่ะ?
จริงๆ แล้วนางก็เคยสัมผัสกับเล่ห์เหลี่ยมของคนแซ่ฟาง…ตอนนั้นที่นางเป็นฮองเฮา นางห่วงใยและรักคนทั่วใต้หล้าด้วยความรักของแม่ ควบคุมวังทั้งหกและตราหงส์ ข้างหลังยังมีเจิ้นกั๋วกงกับชินเอินป๋อสนับสนุนซึ่งต่างก็หาความผิดของคนแซ่ฟางไม่เจอ จึงทำอะไรอีกฝ่ายไม่ได้
เวลานี้นางเป็นแค่ท่านหญิง และไม่ได้มีอำนาจมากเหมือนตอนที่เป็นฮองเฮา แต่คนแซ่ฟางอาจจะไม่ได้มีเล่ห์เหลี่ยมเหมือนอย่างในตอนนั้นก็ได้ ตั้งแต่ไหนแต่ไรมา นางควบคุมฐานะของตนเอง ดูถูกคนแซ่ฟาง เวลานี้นางไม่กล้ารบกวนคนอื่น ทว่ากลับต้องไล่คนแซ่ฟางออกจากตำแหน่ง ผู้ช่วยคนนี้จึงต้องรอบคอบแล้วรอบคอบอีก ครุ่นคิดแล้วครุ่นคิดอีก ไม่งั้นจนเฉาไทเฮาถูกปิดล้อม จ้าวอี้กุมอำนาจ คนแซ่ฟางก็จะเหมือนนกที่หลุดออกมาจากกรงขัง อาศัยพลังในการปฏิวัติของจ้าวอี้สร้างผลงานที่น่าตกใจขึ้นมาในครั้งเดียว นอกจากนางจะเป็นฮองเฮา ไม่อย่างนั้นทุกคนก็รอคุกเข่าต่อหน้าคนแซ่ฟางและดูฝีมือของคนแซ่ฟางได้เลย!
ถึงเวลานั้นสถานการณ์ของทุกคนยังเทียบกับตอนที่เฉาไทเฮากุมอำนาจไม่ได้ด้วยซ้ำ…อย่างน้อยเฉาไทเฮาอยากเป็นอู่เจ๋อเทียน อยากเป็นจักรพรรดินีที่ทิ้งชื่อเสียงอันดีงามไว้ในประวัติศาสตร์ ทำอะไรก็ยังถือว่ามีกฎให้ทำตามได้ แต่คนแซ่ฟางนั่นเป็นหญิงชนบทที่ไม่ค่อยรู้หนังสือ จะทำความปรารถนาของตนเองให้เป็นจริงก็เหลาะแหละ เรื่องใช้ชีวิตตามอำเภอใจกับเลือกใช้คนที่สนิทกับตนเองล้วนเป็นเรื่องเล็ก เมื่อสุดท้ายนางก็เริ่มก้าวก่ายข้อราชการในราชสำนัก เรียกเก็บเงินจากการซื้อขายตำแหน่งบรรดาศักดิ์ขุนนาง ใครขวางข้าตาย ใครตามข้าอยู่ วางแผนฆ่าขุนนางที่ซื่อสัตย์ และคิดว่าตนเองเป็นมารดาของจ้าวอี้จริงๆ…
พอคิดถึงเรื่องพวกนี้ เจียงเซี่ยนก็เกลียดจนแอบกัดฟัน
ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องกำจัดคนแซ่ฟางก่อนที่จะเกิดเรื่องกับเฉาไทเฮา
กำจัดคนแซ่ฟางอย่างสมเหตุสมผลจะดีที่สุด
ทำให้จ้าวอี้เห็นว่าคนแซ่ฟางที่เขารักและไว้ใจเป็นอย่างไรกันแน่!
เจียงเซี่ยนเริ่มเดินไปเดินมาในห้อง
ให้ใครดีล่ะ?
ให้ใครดีล่ะ?
พอคิดว่านางจะไม่เป็นฮองเฮา ทว่าคนแซ่ฟางอาจจะเป็นฮูหยินเฟิ่งเซิ่งของนางต่อไป แม้แต่อาหารเที่ยง เจียงเซี่ยนก็กินไม่ลงแล้ว
ไป๋ซู่เป็นห่วงมาก จึงเอ่ยกับนางเสียงเบามากว่า “เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า? หากเจ้าไม่อยากบอกข้า ก็ส่งข้าไปทำเรื่องบางเรื่องให้เจ้าก็ได้ ข้าจะไม่ถามเจ้า”
ไม่ว่าชาติก่อนหรือชาตินี้ ไป๋ซู่ก็ยืนอยู่ข้างนางเสมอ
นางจึงยิ่งทำให้ไป๋ซู่กับตระกูลไป๋เดือดร้อนไม่ได้
นัยน์ตาของเจียงเซี่ยนชื้นเล็กน้อย นางฝืนกลั้นความรู้สึกอยากร้องไห้เอาไว้แล้วกอดไป๋ซู่ พลางเอ่ยเสียงแหบว่า “ข้ายังคิดอยู่ เอาไว้ตัดสินใจได้แล้วค่อยให้เจ้าช่วย”
ไป๋ซู่รู้ว่าปกตินางดูทำอะไรตามใจตนเอง ทว่าหากเป็นเรื่องการตัดสินใจกลับต้องทำให้ได้ ดังนั้นไป๋ซู่จึงไม่เร่งนาง และกอดตอบนางทีหนึ่ง พลางกำชับนางอีกครั้ง “เจ้าต้องจำไว้นะ พวกเราเป็นพี่น้องที่สนิทกัน มีอะไรก็ต้องร่วมทุกข์ร่วมสุขกัน”
เจียงเซี่ยนพยักหน้าติดกันหลายครั้ง
ฉิงเค่อเข้ามาเอ่ยว่า “ท่านหญิง ฝ่าบาทกับเฉิงเอินกงมาแล้วเจ้าค่ะ”
เจียงเซี่ยนขมวดคิ้ว แล้วเอ่ยว่า “พวกเขามาทำไม?”
เวลานี้คนที่นางเกลียดที่สุดคือจ้าวอี้ นางไม่อยากทำตัวสุภาพกับเขา
ฉิงเค่อเอ่ยว่า “ฝ่าบาทเสด็จมาคารวะไทฮองไทเฮา ส่วนเฉิงเอินกงรับคำสั่งจากไทเฮาให้นำขนมฝูมาให้ท่านเจ้าค่ะ บอกว่าจิ้งไห่โหวให้คนส่งเข้าเมืองหลวงมาอย่างด่วนที่สุด”
ขนมฝูของฝูเจี้ยนก็คือลูกพลับแห้ง เพราะหน้าตาขนมสวยและหวาน เฉาไทเฮาชอบมาก ทุกครั้งที่ถึงฤดูนี้จิ้งไห่โหวก็จะให้คนส่งมาเป็นของบรรณาการ
เจียงเซี่ยนยิ่งรู้สึกไม่สบายใจแล้ว
ตอนที่นางเป็นไทเฮานั้น จิ้งไห่โหวไม่ได้ประจบเอาใจขนาดนี้ จะเห็นได้ว่าตั้งแต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่เคยเห็นนางอยู่ในสายตา
เจียงเซี่ยนเอ่ยว่า “เจ้าไปบอกว่าข้ายังไม่ตื่นนอนกลางวัน…” ทว่าหางตากลับเหลือบเห็นนัยน์ตาที่แฝงด้วยความหวังเล็กน้อยของไป๋ซู่
นางถอนหายใจในใจ แล้วเปลี่ยนใจ “งั้นก็ให้พวกไป่เจี๋ยแต่งตัวให้ข้า ไปถวายพระพรฝ่าบาท”
ฉิงเค่อขานรับด้วยรอยยิ้ม “เจ้าค่ะ”
ไป๋ซู่เอ่ยอย่างลังเลว่า “เป่าหนิง ถ้าเจ้าไม่อยากออกไป พวกเราฝึกคัดตัวอักษรอยู่ในห้องก็ได้…”
เจียงเซี่ยนโบกมืออย่างไม่ใส่ใจนัก และปลอบใจนางว่า “ต่อให้พวกเราไม่ไปถวายพระพรฝ่าบาท ด้วยนิสัยของเขาก็จะหาข้ออ้างเรียกพวกเราไปห้องอุ่นตะวันออกอยู่ดี แทนที่จะให้เขาเรียกข้าไป และลับหลังไทฮองไทเฮาก็บ่นไม่จบไม่สิ้น สู้พวกเราไปเจอเขาเองดีกว่า ดูจากตอนนี้ เขามาก็ทำได้แค่เล่นไพ่เป็นเพื่อนไทฮองไทเฮาเท่านั้นเช่นกัน แล้วไทฮองไท่เฟยก็อยู่ด้วย บวกเจ้าอีกคน ก็มีสี่คนแล้ว ข้าก็คอยดูอยู่ข้างๆ ได้”
ไป๋ซู่แปลกใจเล็กน้อย และเอ่ยว่า “วันนี้เจ้าไม่เล่นไพ่หรือ?”
เจียงเซี่ยนเป็นถึงท่านหญิง ไม่ว่าจะเป็นการเรียนหนังสือเขียนหนังสือก็ดีหรือเย็บปักถักร้อยก็ตาม ไทฮองไทเฮาเป็นห่วงร่างกายของนาง และคิดว่าเรื่องพวกนี้เป็นสิ่งที่คนรับใช้ช่วยทำได้ แถมเจียงเซี่ยนก็ไม่จำเป็นต้องอาศัยเรื่องนี้ออกเรือน ดังนั้นจึงเรียนอย่างขอไปที ทว่าเพราะเล่นไพ่ฆ่าเวลาเป็นเพื่อนไทฮองไทเฮาบ่อย นางจึงไม่เพียงถนัดเล่นไพ่ และเล่นเก่ง ทว่ายังชอบเล่นไพ่มากด้วย
ช่างเป็นวิธีฆ่าเวลาของสนมวังหลังอย่างสิ้นเชิง
นี่ทำให้หลังจากนางออกจากวังแล้วไม่คุ้นชินเป็นอย่างมาก
นางถูกไทฮองไทเฮาตามใจจนเสียคนแล้ว ดูเหมือนเป็นคนโอนอ่อนผ่อนตาม แต่ความจริงแล้วกลับหยิ่งยโสมาก และไม่ยอมฝืนใจปรับตัวให้เข้ากับคนอื่น นี่ก็เป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำไมตอนหลังนางยอมแต่งเข้าวังเช่นกัน
เจียงเซี่ยนไม่ตอบนาง และเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ทำไมข้าลืมไปว่ายังมีเฉิงเอินกงอีกคน! เจ้าอยากให้ข้าร่วมเล่นไพ่ ให้เจ้ามีโอกาสคุยกับเฉิงเอินกงก็ได้ เอาไว้เจ้าแต่งงานกับเฉิงเอินกงแล้ว ก็ยกลูกสาวคนรองให้เป็นลูกสาวบุญธรรมของข้า แล้วข้าจะไปเล่นไพ่…”
ไป๋ซู่อายจนหน้าเหมือนเมฆหลากสียามพระอาทิตย์ขึ้น และยื่นมือจะไปหยิกแก้มนาง “เจ้าคนขี้แกล้ง นี่ไปเรียนมาจากใคร? คำพูดแบบนี้เจ้าก็พูดออกมาได้ด้วยหรือ? ระวังไทฮองไทเฮาได้ยินเข้า จะลงโทษให้เจ้าไปคัดคัมภีร์”
เจียงเซี่ยนหัวเราะลั่น พลางเอียงตัวหลบมือของไป๋ซู่ และวิ่งไปห้องพักผ่อนอย่างเร็วมาก
ไป๋ซู่กระทืบเท้ากับพื้น
แต่เจียงเซี่ยนกลับถอนหายใจในใจ และเอ่ยว่า ‘พี่สาวคนดี ข้าเคยเห็นกับตาว่าคนคลอดลูกอย่างไรมาแล้วด้วยซ้ำ ยังสนใจคำพูดลามกพวกนี้ด้วยหรือ? เป็นไทเฮาแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นไทเฮาที่สำเร็จราชการแทน ก็ไม่มีใครจะเห็นเจ้าเป็นผู้หญิงแล้ว’
นางผิดหวังเล็กน้อย
รอให้ไป๋ซู่เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วก็ไปห้องอุ่นตะวันออกพร้อมกับนาง
ไทฮองไทเฮาจับมือจ้าวอี้และนั่งคุยเรื่องชีวิตประจำวันในครอบครัวอยู่บนเตียงอุ่นหลังใหญ่ใกล้หน้าต่าง เฉาเซวียนยืนอยู่ตรงที่นั่งของจ้าวอี้ซึ่งอยู่ต่ำกว่าอย่างนอบน้อม
พอได้ยินเสียง เฉาเซวียนก็รีบเอ่ยว่า “ท่านหญิงเจียหนานกับท่านหญิงไป๋ซู่มาแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ท่าทางเหมือนยกภูเขาออกจากอก
เห็นได้ชัดว่าจ้าวอี้ไม่ได้ปฏิบัติกับเขาอย่างดีนัก
เจียงเซี่ยนกับไป๋ซู่รีบเข้าไปคารวะไทฮองไทเฮากับจ้าวอี้
จ้าวอี้ลุกขึ้นยืน สั่งหลิวเสี่ยวหม่านให้ยกม้านั่งเข้ามาเสียงดัง และถามเจียงเซี่ยนด้วยสีหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มว่า “ได้ยินว่าเจ้าป่วยอีกแล้วหรือ? ทำไมไม่ให้คนไปบอกข้า? หลายวันนี้ข้ายุ่งอยู่กับเรื่องงานวันเกิดของเสด็จแม่ จึงไม่ได้สนใจเจ้าเลย”
หลิวเสี่ยวหม่านค้อมตัวสั่งให้ขันทียกม้านั่งเข้ามา เมิ่งฟางหลิงพานางในนำชาและของว่างมาให้
เจียงเซี่ยนกับไป๋ซู่นั่งลง และเอ่ยอย่างสบายๆ “มีปีไหนที่หม่อมฉันไม่ป่วยหลายรอบบ้างเพคะ ชินเสียแล้ว จึงไม่ได้ทูลให้ฝ่าบาททราบ” แล้วก็เปลี่ยนไปคุยเรื่องอื่น โดยถามจ้าวอี้ว่า “แล้วทำไมฝ่าบาทถึงว่างเสด็จมาได้เพคะ?”
จ้าวอี้เอ่ยอย่างสนิทมากว่า “คิดว่าไม่ได้มาคารวะเสด็จย่าหลายวันแล้ว ก็เลยมาน่ะสิ!”
ไทฮองไทเฮาหัวเราะ
ไม่มีใครสนใจเฉาเซวียน
———————————-