มู่หนานจือ – บทที่ 48 เปิดโปง

บรรยากาศในห้องตึงเครียดทันที ไทฮองไทเฮาตีหน้าขรึม สีหน้าค่อยๆ เปลี่ยนเป็นจริงจังเล็กน้อย

คนรับใช้อย่างพวกเฉินเฟิ่งเงียบทันที พวกเขาเก็บของอย่างหวาดกลัวจนตัวสั่นงันงกและทยอยออกไปจากห้องอุ่นตะวันออก

มีนางในยกชากับของว่างเข้ามา

เจียงเซี่ยนรับไว้ในมือ แล้วส่งชาถ้วยหนึ่งให้ไทฮองไทเฮา และไปนั่งที่เตียงอุ่นหลังใหญ่ตรงข้ามกับไทฮองไทเฮา

ไทฮองไทเฮารีบดึงมือเจียงเซี่ยนมา แล้วเอ่ยเสียงทุ้มว่า “เกิดอะไรขึ้นกับเจ้าที่จวนเจิ้นกั๋วกงหรือ?”

ในห้องอุ่นจุดเตาไฟใต้ตำหนักคลายหนาว แต่มือของไทฮองไทเฮากลับแลดูชื้นเพราะมีเหงื่อ

นี่ท่านยายคงเป็นห่วงนางกระมัง?

เจียงเซี่ยนรู้สึกซาบซึ้งมาก นางยิ้มปลอบใจไทฮองไทเฮา แล้วถึงเอ่ยว่า “ไม่มีอะไรเกิดขึ้นที่จวนท่านกั๋วกงทั้งนั้นเพคะ พวกเขาเรียกหม่อมฉันกลับไป เพราะมีเรื่องบอกหม่อมฉัน แต่ก็กลัวว่าเสด็จยายทราบแล้วจะพิโรธ อยากปิดบังเสด็จยาย จึงหาข้ออ้างเรียกหม่อมฉันกลับไป แต่หม่อมฉันคิดไปคิดมา ก็คิดว่าต้องให้เสด็จยายทราบเรื่องนี้จะดีกว่าเพคะ”

ไทฮองไทเฮาเหมือนร้อนใจทันที

ทั้งในและนอกวังนี้ นอกจากเรื่องของเจียงเซี่ยนที่จะทำให้นางร้อนใจแล้ว ตั้งแต่ไหนแต่ไรมานางก็ไม่เคยรู้สึกว่ายังมีเรื่องอะไรที่สามารถทำให้นางร้อนใจได้

นางจึงสังหรณ์ใจและคิดว่าเกิดเรื่องกับเจียงเซี่ยนแล้ว

แต่นางก็กลัวว่าตนเองแสดงความร้อนใจออกมาแล้วจะทำให้เจียงเซี่ยนตกใจ จึงพยายามยับยั้งความลนลานที่ก้นบึ้งของหัวใจเอาไว้และหัวเราะเล็กน้อย แล้วเอ่ยว่า “ข้าอายุปูนนี้แล้ว ไม่เคยเจออะไรบ้าง? ข้าไม่ได้ไม่รู้ความอย่างที่พวกเจ้าคิด! เจ้ามีอะไรก็บอกข้ามาได้เลย ไม่จำเป็นต้องเป็นห่วงข้า ข้ารับไหว!”

เจียงเซี่ยนพยักหน้า

จริงๆ แล้วนางก็ไม่ได้คิดที่จะปิดบังเรื่องนี้กับท่านยาย

และนางคิดว่าท่านยายรู้ได้เร็วเท่าไรก็ยิ่งดี

ท่านยายจะได้ไม่รู้เรื่องนี้จากคนอื่นอย่างกะทันหันแล้วโกรธจนมีอันเป็นไป

นางจับมือของไทฮองไทเฮาแน่น แล้วเอ่ยเสียงเบาว่า “ท่านลุงเรียกหม่อมฉันไป เพื่อถามเรื่องของหม่อมฉันกับฝ่าบาท ท่านลุงบอกว่า ฝ่าบาทมีเรื่องขอ และเคยแสดงพระราชประสงค์ออกมาอย่างคลุมเครือว่าอยากแต่งงานกับหม่อมฉัน ท่านลุงไม่อยากให้หม่อมฉันเข้าวัง แต่ก็ไม่รู้ว่าเสด็จยายคิดเห็นเช่นไร แล้วยังกลัวว่าฝ่าบาทจะมองว่าท่านลุงไม่ได้จงรักภักดีอย่างสุดหัวใจ อย่างไรเรื่องนี้ก็ใช่ว่าจะพูดอย่างตรงไปตรงมาได้ง่ายๆ จะตอบปฏิเสธหรือตอบตกลงก็ยาก จึงทำได้เพียงหลีกเลี่ยงที่จะตอบ…”

ไทฮองไทเฮาก็ขมวดคิ้วขึ้นมา

แม้นางจะไม่คุมงาน แต่ตระกูลจ้าวพึ่งพาอาศัยนางถึงได้ถูกจัดให้เป็นตระกูลขุนนางระดับสูง หวังเหยียนหลานชายซื่อสัตย์จงรักภักดี และเคารพนับถือนางเป็นพิเศษ เจียงเจิ้นหยวนต้องช่วยฮ่องเต้ทำงาน ถึงจะไม่ได้พูดกับนางอย่างชัดเจน ทว่าก็กลัวฮ่องเต้จะตัดสินใจไม่เด็ดขาดเพราะอยู่ภายใต้อำนาจของเฉาไทเฮามานาน จึงอยากให้นางออกหน้าพูดกับอ๋องเจี่ยนสักครั้ง เป็นตัวแทนราชนิกุลส่งสารลับให้เขา จึงบอกเรื่องนี้กับหวังเหยียนอย่างเป็นนัย

เรื่องใหญ่ขนาดนี้ หวังเหยียนต้องร้อนใจนรอไม่ได้และบอกนางอย่างแน่นอน

นางไม่รู้ว่าอ๋องเจี่ยนคิดอย่างไร กลัวว่าบุ่มบ่ามไปจะแหวกหญ้าให้งูตื่นจนเฉาไทเฮารู้เข้า จึงมอบของที่ใช้เป็นหลักฐานยืนยันให้หวังเหยียนชิ้นหนึ่ง และให้เขาบอกเรื่องที่รู้กับอ๋องเจี่ยนอย่างเป็นนัย

ใครจะรู้ว่าอ๋องเจี่ยนกระตือรือร้นกว่านางเสียอีก เขารับสารลับจากฮ่องเต้ทันทีและส่งผ่านหวังเหยียนไปถึงมือของเจียงเจิ้นหยวนแล้ว

นางรู้ว่าจ้าวอี้คิดจะปิดล้อมเฉาไทเฮาเพื่อว่าราชการด้วยตนเอง เกรงว่าวันนั้นภูเขาวั่นโซ่วคงต้องต่อสู้กันอย่างดุเดือด นางขี้เกียจที่จะไปสนใจเรื่องพวกนี้ จึงตัดสินใจอยู่รอข่าวที่วังฉือหนิง และไม่ไปไหนทั้งนั้น

ทว่าตอนนี้ดูเหมือนฮ่องเต้ยังคงอยากแต่งงานกับเจียงเซี่ยน…พูดแบบนี้ออกมาตอนนี้ ถึงเขาจะจริงใจก็เหมือนยาอมที่ให้เพื่อปลอบใจเจียงเซี่ยน

ฮ่องเต้ยังคงรักสบายไปนิด

แต่ทำไมเจียงเจิ้นหยวนต้องเรียกเจียงเซี่ยนไปคุยเรื่องนี้ล่ะ?

หากเจียงเจิ้นหยวนไม่อยากทำ ถึงจะเพราะคิดถึงนาง ก็น่าจะปฏิเสธทางอ้อมก่อนได้นี่นา?

หรือว่าในนี้ยังมีอะไรน่าสงสัยงั้นหรือ?

ไทฮองไทเฮาต้องขมวดคิ้วแน่นขึ้นแล้ว และเอ่ยว่า “เกรงว่าฝ่าบาทคงไม่ได้บอกลุงเจ้าแค่ว่าอยากแต่งงานกับเจ้ากระมัง?”

เจียงเซี่ยนพยักหน้า และเอ่ยว่า “ฝ่าบาทตรัสว่า หม่อมฉันกับฝ่าบาทเป็นเพื่อนเล่นกันและเติบโตมาด้วยกันตั้งแต่เด็ก หม่อมฉันอยากอยู่ในวังมาก…”

ไทฮองไทเฮาแค่ฟังก็ไม่ค่อยสบอารมณ์แล้ว

เจียงเซี่ยนคลอดก่อนกำหนด ตั้งแต่เล็กก็ผอมและอ่อนแอมาก กว่าจะเลี้ยงมาถึงอายุสิบสามได้ก็ไม่ง่ายเลย หลายเดือนก่อนประจำเดือนเพิ่งจะมา รูปร่างไม่เหมาะที่จะมีลูกด้วยซ้ำ คนในวังต่างก็รู้ว่านางตั้งใจจะให้เจียงเซี่ยนอยู่ถึงสิบแปดค่อยแต่งงาน ทว่าฮ่องเต้ขึ้นครองราชย์มานานแล้ว หากว่าราชการด้วยตนเอง ก็ต้องแต่งตั้งฮองเฮาอย่างเร็วที่สุด เพื่อให้กำเนิดทายาทสืบทอดบัลลังก์ต่อไป ไม่มีทางรอจนเจียงเซี่ยนอายุสิบแปดได้ ดังนั้นไม่ว่าฮ่องเต้กับเจียงเซี่ยนจะสนิทกันแค่ไหน นางก็ไม่เคยคิดที่จะให้เจียงเซี่ยนอยู่ในวังไปตลอด และเจียงเซี่ยนก็เป็นเด็กรู้กาลเทศะ หากฮ่องเต้รับปากเจียงเซี่ยนเป็นการส่วนตัวจริง และเจียงเซี่ยนเองรู้สึกยินดีก็จะต้องบอกนางอย่างแน่นอน…ในวังนี้ มีแต่นางที่สามารถต่อต้านเฉาไทเฮาได้ เจียงเซี่ยนอยากแต่งงานกับฮ่องเต้ ก็มีแต่นางที่สามารถช่วยพวกเขาได้

แต่ที่ผ่านมาเจียงเซี่ยนก็ไม่เคยบอกนางเลย

กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ฮ่องเต้กำลังหลอกเจียงเจิ้นหยวน

ทว่าถึงจะเป็นเช่นนี้ เจียงเจิ้นหยวนก็สามารถแสร้งทำเป็นไม่รู้และเปิดโปงเรื่องนี้ออกไปได้อย่างสิ้นเชิงเช่นกัน

แต่เวลานี้กลับหาข้ออ้างเรียกเจียงเซี่ยนกลับไปตอนนี้…แสดงว่าเรื่องนี้ยังมีเบื้องลึกเบื้องหลัง

ไทฮองไทเฮารีบเอ่ยว่า “งั้นเจ้าล่ะ? อยากอยู่ในวังหรือไม่?” พอเอ่ยจบก็กลัวเจียงเซี่ยนจะคิดเช่นนี้จริง นางจึงเอ่ยอีกโดยไม่รอให้เจียงเซี่ยนตอบว่า “เจ้าอายุยังน้อย หมอหลวงเถียนก็บอกแล้วเช่นกันว่า ต้องตั้งใจบำรุงร่างกายสักสองสามปีค่อยแต่งงาน ไม่งั้นลูกหลานจะลำบากมาก และทำร้ายรากฐาน ยายยังอยากให้เจ้าอยู่อีกสักสองสามปีนะ!”

ชาติก่อนนางอยากแต่งงานกับจ้าวอี้ ไทฮองไทเฮารักตนเองมาก แม้จะยินยอมแล้ว ทว่าก็ทำข้อตกลงกับจ้าวอี้ไว้ล่วงหน้าเช่นกันว่า จนกว่านางจะอายุสิบห้าปี ทั้งสองคนห้ามเข้าหอ

จ้าวอี้สาบานต่อฟ้า ไทฮองไทเฮาถึงตกลง

เจียงเซี่ยนคิดอยู่ น้ำตาก็จะร่วงลงมาแล้ว

นางเอ่ยว่า “เสด็จยาย ถึงแม้หม่อมฉันชอบในวัง และชอบอยู่เป็นเพื่อนเสด็จยาย แต่หม่อมฉันทราบความกังวลของเสด็จยายดี ตั้งแต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่เคยอยากแต่งงานกับฝ่าบาทเลย และฝ่าบาทก็ไม่เคยตรัสเรื่องพวกนี้กับหม่อมฉันตรงๆ เช่นกัน…”

ไทฮองไทเฮาอึ้งไป

เจียงเซี่ยนเอ่ยว่า “แต่ท่านลุงไม่ทราบ เขาบังเอิญพบว่าคนสกุลฟางแม่นมของฝ่าบาทตั้งครรภ์…”

“เจ้าว่าอะไรนะ?” ไทฮองไทเฮาตกตะลึง เจียงเซี่ยนยังไม่ทันเอ่ยจบ นางก็ร้องอย่างตกใจแล้ว

เป็นแม่นมของฮ่องเต้ คนสกุลฟางไม่ได้รับอนุญาตจากฮ่องเต้หรือไทเฮาก็ออกจากวังไม่ได้ จึงยิ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะพบกับสามีและลูก คนที่เป็นแม่นมบางคน เพราะได้รับความไว้วางใจจากฮ่องเต้หรือไทเฮากับฮองเฮา พอฮ่องเต้เป็นพ่อคนและไม่ต้องการแม่นมอีกแล้ว แม่นมถึงจะถูกปล่อยออกจากวังไปอยู่ร่วมกับคนในครอบครัว

ชื่อของคนสกุลฟาง ยังอยู่ที่กรมพิธีการกับกรมวังอยู่เลย!

และในวัง มีผู้ชายเพียงคนเดียว!

เด็กคนนี้เป็นลูกใคร ไม่ต้องบอกก็รู้ได้

“ไม่ ไม่ ไม่” ไทฮองไทเฮาหน้ามืดไปพักหนึ่ง แล้วเอ่ยอย่างตื่นตระหนกว่า “ไม่มีทาง! เป็นไปไม่ได้! คนสกุลฟางนั่นต้องไปมั่วกับองครักษ์คนไหนมาแน่…” พูดออกมาได้ไม่กี่คำ จู่ๆ ไทฮองไทเฮาก็เข้าใจ นางลุกขึ้นยืนทันที และเอ่ยว่า “แม่นมฟางอยู่ที่ไหน? เรียกนางมาพบข้า! แล้วยังคนที่ลักลอบเป็นชู้กับนางนั่นก็อุดปากให้จมน้ำไปให้หมด…”

เรื่องนี้ต้องป้ายความผิดให้ใครสักคนและแยกฮ่องเต้ออกมา

นางก็รู้ว่าไม่ว่าจะเป็นไทฮองไทเฮาหรือไทเฮา พอรู้เรื่องของคนสกุลฟางกับจ้าวอี้แล้วก็มีแต่จะทำแบบนี้เท่านั้น

นี่ก็คือสาเหตุที่ทำไมนางถึงไม่ยอมจัดการคนสกุลฟางอย่างง่ายดายขนาดนั้นเช่นกัน

เจียงเซี่ยนเรียก “เสด็จยาย” ครั้งหนึ่ง นางจับมือของไทฮองไทเฮา และเอ่ยว่า “พระราชวังต้องห้ามแห่งนี้คือพระราชวังต้องห้ามของไทเฮา คนที่ควบคุมวังทั้งหกและตำหนักต่างๆ ก็คือไทเฮาเช่นกัน ทำไมเสด็จยายจะต้องทำเกินหน้าที่ด้วยเพคะ? มอบให้ไทเฮาไปจัดการไม่ดีหรือ? ในเมื่อฝ่าบาททำเรื่องแบบนี้ และยังปิดบังทั้งเสด็จยายและไทเฮาเสียมิด ก็แสดงว่าฝ่าบาทชอบคนสกุลฟาง และหวังให้เด็กคนนี้เกิดมา เสด็จยายปล่อยให้ไทเฮาจัดการไปดีกว่า หากเข้าไปยุ่งเรื่องของฝ่าบาท จะไม่ทำให้ฝ่าบาททรงเกลียดเสด็จยายงั้นหรือเพคะ?”

———————————–

มู่หนานจือ

มู่หนานจือ

แม้ เจียงเซี่ยน เป็นถึงสตรีผู้สูงศักดิ์ ทั้งยังได้แต่งงานกับ ‘จ้าวอี้’ ผู้เป็นฮ่องเต้ ทว่าเขามิเคยร่วมหออุ่นเตียงกันจนกระทั่งจากนางไป เมื่อนางต้องกลายเป็นไทเฮา จึงได้โอบอุ้ม ‘จ้าวสี่’ ลูกชายคนเดียวของจ้าวอี้ว่าราชการหลังม่าน ประคองราชวงศ์อย่างยากเข็ญ แต่แล้วนางกลับถูกฆ่าตายด้วยถ้วยยาพิษ ที่อยู่ในอุ้งมือของฮ่องเต้น้อยอย่างจ้าวสี่! เมื่อลืมตาตื่นมาอีกครั้ง ก็พบว่าได้ย้อนกลับมาช่วงชีวิตวัยสิบสามปี ก่อนมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในราชสำนัก ‘เหตุใดจ้าวสี่จึงมอบความตายให้นาง?’…แม้โอกาสในการมีชีวิตอาจทำให้ไขปริศนานี้ได้ แต่นางขอเลือกเดินในเส้นทางใหม่ ไม่เข้าไปข้องเกี่ยวกับตระกูลจ้าว ไม่สนใจการผลัดเปลี่ยนแผ่นดิน นางขอเพียงมีชีวิตครอบครัวเล็กๆ กับสามีที่วางใจได้ และลูกที่แสนน่ารักทว่า เมื่อนางได้นำพบกับ หลี่เชียน แม่ทัพหนุ่มที่นางเคยรู้สึกเกลียดทุกคราที่พบหน้า ชีวิตและความรักของนางจึงกำลังจะพบกับจุดเปลี่ยนอีกครั้ง… หรือ ‘โชคชะตา’ จะนำพาให้เกิดเรื่องราวและวังวนที่ไม่เหมือนเดิม!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset