มู่หนานจือ – บทที่ 33 เตรียมตัว

สายตาที่หลี่เชียนมองเจียงเซี่ยนเริ่มมีความลุ่มลึกขึ้นมาเล็กน้อยแล้วจริงๆ

แต่เจียงเซี่ยนก็เหมือนไม่รู้สึกถึงความแตกต่างของหลี่เชียน นางนั่งอย่างเรียบร้อยอยู่ตรงนั้น ผิวพรรณละเอียดเกลี้ยงเกลา สายตาใสแจ๋ว สีหน้าสุขุมเยือกเย็น น่าเกรงขามและน่าเคารพ

หลี่เชียนมองอยู่ ความคิดก็เบนไปที่เรื่องอื่นทันที

นางอายุน้อยขนาดนี้ก็แสดงพลังออกมาเช่นนี้ พอร่างกายของนางเติบโตมากขึ้นแล้ว ไม่รู้จะหน้าตาเป็นอย่างไร

โดยเฉพาะอย่างยิ่งจมูกที่สูงโด่งและสวยงามของนางนั้น ทำให้ใบหน้าที่เดิมทีเพียงแค่สวยงามของนางกลายเป็นฉายความสง่าผ่าเผยออกมาเล็กน้อย และหน้าตาที่ธรรมดาก็กลายเป็นหน้าตาดีมากแล้ว

ไม่รู้ว่าจมูกนี้เหมือนใคร?

จ้าวอี้?

จมูกของเขาก็โด่งเหมือนกัน ทว่าเพียงแค่สวยงาม

ไทฮองไทเฮา?

ถึงแม้เวลาจะล่วงเลยไปแล้ว แต่ก็มองความสวยออก

จมูกของหวังจ้านเหมือนไทฮองไทเฮา

งั้นก็เหมือนคนของตระกูลเจียงแล้ว

น่าเสียดายครั้งที่แล้วตอนที่เจอเจิ้นกั๋วกงไม่ได้ตั้งใจมอง เจียงลวี่ก็ไม่รู้ว่าไปไหนเสียแล้ว…

เขาเหม่อลอยอยู่ตรงนั้น แต่เจียงเซี่ยนกลับสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย นางโกรธเป็นอย่างมาก

นางคิดถึงชาติก่อนทุกครั้งที่ตนเองปรึกษาเรื่องใหญ่ในราชสำนักกับเขา เขาก็วางท่าแบบนี้…ไม่พูดอะไรนานมาก พอพูดออกมาก็เป็นเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับหัวข้อสนทนา แล้วถึงจะอ้อมไปยังหัวข้อสนทนาที่จะพูดอีกครั้ง เขาก็พูดจานอกเรื่องไปหมด ทั้งสองคนจำเป็นต้องปรึกษาและตัดสินใจกันใหม่อีกครั้ง สุดท้ายก็ถูกเขาปรับเปลี่ยนจนต่างจากเดิมอย่างสิ้นเชิง และไม่เหมือนกับความคิดของนาง

เขาคงจะนิสัยเสียแบบนี้ตั้งแต่เด็กแล้ว!

เมื่อก่อนนางอดทนเพื่อแคว้น แล้วทำไมเวลานี้นางต้องอดทนด้วย?

ถ้วยชาของเจียงเซี่ยนกระแทกลงบนโต๊ะชาเสียงดัง

นางลุกขึ้นยืนทันที และหยิบห่อผ้าสักหลาดข้างกายขึ้นมาเหมือนจะจากไป

“อย่า อย่า อย่า” หลี่เชียนได้สติกลับมา และก้าวเข้ามาขวางเจียงเซี่ยนอย่างรวดเร็ว พลางเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ทำไมท่านถึงนิสัยแย่แบบนี้? ข้าแค่กำลังคิดหาทาง ท่านก็จะไปแล้ว นางในระดับสี่ ไม่ใช่นางในของวังเฉียนชิงก็ต้องเป็นวังคุนหนิงหรือวังฉือหนิงแล้ว วังฉือหนิงนั้นไม่ใช่ว่าท่านเอ่ยเพียงแค่คำเดียวก็ทำได้ ส่วนวังเฉียนชิงหากท่านอยากไปสืบ นั่นก็ไม่ง่ายนัก เช่นนั้นก็เป็นคนของวังคุนหนิงแล้ว ทำให้ท่านลำบากเช่นนี้ ข้าเดาว่าน่าจะเป็นคนที่อยู่ข้างกายไทเฮา เรื่องนี้เดิมทีผู้หญิงก็ละเอียดกว่าผู้ชายอยู่แล้ว แตะเพียงนิดเดียวก็ส่งผลต่อสถานการณ์ทั้งหมด ข้ายังไม่เคยทำความรู้จักกับผู้หญิง อย่างไรก็รู้สึกว่าเรื่องนี้ต้องไตร่ตรองให้ถี่ถ้วน”

เจียงเซี่ยนมองเขา สายตาใสแจ๋ว สีหน้าจริงใจ นางรู้สึกว่าเขาไม่ได้โกหก จึงค่อยๆ นั่งลงอีกครั้ง

หลี่เชียนถอนหายใจอย่างโล่งอก

แต่พอถอนหายใจออกมา เขาก็เริ่มรู้สึกว่าตนเองผิดปกติเล็กน้อย

เขาอยากอาศัยท่านหญิงเจียหนานสืบเรื่องราวสักเล็กน้อย จึงอยากผูกมิตรกับนาง ทว่านั่นก็ควรจะเป็นความสัมพันธ์ที่เท่าเทียมกันหรือมองจากข้างบนลงมาข้างล่างถึงจะสามารถทำให้พวกเขาให้ความสำคัญกับเขาได้ เขาทำแบบนี้ต่อหน้านางแทบจะเป็นการประจบประแจง…จะให้ท่านหญิงเจียหนานได้เปรียบตั้งแต่ต้นได้อย่างไร ต่อไปยังจะพูดจากันดีๆ ได้หรือ!

หลี่เชียนหงุดหงิดเล็กน้อย

แต่เขาเป็นคนใจกว้างมาโดยตลอด และคิดว่าในเมื่อเรื่องราวเป็นเช่นนี้แล้ว ไปคิดมากอีกก็ไร้ประโยชน์เช่นกัน จึงจำเป็นต้องเตือนสติตนเอง และกู้สถานการณ์กลับมา

เขานั่งลงบนเก้าอี้ไท่ซือข้างเจียงเซี่ยน พอหันหน้าไปก็เห็นใบหน้าด้านข้างที่เค้าโครงสวยงามของเจียงเซี่ยน โดยเฉพาะอย่างยิ่งจมูกที่สวยเหมือนภูเขาที่ทอดตัวต่อกันนั้น หัวใจของเขาอุ่นวาบขึ้นมา อยากถามนางมากว่าจมูกนี้เหมือนใคร ทว่ายังดีที่เพิ่งจะเตือนตนเองไป พออ้าปากก็นึกถึงเรื่องเมื่อครู่ แล้วกลืนคำพูดนี้ลงไป…

หลี่เชียนตั้งสติ ดื่มชาไปสองสามอึก และเอ่ยว่า “ท่านหญิง รู้อะไรบ้างหรือ?”

เจียงเซี่ยนคิดว่าตนเองตอบเขาไปตามตรงแบบนี้ไม่ได้

ชาติก่อนเวลาที่หลี่เชียนคุยกับนางมักจะชอบอ้อมไปอ้อมมา ทุกครั้งที่นางนึกถึงก็โกรธเป็นอย่างมาก ทว่าพอนางใจเย็นลง นางก็จำเป็นต้องยอมรับว่าวิธีนี้ของเขานับว่าเยี่ยมยอด ทั้งสามารถหลอกล่อศัตรูได้ และยังสามารถควบคุมจังหวะและทิศทางในการพูดได้ด้วย

“ข้าว่าให้คนเอาเสื้อคลุมนกยูงไหมทองของเจ้าตัวนั้นไปปะชุนที่ฝ่ายซักล้างสักหน่อยดีกว่า” นางค่อยๆ เอ่ย “อย่าเห็นว่าข้าเดินออกมาจากประตูเสินอู่อย่างง่ายดายเช่นนี้และคิดว่าคนในวังโง่กันหมด เพียงแค่เวลาที่ทุกคนพูดมักจะต้องคิดทบทวนว่าคำนี้พูดออกไปแล้วเป็นผลดีกับตนเองหรือไม่ คนที่ล่วงเกินไปแล้วรับผิดชอบไหวหรือไม่ บางครั้งถึงจะเป็นการหลอกตนเองก็ต้องปิดหูปิดตาไว้ ไม่งั้นทั้งสองฝ่ายจะคบหากันได้อย่างไรล่ะ? เจ้าหาคนที่ความสูงใกล้เคียงกับข้าแต่งตัวเป็นข้าแบบนี้สักคน แล้วเอาป้ายคำสั่งของข้าไปฝ่ายซักล้างดีกว่า!”

หลี่เชียนรู้สึกว่าคำพูดของเจียงเซี่ยนน่าสนใจมาก เขาจึงเอ่ยอย่างสนใจมากว่า “ไม่คิดว่าในวังยังซับซ้อนเช่นนี้ด้วย ไม่แปลกที่ท่านกล้าออกจากวัง เช่นนั้นเคยถูกจับได้หรือไม่? ไทฮองไทเฮาไม่พิโรธหรือ? ท่านออกจากวังบ่อยหรือไม่? หากท่านหญิงชิงฮุ่ยถูกจับได้แล้ว จะมีปัญหาหรือไม่…”

เจ้าคนสารเลวนี่ เริ่มพูดจาเหลวไหลอีกแล้ว

จับได้หรือไม่เกี่ยวอะไรกับเขาด้วย?

เจียงเซี่ยนขี้เกียจที่จะสนใจเขา จึงคิดแต่จะขัดจังหวะเขา และเอ่ยว่า “เจ้ามีคนแบบนี้หรือไม่? หากไม่มี พวกเราคงต้องค่อยนัดเวลากันวันหลังแล้ว วันนี้ข้าต้องกลับไปก่อนยามโหย่ว[1]”

หลี่เชียนรีบจบการสนทนา และเรียกคนที่ชื่ออวิ๋นหลินเข้ามาจัดการเรื่องนี้

เจียงเซี่ยนเคยได้ยินเรื่องคนๆ นี้

หลังจากหลี่เชียนควบคุมภาคตะวันตกเฉียงเหนือ คนๆ นี้ก็เป็นแม่ทัพด่านจวีหย่ง และเป็นขุนนางคนสนิทของหลี่เชียน

นางอดที่จะสังเกตอวิ๋นหลินมากหน่อยไม่ได้

เป็นบุรุษที่หน้าตาหล่อเหลา รูปร่างปานกลางทว่ารูปร่างกลับผอมบาง ริมฝีปากหนาเล็กน้อย ดูเหมือนคนเงียบขรึม

เจียงเซี่ยนให้หลี่เชียนเรียกเซียงเอ๋อร์เข้ามา และเอ่ยว่า “ข้าจะเปลี่ยนเสื้อผ้า”

หลี่เชียนยังคงงงเล็กน้อย และโน้มน้าวนางทางอ้อมด้วยรอยยิ้ม “เสื้อผ้าชุดนี้ของท่านกำลังดี เดินออกไปก็ไม่สะดุดตา…”

เมื่อก่อนแม่นมฟางมักจะไปคารวะไทฮองไทเฮา เจียงเซี่ยนกลัวจะเจอคนที่อยู่ข้างกายคนสกุลฟางและถูกจำได้ จนแหวกหญ้าให้งูตื่น

นางมองหลี่เชียนอย่างเย็นชาครั้งหนึ่ง

บางทีกฎในวังอาจจะเข้มงวด

หลี่เชียนลูบคางอย่างไม่ค่อยสบายใจนัก พลางหาข้ออ้างให้เจียงเซี่ยน และเรียกเซียงเอ๋อร์เข้ามา

เซียงเอ๋อร์ปล่อยม่านของห้องตะวันออกของเรือนหมิง และช่วยเจียงเซี่ยนเปลี่ยนเสื้อผ้า

เครื่องประดับบนตัวเจียงเซี่ยนหายไปหมดแล้ว นางเปลี่ยนเป็นชุดผ้าดิ้นยาวเนื้อหยาบธรรมชาติปักลายนกกางเขนสีฟ้า บนศีรษะใช้ผ้าฝ้ายเนื้อละเอียดสีเดียวกันพันเอาไว้ นางก้มหน้าลงและเผยให้เห็นใบหน้าเพียงครึ่งล่างที่ขาวผุดผ่อง ปากซีดเหมือนดอกท้อ ราวกับภาพทิวทัศน์ในฤดูใบไม้ผลิ นึกไม่ถึงว่าจะเผยบรรยากาศสีชมพูของฤดูใบไม้ผลิออกมาได้มากถึงเพียงนี้

หลี่เชียนมองอยู่ก็อึ้งไป

เจียงเซี่ยนเห็นแล้วก็ครุ่นคิดเล็กน้อยอยู่ชั่วครู่ และอธิบายว่า “มีคนมากมายรู้จักข้า ข้าไม่รู้จักพวกเขา อย่างไรก็ระวังไว้หน่อยจะดีกว่า”

หลี่เชียนตอบด้วยรอยยิ้มว่า “ใช่” แล้วสูดหายใจลึก ปล่อยความรู้สึกนี้ไป

เจียงเซี่ยนถึงเอ่ยว่า “วันนี้ข้าต้องไปดูที่ตรอกใต้เท้าเจิ้งกับเจ้าสักหน่อย จะดีที่สุดหากเจออะไร ถ้าไม่เจออะไรเลยก็จำเป็นต้องรบกวนให้คนของเจ้าช่วยจับตาดูบ้านหลังนั้นทั้งวันทั้งคืน ไม่ว่ามีความเคลื่อนไหวอะไรก็ไปรายงานข้าจะดีที่สุด”

เดิมทีหลี่เชียนก็รู้สึกว่าสถานการณ์ในเมืองหลวงในเวลานี้ไม่ชัดเจนอยู่แล้ว บุ่มบ่ามไปใกล้ชิดข้างกายเฉาไทเฮาเช่นนี้ ก็รู้สึกไม่ค่อยสบายใจนัก ทว่าเขาอยากไปมาหาสู่กับเจียงเซี่ยนบ่อยๆ ก็ย่อมต้องรับปากอย่างอารมณ์ดีมาก จึงเอ่ยว่า “อยากสืบสถานการณ์ของเรือนด้านในหรือ?”

เจียงเซี่ยนพยักหน้า และเอ่ยว่า “เจ้ามีแผนการอะไรที่จะสามารถแอบเข้าไปในเรือนด้านในได้หรือไม่?”

นั่นก็ต้องวิชาตัวเบาดีพอ

ไม่ใช่ว่าข้างกายเขาไม่มีคนแบบนี้ แต่คนพวกนั้นเป็นหนึ่งในไพ่ตายของเขา เวลานี้เอาออกมาใช้แล้ว ต่อไปจะทำอย่างไร?

หลี่เชียนลังเลอยู่ชั่วครู่ แล้วถามเจียงเซี่ยน “ท่านอยากเข้าไปในเรือนด้านในหรือ?”

———————————–

[1] ยามโหย่ว = ช่วงเวลา 17.00-18.59 น.

มู่หนานจือ

มู่หนานจือ

แม้ เจียงเซี่ยน เป็นถึงสตรีผู้สูงศักดิ์ ทั้งยังได้แต่งงานกับ ‘จ้าวอี้’ ผู้เป็นฮ่องเต้ ทว่าเขามิเคยร่วมหออุ่นเตียงกันจนกระทั่งจากนางไป เมื่อนางต้องกลายเป็นไทเฮา จึงได้โอบอุ้ม ‘จ้าวสี่’ ลูกชายคนเดียวของจ้าวอี้ว่าราชการหลังม่าน ประคองราชวงศ์อย่างยากเข็ญ แต่แล้วนางกลับถูกฆ่าตายด้วยถ้วยยาพิษ ที่อยู่ในอุ้งมือของฮ่องเต้น้อยอย่างจ้าวสี่! เมื่อลืมตาตื่นมาอีกครั้ง ก็พบว่าได้ย้อนกลับมาช่วงชีวิตวัยสิบสามปี ก่อนมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในราชสำนัก ‘เหตุใดจ้าวสี่จึงมอบความตายให้นาง?’…แม้โอกาสในการมีชีวิตอาจทำให้ไขปริศนานี้ได้ แต่นางขอเลือกเดินในเส้นทางใหม่ ไม่เข้าไปข้องเกี่ยวกับตระกูลจ้าว ไม่สนใจการผลัดเปลี่ยนแผ่นดิน นางขอเพียงมีชีวิตครอบครัวเล็กๆ กับสามีที่วางใจได้ และลูกที่แสนน่ารักทว่า เมื่อนางได้นำพบกับ หลี่เชียน แม่ทัพหนุ่มที่นางเคยรู้สึกเกลียดทุกคราที่พบหน้า ชีวิตและความรักของนางจึงกำลังจะพบกับจุดเปลี่ยนอีกครั้ง… หรือ ‘โชคชะตา’ จะนำพาให้เกิดเรื่องราวและวังวนที่ไม่เหมือนเดิม!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset