มู่หนานจือ – บทที่ 28 พบเจอ

เฉาเซวียนยืนอยู่ตรงนั้นอย่างเชื่อฟัง

ไป๋ซู่เห็นแล้วปวดใจ จึงหาช่องว่างที่ไทฮองไทเฮากับจ้าวอี้ไม่ได้คุยกันถามเฉาเซวียน “เฉิงเอินกง ได้ยินว่าท่านเอาขนมฝูมาหรือ? ข้าจำได้ว่าปีก่อนเลยเดือนสิบไปแล้วขนมฝูถึงจะมาถึง ทำไมปีนี้ถึงมาถึงเร็วขนาดนี้?”

เฉาเซวียนมองไป๋ซู่ครั้งหนึ่ง สายตาเจือความซาบซึ้งเล็กน้อย

เขาก็ไม่อยากมาถูกกลั่นแกล้งที่นี่เหมือนกัน!

แต่ก็ทนสายตาดุจคมมีดของเฉาไทเฮาไม่ไหว!

“เห็นว่าเพราะปีนี้เป็นวันเกิดครบห้าสิบปีของเฉาไทเฮา จิ้งไห่โหวจึงให้คนส่งของบรรณาการอย่างขนมฝูและชาต้าหงเผาเข้าเมืองหลวงล่วงหน้าขอรับ” เฉาเซวียนตอบอย่างนุ่มนวล

ไทฮองไทเฮาได้ยินเขาเอ่ยเช่นนี้ ก็เริ่มสนใจของบรรณาการของปีนี้ขึ้นมา “ชาต้าหงเผาตอนนี้เก็บได้แล้วหรือ? ส่งเข้าเมืองหลวงมาเท่าไร? เรื่องพวกนี้เป็นเรื่องของหน่วยราชการไม่ใช่หรือ? ทำไมจิ้งไห่โหวเป็นคนส่งมา?”

เจียงเจิ้นหยวนลุงของเจียงเซี่ยนชอบดื่มชาต้าหงเผามาก ทว่าชาต้าหงเผาเป็นของบรรณาการ ทุกปีไทฮองไทเฮาก็จะพระราชทานชาต้าหงเผาให้เจียงเจิ้นหยวนหลายชั่ง[1]

เฉาเซวียนเดินมาตรงหน้าไทฮองไทเฮา และอธิบายอย่างละเอียดว่า “ได้ยินว่าปีนี้อากาศดี ชาต้าหงเผาต่างเติบโตได้ดีและเก็บได้เร็วกว่าปีก่อน ตรงกับที่จะอวยพรวันเฉลิมพระชนมพรรษาให้ไทเฮาพอดี จึงส่งเข้าเมืองหลวงมาพร้อมกับพวกของขวัญวันเกิดและขนมฝู เดิมทีการส่งของบรรณาการนี้เป็นเรื่องหน่วยราชการ นี่ก็เพราะเจ้อเจียงกับฝูเจี้ยนไม่สงบไม่ใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ? ผู้ว่าราชการมณฑลฝูเจี้ยนจึงไปขอร้องกับทางจิ้งไห่โหว…”

เขากำลังพูดอยู่ จู่ๆ จ้าวอี้ก็ลุกขึ้นเดินมาตรงหน้าเจียงเซี่ยน และกระซิบข้างหูนางว่า “เป่าหนิง เขาคงอยากประจบประแจงต่อหน้าเจ้ากระมัง? เจ้าวางใจเถอะ ถึงเวลานั้นข้าจะฆ่าเขาแก้แค้นให้เจ้าอย่างแน่นอน”

เจียงเซี่ยนตกใจมาก

ไม่เพียงแต่เพราะจู่ๆ จ้าวอี้ก็เข้ามาหาตรงหน้า ทว่ายังเพราะความเกลียดชังและจิตสังหารที่ซ่อนอยู่ในน้ำเสียงที่จ้าวอี้พูดอย่างเบาบางด้วย

จ้าวอี้ในตอนนี้ก็เห็นนางเป็นสมบัติของเขาแล้วหรือ?

เจียงเซี่ยนรู้สึกรังเกียจ

ชาติก่อนจ้าวอี้เพียงแค่เกลียดเฉาเซวียน ไม่ได้คิดแค้นเขาแบบนี้

ส่วนเฉาเซวียนนั้น เพราะคำพูดของตนเอง จึงตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากมากกว่าชาติก่อนแล้ว

นางสูดหายใจเข้าและผ่อนลมหายใจที่ติดอยู่ระหว่างหน้าอกและปอดออกมา พลางครุ่นคิดว่าจะช่วยเฉาเซวียนพูดสักหน่อยหรือไม่ แต่จู่ๆ จ้าวอี้ก็กลับไปนั่งลงบนเตียงอุ่นหลังใหญ่ใกล้หน้าต่างเหมือนตอนที่จู่ๆ ก็เข้ามาใกล้อีก

เพราะเขาขยับตัวอย่างกะทันหัน ไทฮองไทเฮากับเฉาเซวียนก็คุยต่อไปไม่ได้แล้วเช่นกัน

ไทฮองไทเฮาถามจ้าวอี้อย่างใส่ใจ “มีอะไรหรือ?”

“ไม่มีอะไรพ่ะย่ะค่ะ” จ้าวอี้ยิ้ม ดวงตาเรียวยาวที่หางตางอนขึ้นนิดหนึ่งทอประกาย “กระหม่อมกระซิบคุยกับเป่าหนิงพ่ะย่ะค่ะ”

ไทฮองไทเฮาได้ยินก็ยิ้มขึ้นมา และเอ่ยว่า “พวกเจ้านี่นะ หนึ่งคนสองคน ชอบพูดจาซุบซิบกันทั้งนั้น โตแล้วสินะ มีความคิดแล้ว”

นัยน์ตาของจ้าวอี้พราวระยับ และมองเจียงเซี่ยนด้วยสีหน้าปนยั่วเย้า “หนึ่งคนสองคน? ข้าคนหนึ่ง แล้วยังมีใครอีกคนหรือ?”

หากไม่มีคำพูดที่เต็มไปด้วยจิตสังหารของจ้าวอี้ก่อนหน้านี้ เจียงเซี่ยนยังสามารถล้อเล่นได้ว่านับเฉาเซวียนหรือหวังจ้านไปด้วยอีกคน แต่หลังจากได้สัมผัสกับความใจแคบของจ้าวอี้อีกครั้ง นางจะตอบมั่วซั่วได้อย่างไร

มิน่าเล่ามีคนบอกว่าอยู่เคียงข้างกษัตริย์ก็เหมือนอยู่เคียงข้างเสือ มีอันตรายถึงชีวิตตลอดเวลา

เหมาะกับจ้าวอี้มาก

เจียงเซี่ยนเม้มปากยิ้ม และเอ่ยว่า “แน่นอนว่าต้องนับพี่จ่างจูไปด้วยอีกคนเพคะ!”

ไป๋ซู่แอบตกใจ ทว่ากลับร่วมมือกับเจียงเซี่ยนอย่างเยือกเย็น และเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “เป่าหนิงอย่าใช้ข้าเป็นโล่กำบังตนเอง หลายวันก่อนใครไปเด็ดส้มที่อุทยานหลวงตะวันตกแล้วไม่พาข้าไปด้วย?”

เจียงเซี่ยนลืมเรื่องนี้ไปแล้ว

แต่จ้าวอี้กลับหน้าตาผ่อนคลายขึ้น และยิ้มพลางเอ่ยว่า “พวกเราไม่พาเจ้าหรือ? เห็นๆ อยู่ว่าเจ้าบอกว่าจะทำถุงใส่กระจกให้ย่า จะรีบถักถุงใส่ของ…”

ไป๋ซู่ยิ้มและเอ่ยว่า “หม่อมฉันก็แค่ลังเลเล็กน้อย ฝ่าบาทก็หงุดหงิดแล้วลากเป่าหนิงไปเลย ตอนที่หม่อมฉันไปถึง ฝ่าบาทก็ทิ้งหม่อมฉันไว้ในศาลาและให้หม่อมฉันถือกระเช้าดอกไม้ให้ฝ่าบาท…”

จ้าวอี้ปรายตามองนาง “ให้เจ้าถือกระเช้าดอกไม้ก็ไม่เลวแล้ว เจ้ายังต้องการอะไรอีก?”

ทั้งสองคนพูดจาหยอกล้อกันไปมา

เฉาเซียนอดที่จะเงยหน้ามองไป๋ซู่ไม่ได้ สายตาทอประกายแปลกๆ

ไป๋ซู่ไม่เห็น

สภาพจิตใจที่เคร่งเครียดของนางถึงผ่อนคลายลง นางคุยกับจ้าวอี้อีกเล็กน้อย ไทฮองไท่เฟยก็มาแล้ว

ทุกคนคารวะกัน และไทฮองไทเฮาก็เสนอความเห็นให้เล่นไพ่

จ้าวอี้ขานรับอย่างคึกคัก

เจียงเซี่ยนคิดถึงท่าทีของจ้าวอี้เมื่อครู่ ก็ยังไม่กล้าให้ตนเองกับเฉาเซวียนว่างอยู่ข้างๆ จริงๆ นางจึงอาสาเล่นเป็นเพื่อนและร่วมโต๊ะไพ่

ไทฮองไทเฮา ไทฮองไท่เฟย เจียงเซี่ยนและจ้าวอี้ก็รวมได้โต๊ะหนึ่ง

ไป๋ซู่นั่งอยู่ข้างไทฮองไทเฮาและช่วยไทฮองไทเฮาดูไพ่ แต่เฉาเซวียนนั่งอยู่ข้างกายจ้าวอี้

ถึงแม้ทั้งสองคนต่างอยู่บนโต๊ะ ทว่ากลับไม่มีโอกาสได้คุยกันเลย

ต่อสู้กันหลายครั้ง เจียงเซี่ยนชนะสามตารวด

จ้าวอี้จะเลี้ยงเจียงเซี่ยน “…จัดงานเลี้ยงที่หอเหยียนชุน”

หอเหยียนชุนอยู่ที่สวนดอกไม้ของวังฉือหนิง ลักษณะภายนอกสองชั้น ความจริงแล้วมีสามชั้น แล้วก็มีชั้นลอยที่สว่างและมืด มีชื่อเรียกมาตั้งแต่ไหนแต่ไรมาว่า ‘เขาวงกต’

ตอนเด็กเจียงเซี่ยนกับจ้าวอี้มักจะเล่นซ่อนหากันในหอเหยียนชุน

เจียงเซี่ยนไม่อยากคิดมาก จึงยิ้มและตอบตกลง และยังถามจ้าวอี้ “อากาศหนาวขึ้นเรื่อยๆ แล้ว ไม่งั้นพวกเราย่างเนื้อกินกันในหอเหยียนชุนเถอะ?”

จ้าวอี้พูดว่าดีหลายครั้งติดกัน และเชิญไทฮองไทเฮาไปด้วยกัน

ไทฮองไทเฮาหัวเราะ และปรึกษากับพวกจ้าวอี้และไป๋ซู่ว่าจะเลี้ยงอย่างไร

เฉาเซวียนถูกเมินอยู่ข้างๆ ก็ไม่โกรธเช่นกัน เขาค่อยๆ ดื่มชา และรอจ้าวอี้ลุกขึ้นขอลา เขาก็ลุกขึ้นยืนตามไปด้วย

เจียงเซี่ยนกับไป๋ซู่ส่งจ้าวอี้กับเฉาเซวียนออกไปข้างนอก

หน้าประตู เจียงเซี่ยนเห็นหลี่เชียนที่รูปร่างผอมเพรียวกำลังพูดคุยอยู่กับเสี่ยวผานจึขันทีคนหนึ่งที่อยู่ข้างกายจ้าวอี้ด้วยสีหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม

นางอดที่จะเลิกคิ้วไม่ได้

หลี่เชียนตีหน้าขรึมแล้วถอยไปข้างๆ น้อมส่งจ้าวอี้ออกไปข้างนอก

เฉาเซวียนก็ส่งสายตาให้หลี่เชียน

หลี่เชียนยิ้มให้เฉาเซวียน

ทว่าจ้าวอี้กลับมองไปตามสายตาของเฉาเซวียน

หลี่เชียนหน้าตาโดดเด่นมาก ถึงในหน่วยองครักษ์บ้างก็หล่อเหลาบ้างก็ห้าวหาญ รอยยิ้มที่สดใสและองอาจของเขาราวกับวันในฤดูร้อน ซึ่งสว่างไสวและแวววาว ก็ทำให้คนเห็นแล้วยากที่จะมองข้ามไปได้

จ้าวอี้หรี่ตาเล็กน้อย และถามเฉาเซวียน “นั่นใครน่ะ?”

เฉาเซวียนตอบอย่างนอบน้อม “หลี่จงเฉวียนหลี่เชียนบุตรชายของหลี่ฉางชิงแม่ทัพฝูเจี้ยน เป็นองครักษ์อยู่ที่วังคุนหนิงพ่ะย่ะค่ะ”

จ้าวอี้เงียบไปหลายอึดใจ และยิ้มพลางเอ่ยว่า “ให้เขามาให้ข้าดูหน่อย”

เฉาเซวียนรีบกวักมือเรียกหลี่เชียนมา

หลี่เชียนสายตาแน่วแน่ และคุกเข่าลงคำนับจ้าวอี้

ท่าทางของเขาช่ำชองและคล่องแคล่ว มีความธรรมชาติและอิสระ

จ้าวอี้ยิ้มออกมา และถามเขาอย่างสนใจมาก “ได้ยินพี่ข้าบอกว่า เจ้ารับใช้อยู่ที่วังคุนหนิงหรือ! แล้วทำไมเจ้าถึงมาอยู่ที่วังฉือหนิงล่ะ?”

หลี่เชียนเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ตำหนักอู่อิงมีคนลา ใต้เท้าจ้าวจึงย้ายกระหม่อมมาทางนี้ชั่วคราวพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเพิ่งจะออกเวร และกลับไปประตูเสินอู่จากทางนี้ มารับใช้ทางนี้แค่ชั่วคราวเท่านั้น อีกสองวันกระหม่อมก็กลับวังคุนหนิงแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

เสียงของเขาดังกังวาน ท่าทางเหมาะสม

จ้าวอี้มองสำรวจเขาครั้งหนึ่ง แล้วก็หันตัวขึ้นเกี้ยว

พวกหลี่เชียนก้มหน้าน้อมส่ง

เจียงเซี่ยนอดที่จะแอบด่าในใจไม่ได้

หลี่เชียนเจ้าคนสารเลว ช่างรู้จักใช้โอกาสให้เป็นประโยชน์จริงๆ แค่สองประโยคนี้ก็ทิ้งความประทับใจไว้ในใจจ้าวอี้แล้ว

ชาติก่อนหลี่เชียนก็เข้าวังแบบนี้เหมือนกัน แล้วไม่นานก็เลียแข้งเลียขาจ้าวอี้ เหยียบเรือสองแคม ดังนั้นเกิดเรื่องกับเฉาไทเฮา ตระกูลหลี่ก็ไม่ได้รับเคราะห์ไปด้วยหรือ?

นางรู้ว่าเขาไม่ใช่คนที่ซื่อสัตย์อะไรนัก

————————————-

[1] 1 ชั่ง = 500 กรัม

มู่หนานจือ

มู่หนานจือ

แม้ เจียงเซี่ยน เป็นถึงสตรีผู้สูงศักดิ์ ทั้งยังได้แต่งงานกับ ‘จ้าวอี้’ ผู้เป็นฮ่องเต้ ทว่าเขามิเคยร่วมหออุ่นเตียงกันจนกระทั่งจากนางไป เมื่อนางต้องกลายเป็นไทเฮา จึงได้โอบอุ้ม ‘จ้าวสี่’ ลูกชายคนเดียวของจ้าวอี้ว่าราชการหลังม่าน ประคองราชวงศ์อย่างยากเข็ญ แต่แล้วนางกลับถูกฆ่าตายด้วยถ้วยยาพิษ ที่อยู่ในอุ้งมือของฮ่องเต้น้อยอย่างจ้าวสี่! เมื่อลืมตาตื่นมาอีกครั้ง ก็พบว่าได้ย้อนกลับมาช่วงชีวิตวัยสิบสามปี ก่อนมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในราชสำนัก ‘เหตุใดจ้าวสี่จึงมอบความตายให้นาง?’…แม้โอกาสในการมีชีวิตอาจทำให้ไขปริศนานี้ได้ แต่นางขอเลือกเดินในเส้นทางใหม่ ไม่เข้าไปข้องเกี่ยวกับตระกูลจ้าว ไม่สนใจการผลัดเปลี่ยนแผ่นดิน นางขอเพียงมีชีวิตครอบครัวเล็กๆ กับสามีที่วางใจได้ และลูกที่แสนน่ารักทว่า เมื่อนางได้นำพบกับ หลี่เชียน แม่ทัพหนุ่มที่นางเคยรู้สึกเกลียดทุกคราที่พบหน้า ชีวิตและความรักของนางจึงกำลังจะพบกับจุดเปลี่ยนอีกครั้ง… หรือ ‘โชคชะตา’ จะนำพาให้เกิดเรื่องราวและวังวนที่ไม่เหมือนเดิม!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset