มู่หนานจือ – บทที่ 32 ค่อยๆ ลึก

วันรุ่งขี้น อีกหนึ่งเค่อ[1]จะถึงยามซื่อ[2] เจียงเซี่ยนก็ปรากฏตัวหน้าประตูเสินอู่

นางสวมเสื้อคลุมยาวผ้าหังต้วน[3]สีแดงและขาวกลางเก่ากลางใหม่ กระโปรงแปดจีบซึ่งชายชุดกระโปรงปักลายดอกเหมย ดอกกล้วยไม้ และต้นไผ่สีเขียวเหมือนหญ้า เส้นผมดำสนิทเกล้าเป็นมวยสองข้าง สวมดอกไม้ประดิษฐ์จากผ้าสักหลาดสีชมพูข้างละดอก หูเป็นต่างหูกานพลูเงินและทอง บนข้อมือเป็นกำไลเงินอันเล็ก และยังถือห่อผ้าสักหลาดสีน้ำเงินเข้มไว้ในมือห่อหนึ่งด้วย มองแวบเดียวดูเหมือนนางในที่ออกจากวังไปซื้อของ แต่คางที่เชิดขึ้นเล็กน้อย ท่าทางที่ตรง สง่างามราวกับต้นสน และฝีเท้าที่ว่องไวทว่ากลับไม่เสียความมั่นคงไปนั้น มองอย่างไรก็สุขุมและเย่อหยิ่ง ไม่มีท่าทีรับใช้คนแม้แต่นิดเดียว

หลี่เชียนทนไม่ไหว จึงหัวเราะออกมา

ท่านหญิงเจียหนานผู้นี้ คนอื่นสวมชุดพิธีการของฮ่องเต้ไม่เหมือนองค์รัชทายาท นางเกล้ามวยสองข้างก็ไม่เหมือนสาวใช้เช่นกัน

องครักษ์ที่เข้าเวรประตูเสินอู่รับป้ายคำสั่งในมือของนางไปดูแล้วดูอีก ก็เผยสีหน้าลำบากใจออกมาอย่างห้ามไม่อยู่

เขาอดที่จะถอนหายใจไม่ได้ และรีบลงจากรถม้าอย่างรวดเร็ว

“พี่หยาง พี่หยาง” หลี่เชียนเรียกเสียงดังไปตลอดทาง “น้องสาวบุญธรรมร่วมสาบานในวังของข้าเอง” เขาเดินไปถึงตรงหน้าองครักษ์ และกดเสียงให้เบาลง พลางถือโอกาสยัดถุงเงินไป “นางเป็นคนเมืองหลวง แม่ของนางป่วยหนักอยู่ที่บ้าน ขอลากับกองพระราชสำนักแล้ว บังเอิญเมื่อวานข้ากลับไปเจอพอดี นางจึงขอให้ข้าพานางไปสักครั้ง พี่ชายก็หยวนๆ ให้หน่อยเถอะ”

องครักษ์ที่สกุลหยางมองเจียงเซี่ยนที่หน้าตาเคร่งขรึม แล้วก็มองหลี่เชียนที่ยิ้มอย่างอบอุ่น แล้วคืนป้ายคำสั่งให้เจียงเซี่ยน แล้วเอ่ยอย่างแข็งนอกอ่อนในว่า “พวกเจ้าอย่าก่อเรื่องอะไรขึ้นมา ถึงเวลานั้นข้ารับผิดชอบไม่ไหว”

“จะเป็นไปได้อย่างไรกันเล่า?” หลี่เชียนใช้ศอกดันองครักษ์ที่สกุลหยางอย่างสนิทสนม และเอ่ยอย่างคลุมเครือว่า “ท่านวางใจเถอะ จะไม่ทำพี่น้องอย่างท่านลำบากใจอย่างแน่นอน! ไว้วันมะรืนไปดื่มเหล้ากัน”

“ดื่มเหล้าน่ะไม่ต้องแล้ว” องครักษ์สกุลหยางเอ่ย “เจ้าอย่าก่อเรื่องขึ้นมาก็พอแล้ว!” สีหน้าผ่อนคลายลงไม่น้อย

หลี่เชียนคุยกับเขาอย่างอารมณ์ดีอีกเล็กน้อยถึงบอกลา และพาเจียงเซี่ยนไปที่รถม้าของเขา

เจียงเซี่ยนรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย

หลี่เชียนผู้นี้คุยได้กับทุกคนจริงๆ

ราวกับหลี่เชียนรู้ว่านางกำลังคิดอะไรอยู่ จึงหัวเราะเบาๆ พลางอธิบายกับนางว่า “เพราะวันนี้ต้องออกจากวังกับท่าน กลัวว่าจะมีปัญหา จึงทำความรู้จักกับองครักษ์ที่เฝ้าประตูวังวันนี้ไว้ล่วงหน้าแล้ว”

เจียงเซี่ยนไม่เอ่ยสิ่งใด นางรู้สึกไม่ค่อยสบายใจ

ตอนที่นางเป็นฮองเฮาก็พบแล้วว่าท้องพระคลังว่างเปล่า เหล่าขันทีอาวุโสก็ขูดรีดกันชั้นแล้วชั้นเล่า ขันทีและนางในใช้ชีวิตอย่างลำบาก ตอนที่ในท้องพระคลังมีของหายไป นางปราบไปหลายครั้งก็ไม่ได้ผล

ตอนนั้นก็แลดูวุ่นวายแล้ว เพียงแต่นางไม่อยากยอมรับเท่านั้นเอง

เจียงเซี่ยนยังอยู่ห่างจากรถม้าอีกหนึ่งธนู[4] ก็มีเด็กสาวอายุสิบสองสิบสามปีกระโดดลงมาจากรถม้าของหลี่เชียน

หลังจากนางยกบันไดลงมาจากรถม้าก็เข้ามาหาตรงหน้าด้วยสีหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม และย่อตัวคารวะพลางเรียก “แม่นาง” แล้วยื่นมือมาจะประคองเจียงเซี่ยนขึ้นรถม้า

ชาติก่อนเจียงเซี่ยนก็รู้ว่าหากหลี่เชียนยอมก็สามารถกลายเป็นคนที่เอาใส่ใจ รอบคอบ ละเอียด และอดทนได้

นางเกาะเด็กสาวขึ้นรถม้า

เด็กสาวประคองให้นางนั่งลง และแนะนำตนเองด้วยรอยยิ้ม “ข้าชื่อเซียงเอ๋อร์ รับใช้อยู่ในบ้านของคุณชายตั้งแต่เด็ก บนรถมีชาต้าหงเผา ชาปี้หลัวชุน ชาเหล่าจวินเหมย และถ้วยชงชา แม่นางจะดื่มชาอะไร? หากไม่ชอบดื่มชา ยังมีน้ำกุหลาบ น้ำซิ่งเหริน ขนมถั่วแดง และขนมฝูหลิง”

นางหน้าตาสะสวย เปิดเผยผิวเล็กน้อย รอยยิ้มสดใส เสียงดังกังวาน มือไม้ก็คล่องแคล่วมากเช่นกัน นางสวมเสื้อคลุมยาวสีน้ำเงินพิมพ์ลายดอกสายน้ำผึ้งสีขาวทรงกลม ดูท่าทางคล่องแคล่ว

สาวใช้คนนี้เลือกมาได้ไม่เลวเลยทีเดียว

น่าจะเพราะชายหญิงต้องรักษาระยะห่างระหว่างกัน จึงตั้งใจพามารับใช้นางโดยเฉพาะ

เจียงเซี่ยนเอ่ย “ถ้าอย่างนั้นก็เหล่าจวินเหมยแล้วกัน!”

เซียงเอ๋อร์ขานรับอย่างดีใจ “เจ้าค่ะ”

หลี่เชียนขึ้นรถม้าแล้ว

รถม้าเริ่มเคลื่อนที่

หลี่เชียนเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “หากแม่นางมีอะไรไม่สะดวก ก็สั่งเซียงเอ๋อร์ได้”

เจียงเซี่ยนยิ้มเล็กน้อย และเอ่ยว่า “ข้าอยากหาสถานที่คุยกับเจ้าสักหน่อย”

หลี่เชียนคิดแล้วก็สั่งให้รถม้าไปทางตรอกหลัวถง

เจียงเซี่ยนเงียบ และนั่งอยู่ในรถม้าอย่างเรียบร้อย

แสงแดดข้างนอกส่องผ่านม่านหน้าต่างไหมสีเขียวขจีของรถม้าเข้ามา ใบหน้าของนางขาวราวกับกองหิมะในแสงสลัว

หลี่เชียนรู้สึกอึดอัด อยากพูดอะไรบางอย่าง หางตาปรายไปเห็นเซียงเอ๋อร์ที่นั่งขดตัวอยู่ท้ายรถ สุดท้ายจึงยังไม่เอ่ยอะไรทั้งนั้น

ทั้งสองเงียบตลอดทาง

จนกระทั่งลงมาจากรถ เจียงเซี่ยนถึงพบว่าที่นี่คือสวนดอกไม้หลังบ้านของบ้านหลังหนึ่ง ต้นหญ้าและต้นไม้เจริญงอกงาม บดบังแสงจากพระอาทิตย์ รอบด้านเงียบสงัดและไม่ได้ยินเสียงรอบข้างแม้แต่น้อย

หลี่เชียนพานางผ่านทางเดินแคบเข้าไปในอุโมงค์ประตูทรงกลมดุจพระจันทร์

ข้างอุโมงค์ประตูทรงกลมนั้นปลูกต้นดอกหอมหมื่นลี้ แม้จะเลยเวลาที่ดอกไม้ผลิบานไปแล้ว แต่ต้นไม้กลับยังคงเขียวชอุ่มและเจริญงอกงามเช่นเดิม

เดินต่อไปอีกเป็นเรือนหมิงขนาดสามห้องที่หน้าต่างเล็กๆ ทาสีแดงและเขียว

ในเรือนหมิงไม่มีคนรับใช้

ทั้งสองคนนั่งลงในเรือนหมิง หลี่เชียนถามนาง “ชาเหล่าจวินเหมยเหมือนเดิมหรือ?”

เจียงเซี่ยนพยักหน้า

หลี่เชียนลุกขึ้นไปชงชาและเอ่ยว่า “ท่านออกมาคนเดียว ไม่เป็นไรหรือ?”

“ไม่เป็นไร” เจียงเซี่ยนเอ่ยอย่างเฉยชา “เรื่องในวังมอบให้ท่านหญิงชิงฮุ่ยหมดแล้ว”

ดูเหมือนท่านหญิงชิงฮุ่ยเป็นหนึ่งในคนที่ท่านหญิงเจียหนานไว้ใจที่สุด

หลี่เชียนจดจำไว้ในใจ แล้วยกชามาวางตรงหน้าเจียงเซี่ยน

เจียงเซี่ยนค่อยๆ ดื่มสองสามอึกแล้วเอ่ยว่า “ฝ่ายซักล้างนั้น ข้าคิดว่าพวกเราไม่ต้องไปแล้ว เสียเวลาเกินไป หากเจ้ามีเสื้อคลุมนกยูงไหมทองที่ต้องเอาไปปะชุนจริง ที่ข้ามีป้ายคำสั่งอยู่อันหนึ่ง เจ้าสั่งให้ใครเอาไปก็ได้ คิดว่าอย่างไรหลิวชิงหมิงก็ต้องไว้หน้าอย่างแน่นอน ส่วนข้านั้น จริงๆ แล้วที่ตามเจ้าออกมาเพราะมีเรื่องหนึ่งอยากให้เจ้าช่วย”

หลี่เชียนคิดว่าคนที่เรียกว่าเพื่อนต้องเคยทำเรื่องชั่วด้วยกัน เคยเห็นด้านที่แย่ที่สุดของทั้งสองฝ่ายและยังสามารถช่วยเหลือกันได้

แน่นอนว่าเขารีบตอบตกลง “ท่านหญิงสั่งมาได้เลย ขอเพียงข้าสามารถช่วยเหลือได้ ตายหมื่นครั้งก็ไม่ปฏิเสธ”

ตายหมื่นครั้งก็ไม่ปฏิเสธเสียด้วย!

เกรงว่าพอเขารู้ความจริงแล้วตอนหลังจะเสียใจเจียนตาย

เจียงเซี่ยนเม้มปากยิ้ม และเอ่ยว่า “เจ้าคุ้นเคยกับพื้นที่ของเมืองหลวงหรือไม่?”

“ไม่ค่อยคุ้นขอรับ” หลี่เชียนไม่รู้ว่าทำไมนางถึงถามเช่นนี้ ทว่าหากนางถามก็ต้องเกี่ยวข้องกับเรื่องที่นางจะขอร้องอย่างแน่นอน เขาครุ่นคิด สุดท้ายก็ยังตัดสินใจพูดความจริง

“ตรอกใต้เท้าเจิ้ง เคยได้ยินหรือไม่?” เจียงเซี่ยนรู้ว่าเขาจะต้องตกปากรับคำอย่างแน่นอน

เขาคนนี้มีปณิธานอันแรงกล้าที่จะมุ่งไปข้างหน้าอย่างกล้าหาญและไร้ความเกรงกลัว ถึงตอนที่นางถามเขา เขาจะไม่รู้ ตอนที่นางจะไป เขาก็จะคิดหาทางสอบถามให้ได้ว่าไปอย่างไร

“รู้จักขอรับ” หลี่เชียนเอ่ยอย่างไม่ลังเลแม้แต่นิดเดียวอย่างที่คิดจริงๆ “เหมือนจะอยู่ใกล้ตรอกใต้เท้าสื่อ ห่างจากที่ทำการของทั้งหกกรมหนึ่งตรอก อยู่ข้างถนนหงส์แดง”

เจียงเซี่ยนกะพริบตา

คนๆ นี้ไม่รู้จริงๆ ด้วย

ความจริงแล้วตรอกใต้เท้าเจิ้งอยู่ใกล้กับตรอกใต้เท้าสื่อมากจริงๆ ทว่ามันใกล้กับวัดว่านหยวนมากกว่า อยู่หลังประตูวัดของวัดว่านหยวน หากเขารู้จริง ก็คงไม่เอ่ยว่าอยู่ข้างตรอกใต้เท้าสื่อ แต่จะเอ่ยว่าอยู่ประตูหลังของวัดว่านหยวนแทน

“ในวังมีนางในระดับสี่คนหนึ่งอาศัยอยู่ที่นั่น” เจียงเซี่ยนพึมพำ “ข้าอยากรู้สถานการณ์ทางฝั่งนาง แต่ก็ไม่อยากให้ใครรู้ว่าข้ากำลังสืบเรื่องนางอยู่…เจ้ามีวิธีอะไรหรือไม่?”

ในวังหลัง ระดับสี่ก็กุมอำนาจในการจัดสรรคนอันดับต้นๆ แล้ว

ขันทีที่เก่งที่สุดในเวลานี้ก็เพียงแค่ระดับสอง แถมยังได้รับการแต่งตั้งหลังจากเสียชีวิต ตลอดหลายปีนี้ราชวงศ์จ้าวก็มีเพียงคนเดียวเท่านั้น

———————————–

[1] 15 นาที

[2] เวลา 09:00-10:59

[3] ผ้าหังต้วน ผ้าไหมที่เนื้อผ้าค่อนข้างหนา เรียบ และมันวาว ผลิตที่เมืองหังโจว

[4] หนึ่งธนู หมายถึง ระยะที่ลูกธนูดอกหนึ่งสามารถยิงถึงได้ ประมาณ 120-150 ก้าว

มู่หนานจือ

มู่หนานจือ

แม้ เจียงเซี่ยน เป็นถึงสตรีผู้สูงศักดิ์ ทั้งยังได้แต่งงานกับ ‘จ้าวอี้’ ผู้เป็นฮ่องเต้ ทว่าเขามิเคยร่วมหออุ่นเตียงกันจนกระทั่งจากนางไป เมื่อนางต้องกลายเป็นไทเฮา จึงได้โอบอุ้ม ‘จ้าวสี่’ ลูกชายคนเดียวของจ้าวอี้ว่าราชการหลังม่าน ประคองราชวงศ์อย่างยากเข็ญ แต่แล้วนางกลับถูกฆ่าตายด้วยถ้วยยาพิษ ที่อยู่ในอุ้งมือของฮ่องเต้น้อยอย่างจ้าวสี่! เมื่อลืมตาตื่นมาอีกครั้ง ก็พบว่าได้ย้อนกลับมาช่วงชีวิตวัยสิบสามปี ก่อนมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในราชสำนัก ‘เหตุใดจ้าวสี่จึงมอบความตายให้นาง?’…แม้โอกาสในการมีชีวิตอาจทำให้ไขปริศนานี้ได้ แต่นางขอเลือกเดินในเส้นทางใหม่ ไม่เข้าไปข้องเกี่ยวกับตระกูลจ้าว ไม่สนใจการผลัดเปลี่ยนแผ่นดิน นางขอเพียงมีชีวิตครอบครัวเล็กๆ กับสามีที่วางใจได้ และลูกที่แสนน่ารักทว่า เมื่อนางได้นำพบกับ หลี่เชียน แม่ทัพหนุ่มที่นางเคยรู้สึกเกลียดทุกคราที่พบหน้า ชีวิตและความรักของนางจึงกำลังจะพบกับจุดเปลี่ยนอีกครั้ง… หรือ ‘โชคชะตา’ จะนำพาให้เกิดเรื่องราวและวังวนที่ไม่เหมือนเดิม!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset