มู่หนานจือ – บทที่ 30 พบกันอีกครั้ง

“วันหลังแล้วกัน!” เฉาเซวียนไม่ค่อยชอบคบหากับพวกคนที่ประพฤติตนไม่ค่อยมีศีลธรรม

“งั้นวันนี้พวกเรากินข้าวด้วยกันเป็นอย่างไร?” หลี่เชียนเอ่ย “หาเพื่อนที่เจ้ารู้สึกว่าไม่เลวอีกสักสองสามคน…”

ทั้งสองคนค่อยๆ เดินห่างออกไป

แต่เจียงเซี่ยนกลับกำลังคุยเรื่องในใจกับไป๋ซู่ “เจ้ายังอยากแต่งงานกับเฉาเซวียนหรือไม่?”

ไป๋ซู่เอ่ยทั้งหน้าแดงว่า “ไม่ใช่ว่าข้าอยากแต่งงานกับเฉาเซวียน แล้วเจ้าต้องจับคู่พวกเราให้ได้เสียหน่อย ทำไมตอนนี้มาบอกว่าเป็นความคิดของข้าอีกล่ะ?”

สุดท้ายก็ไม่ได้ปฏิเสธอย่างจริงจัง

งั้นก็แบบนี้แล้วกัน!

เจียงเซี่ยนเอ่ยในใจ

ชีวิตคนสั้นเพียงไม่กี่สิบปี ยากจะที่มีช่วงเวลาที่ความสุขได้ ยากที่จะมีช่วงเวลาที่ชอบได้ ตนเองรู้สึกคุ้มก็พอแล้ว

สองวันต่อมา หวังจ้านก็ให้คนส่งจดหมายมาแต่เช้า บอกว่าเขาไปกินอาหารเจเป็นเพื่อนแม่ที่วัดหงหลัวตรงชานเมือง อีกหลายวันกว่าจะกลับเมืองหลวง

เจียงเซี่ยนสงสัยว่าหวังจ้านกับมารดาของเขาถูกหวังเหยียนชินเอินป๋อส่งไปหลบภัยที่ไหนแล้ว…ตอนที่เฉาไทเฮาถูกล้อมนั้น นางก็ถูกไทฮองไทเฮากักตัวคัดคัมภีร์อยู่ในห้องอุ่นตะวันออกตลอด

ตอนบ่าย จ้าวอี้มาแล้ว

เขายังเอาไข่มุกเหอผู่สองกล่อง น้ำหอมกุหลาบสองขวด น้ำหอมหอมหมื่นลี้สองขวด ผ้าไหมทอลายก้อนเมฆสี่พับ และผ้าไหมย้อมสีสี่พับมาด้วย บอกว่าให้เจียงเซี่ยนกับไป๋ซู่ “จะเปลี่ยนฤดูแล้ว ใส่เครื่องประดับหลายชิ้น และใช้น้ำหอมได้พอดี”

ไทฮองไทเฮายิ้มอย่างสบายใจ และชมว่าจ้าวอี้คิดละเอียดรอบคอบไม่หยุด

จ้าวอี้หัวเราะเล็กน้อย และถามเจียงเซี่ยน “ขนมถั่วแดงที่เฉาเซวียนส่งมาอร่อยหรือไม่?”

ในใจของเจียงเซี่ยนชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยไปว่า “ไม่รู้” “ไม่ได้กิน! ให้คนอื่นไปแล้ว!”

จ้าวอี้ยิ้มอย่างดีใจมากขึ้น

ไทฮองไทเฮารั้งจ้าวอี้ไว้เล่นไพ่

จ้าวอี้ปฏิเสธทางอ้อม “เสด็จแม่ตัดสินใจไปฉลองวันเกิดที่ภูเขาวั่นโซ่วแล้ว ตอนบ่ายกระหม่อมอยากไปดูสักหน่อยว่าขันทีพวกนั้นจัดการไปถึงไหนแล้ว?”

ไม่ใช่หญิงรับใช้เสียหน่อย ยังต้องไปดูด้วยตนเองอีก

ฮ่องเต้ดีๆ คนหนึ่ง ถูกคนแซ่เฉาเลี้ยงจนกลายเป็นแบบนี้

เจียงเซี่ยนพึมพำในใจ และยิ้มพลางส่งจ้าวอี้ออกไปข้างนอก

หน้าประตูวังฉือหนิง พวกเขาเจอหลี่เชียนอยู่ตรงหน้า

หลี่เชียนสีหน้าเต็มไปด้วยความแปลกใจ และเข้ามาคำนับคารวะจ้าวอี้ด้วยรอยยิ้มสดใส

จ้าวอี้ยากที่จะปิดบังความแปลกใจได้ ทว่ายังคงวางท่าฮ่องเต้และเรียกให้เขา “ลุกขึ้นได้” อย่างนุ่มนวล และถามเขาอย่างให้เกียรติ “เจ้ายังไม่กลับไปรับใช้วังคุนหนิงอีกหรือ?”

“ทูลฝ่าบาท” หลี่เชียนเอ่ยอย่างนอบน้อมและไม่ขาดการถ่อมตัวว่า “เดิมทีเมื่อวานก็ไม่ต้องมาแล้ว สองวันนี้เดี๋ยวหนาวเดี๋ยวร้อน จึงมีเพื่อนองครักษ์หลายคนในหน่วยป่วย กำลังคนเหมือนไม่พอ จึงให้กระหม่อมอยู่ต่ออีกหลายวันพ่ะย่ะค่ะ” แล้วเอ่ยอย่างจิตใจเต็มไปด้วยความใส่ใจว่า “ฝ่าบาทออกไปข้างนอกก็น่าจะระวังมากขึ้นเหมือนกันนะพ่ะย่ะค่ะ”

ทีนี้จ้าวอี้ก็อดที่จะเผยสีหน้าแปลกๆ ออกมาเล็กน้อยไม่ได้

เขาเติบโตอยู่ในเงาของเฉาไทเฮาตั้งแต่เด็ก มีคนที่ไม่สนใจและเมินเขา มีคนที่ใช้เล่ห์เหลี่ยมหาผลประโยชน์ให้ตัวและประจบเขา แล้วก็ยังมีคนที่รังแกเขาเรื่องอายุและหลอกให้เขามอบรางวัลในราชสำนักให้ ทว่ายังไม่มีใครคุยกับเขาเหมือนเป็นเพื่อนเช่นหลี่เชียนเลย

               ไม่ว่าคนแซ่หลี่นี้มีจุดประสงค์อะไร แค่ความกล้านี้ก็เป็นคนที่มีความสามารถคนหนึ่งแล้ว

และช่วงนี้เขาก็ต้องการคนมากพอดี

จ้าวอี้หดเท้าที่ก้าวไปครึ่งก้าวกลับมา และเอ่ยด้วยรอยยิ้มอย่างสนิทสนมว่า “ได้ยินว่าเจ้าติดตามพ่อเจ้าเข้าเมืองหลวง? วันเกิดของไทเฮายังอีกหลายวัน หลายวันนี้พ่อเจ้าทำอะไรอยู่หรือ?”

หลี่เชียนยิ้มและตอบว่า “บิดาของกระหม่อมชอบเหล้ารสดีที่สุด หลังจากมาเมืองหลวงก็ไปกินดื่มที่โรงเตี๊ยมทุกวัน บอกว่าต้องชิมเหล้าของเมืองหลวงให้หมด เมื่อคืนยังดื่มถึงดึกดื่นเที่ยงคืนถึงจะกลับมาเลยพ่ะย่ะค่ะ!”

จ้าวอี้เอ่ยอย่างสนใจมากว่า “เช่นนั้นหรือ? เมื่อวานใต้เท้าหลี่ไปดื่มเหล้ากับใคร? ดื่มที่ไหนล่ะ?”

หลี่เชียนเอ่ยด้วยรอยยิ้มอย่างไม่รู้ว่าอะไรควรไม่ควรว่า “น่าจะกับราชเลขาธิการเหยียนกระมัง? เขากลับมาก็ตวาดด่ากระหม่อมไปรอบหนึ่ง บอกว่ากระหม่อมไม่ยอมตั้งใจเรียนหนังสือ คิดแต่จะอาศัยความดีความชอบของคนรุ่นก่อนกินไปวันๆ แถมยังจะส่งกระหม่อมกลับฝูเจี้ยนให้กลับไปเรียนหนังสือที่สำนักฝูโจวให้ได้ หากสอบไม่ได้จวี่เหริน[1]หรือจิ้นซื่อ[2] ก็อย่าได้คิดจะเอาเงินค่าขนมจากในมือเขาไปใช้อีก…”

เขาพูดอย่างน้อยใจ

หลี่เชียนเปิดเผยกับจ้าวอี้อย่างตรงไปตรงมาว่าพวกเขาถูกฮองไทเฮาเรียกเข้าวังมา แล้วก็บอกจ้าวอี้อีกว่า อันที่จริงพวกราชเลขาธิการเหยียนดูถูกตระกูลหลี่มาก บิดาของเขาถูกรังแกที่จวนของราชเลขาธิการเหยียน แถมยังพาลโกรธมาถึงเขาด้วย จริงๆ แล้วคนของตระกูลหลี่โกรธแค้นมาก แต่ก็เพราะราชเลขาธิการเหยียนเป็นคนของเฉาไทเฮาจึงไม่อาจทำอะไรได้

จ้าวอี้พลันคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ ทว่าปากกลับเอ่ยว่า “ที่แท้พ่อเจ้าอยากให้เจ้าสอบเข้ามาเป็นขุนนางหรือ! เช่นนั้นเจ้าชอบหรือไม่?”

ทั้งสองคนพูดคุยกันถูกคอมาก

แต่เจียงเซี่ยนกลับหน้าตาหมองลง

ใต้หล้ามีเรื่องบังเอิญขนาดนี้ที่ไหนกัน ทำไมพอจ้าวอี้มาวังฉือหนิง หลี่เชียนก็มาเจอแล้ว

เขาเห็นคนอื่นเป็นคนโง่หมดหรือ?

ชาติก่อนเขาก็รอดพ้นจากอันตรายแบบนี้งั้นหรือ?

เจียงเซี่ยนหัวเราะเยาะในใจ และส่งจ้าวอี้จากไป

หลี่เชียนวิ่งมาอยู่ตรงหน้านางเหมือนวันนั้น และทักทายนางด้วยสีหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม “ท่านหญิงเจียหนาน บังเอิญมากเลย! คิดไม่ถึงว่าพวกเราจะเจอกัน สองวันนี้ทำไมไม่เห็นซื่อจื่อชินเอินกงเข้าวังเลย? หลังจากที่เคยเจอกันครั้งที่แล้ว พวกเรายังไปดื่มเหล้าด้วยกันด้วย เขาคอแข็งใช้ได้เลยจริงๆ ข้ายังมีเรื่องอยากขอร้องเขา! เสียดายที่หลายวันนี้ต้องมาเข้าเวรในวังทุกวัน จึงไม่มีเวลาไปหาเขา…”

เจียงเซี่ยนไม่สนใจเขาด้วยซ้ำ

คนๆ นี้หน้าด้านมาก ขอเพียงเจ้าตอบไป เขาก็สามารถพูดกับตนเองต่อไปคนเดียวได้ โดยไม่สนว่าเจ้าจะฟังหรือไม่ แต่เขาต้องพูดให้จบให้ได้

น่าเสียดายที่ไป๋ซู่ไม่รู้

และรู้สึกว่ายากมากที่จะได้เจอคนที่สดใสร่าเริง แล้วก็คุยสนุกเหมือนหลี่เชียน

นางยิ้มและเอ่ยว่า “เจ้าหาซื่อจื่อชินเอินป๋อมีธุระอะไรหรือ? หลายวันนี้เขาไม่เข้าวัง เจ้าจะหาก็ต้องไปหาเขาที่จวนของเขา”

“แบบนี้นี่เอง!” หลี่เชียนเอ่ยด้วยรอยยิ้ม บนหน้าเผยความลำบากใจออกมาเล็กน้อย แล้วเอ่ยว่า “ความจริงแล้วข้าอยากขอให้ซื่อจื่อชินเอินป๋ออกหน้าช่วยข้าเรื่องหนึ่ง?” เขาพูดอยู่ก็ยิ้มอย่างเกรงใจ และเอ่ยว่า “แต่ว่า…หากท่านหญิงยอม ท่านหญิงช่วยข้าออกหน้าก็เหมือนกัน…”

“ท่านหญิง?” ไป๋ซู่มองไปทางเจียงเซี่ยนอย่างงุนงง

เจียงเซี่ยนโกรธเป็นอย่างมาก

นางก็รู้ว่าคนๆ นี้เอ่ยปากก็ไม่ใช่เรื่องดี!

“หลายวันนี้ข้ามีธุระ เกรงว่าคงช่วยอะไรองครักษ์หลี่ไม่ได้” เจียงเซี่ยนเอ่ยอย่างเฉยเมย “ยิ่งกว่านั้นเรื่องที่ซื่อจื่อชินเอินป๋อทำได้ เฉิงเอินกงทำได้ดีกว่า แทนที่จะเจ้าจะไปหาซื่อจื่อชินเอินป๋อสู้ไปหาเฉิงเอินกงดีกว่า”

นางมองไป๋ซู่ครั้งหนึ่ง ส่งสัญญาณให้ไป๋ซู่ไม่ต้องสนใจเขา และกลับวังไป

ไป๋ซู่ลังเลอยู่ชั่วครู่

หลี่เชียนก็เอ่ยแล้วว่า “ท่านหญิง คือแบบนี้ขอรับ หลายวันก่อนข้าเป็นแขกที่จวนเฉิงเอินกง เด็กรับใช้ของซื่อจื่อซินเซียงโหวไม่ระวังทำชาหกใส่เสื้อคลุมของข้า เฉิงเอินกงเลยให้เสื้อคลุมตัวใหม่ที่เขาเองไม่เคยใส่แก่ข้า เสื้อคลุมตัวนั้นเป็นนกยูงไหมทอง ว่ากันว่าเป็นของบรรณาการจากต่างแดน มีเงินก็ซื้อไม่ได้ ตอนนั้นข้าไม่รู้ ตอนกลางคืนดื่มหนักไป ตอนเช้าก็ตื่นเช้าเกินอีก แล้วก็รีบๆ ไม่ได้ดูให้ดี คว้าติดมือมาแล้วก็รีบมาเข้าเวรในวัง คิดไม่ถึงว่าจะถูกผู้บังคับบัญชาของข้าเห็นเข้า และจะยืมไปใส่สองวันให้ได้ ข้าปฏิเสธไม่ได้จึงยอมให้ ปรากฏว่าเมื่อวานซืนเขาคืนเสื้อคลุมให้ข้า บนเสื้อคลุมกลับไหม้เป็นรู เดิมทีข้าคิดว่าซื้อใหม่สักตัวก็ได้แล้ว ถึงได้รู้ว่าทั้งเมืองหลวงซื้อไม่ได้เลยสักตัว เพื่อนองครักษ์ที่เข้าเวรด้วยกันเสนอความคิดมาให้ข้าว่า ให้ข้าเอาไปปะชุนที่ฝ่ายซักล้าง แต่ฝ่ายซักล้างนี้ก็ไม่ใช่ว่าจะยอมรับทุกคน อย่างน้อยเพื่อนของข้าคนนั้นก็ถือว่ามาจากตระกูลที่มีความดีความชอบแล้วเช่นกัน คนของฝ่ายซักล้างก็ไม่สนใจ อย่างไรข้าก็ไม่อาจขอให้เฉิงเอินกงเอาไปปะชุนให้ข้าได้กระมัง? คนอื่นข้าก็ไม่ค่อยสนิท จึงอยากขอให้ซื่อจื่อชินเอินป๋อ…”

————————————-

[1] จวี่เหริน ตำแหน่งของผู้ที่สอบขุนนางระดับเซียงซื่อ ซึ่งเป็นระดับที่สามผ่าน

[2] จิ้นซื่อ ตำแหน่งของผู้ที่สอบขุนนางระดับเตี้ยนซื่อ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดผ่าน

มู่หนานจือ

มู่หนานจือ

แม้ เจียงเซี่ยน เป็นถึงสตรีผู้สูงศักดิ์ ทั้งยังได้แต่งงานกับ ‘จ้าวอี้’ ผู้เป็นฮ่องเต้ ทว่าเขามิเคยร่วมหออุ่นเตียงกันจนกระทั่งจากนางไป เมื่อนางต้องกลายเป็นไทเฮา จึงได้โอบอุ้ม ‘จ้าวสี่’ ลูกชายคนเดียวของจ้าวอี้ว่าราชการหลังม่าน ประคองราชวงศ์อย่างยากเข็ญ แต่แล้วนางกลับถูกฆ่าตายด้วยถ้วยยาพิษ ที่อยู่ในอุ้งมือของฮ่องเต้น้อยอย่างจ้าวสี่! เมื่อลืมตาตื่นมาอีกครั้ง ก็พบว่าได้ย้อนกลับมาช่วงชีวิตวัยสิบสามปี ก่อนมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในราชสำนัก ‘เหตุใดจ้าวสี่จึงมอบความตายให้นาง?’…แม้โอกาสในการมีชีวิตอาจทำให้ไขปริศนานี้ได้ แต่นางขอเลือกเดินในเส้นทางใหม่ ไม่เข้าไปข้องเกี่ยวกับตระกูลจ้าว ไม่สนใจการผลัดเปลี่ยนแผ่นดิน นางขอเพียงมีชีวิตครอบครัวเล็กๆ กับสามีที่วางใจได้ และลูกที่แสนน่ารักทว่า เมื่อนางได้นำพบกับ หลี่เชียน แม่ทัพหนุ่มที่นางเคยรู้สึกเกลียดทุกคราที่พบหน้า ชีวิตและความรักของนางจึงกำลังจะพบกับจุดเปลี่ยนอีกครั้ง… หรือ ‘โชคชะตา’ จะนำพาให้เกิดเรื่องราวและวังวนที่ไม่เหมือนเดิม!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset