พูดก็พูด ทำไมทุกครั้งเขาถึงสามารถคุยเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกันได้อย่างเรื่อยเปื่อย?
ต้นไม้โบราณต้นนั้นโตจนกิ่งและใบเจริญงอกงามแค่ไหนแล้วเกี่ยวอะไรกับเขาด้วย?
เขายังคิดจะมานั่งรอที่ต้นไม้โบราณนี้ต่อตอนหน้าร้อนอีกหรือ?
เจียงเซี่ยนมองหลี่เชียน และรู้สึกว่าสมองของตนเองเริ่มกระตุกจนเจ็บขึ้นมาแล้ว
“ในเมื่อองครักษ์หลี่ไม่มีธุระอะไรแล้ว เช่นนั้นข้าขอตัวก่อน” นางเอ่ยอย่างเกรงใจปนห่างเหิน และหันตัวจากไปทันที โดยไม่มองหลี่เชียนด้วยซ้ำ
หลี่เชียนรู้สึกแปลกใจอีกครั้ง
เรื่องใหญ่ขนาดนี้ นางไม่ถามอะไรอีกสักหน่อย?
ก็จากไปอย่างว่องไวแบบนี้หรือ?
ผู้หญิงคนนี้ไร้เดียงสาหรือว่าเชื่อใจเขามากเกินไปแล้ว?
หลี่เชียนยิ้มพลางส่ายหน้า
ทว่าในใจกลับมีคำตอบอยู่อย่างเลือนราง
คนที่แม้ว่าเขาจะลอบวางแผนทำร้ายเฉาไทเฮา ลอบวางแผนทำร้ายตระกูลเจียงก็ยังสามารถทำตัวตามปกติได้ จะไร้เดียงสาได้อย่างไร…
เขามองภาพเงาด้านหลังของเจียงเซี่ยน จนกระทั่งเจียงเซี่ยนหายไปอย่างไร้ร่องรอยแล้ว จึงค่อยๆ ไปที่ห้องเวรของตำหนักอู่อิง
เจียงเซี่ยนกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ตำหนักตงซานก่อน แล้วไปรับประทานอาหารค่ำเป็นเพื่อนไทฮองไทเฮาที่ห้องอุ่นตะวันออกพร้อมกับไป๋ซู่
ไป๋ไทฮองไท่เฟยก็อยู่เช่นกัน และกำลังพูดคุยกับไทฮองไทเฮาอยู่ พอเห็นพวกนางเข้ามาก็หยุดคุยทันที และยิ้มพลางเรียกมากินข้าว “…กำลังรอพวกเจ้าอยู่พอดี” แล้วถามพวกนางอีก “ไม่เห็นทั้งบ่าย พวกเจ้าเก็บตัวทำอะไรอยู่ในห้องหรือ?”
“ปักผ้าเจ้าค่ะ” ไป๋ซู่ตอบไป
แต่ไทฮองไท่เฟยกลับพยักหน้า และเอ่ยว่า “ต้องเรียนรู้งานเย็บปักถักร้อยเอาไว้ ปีหน้าก็อายุครบสิบห้าปีแล้ว จะมัวเล่นอยู่แบบนี้ไม่ได้ เมื่อครู่ข้าตกลงกับไทฮองไทเฮาแล้ว สองวันนี้จะเลือกช่างเย็บปักจากกองพระภูษามาสักสองสามคน ไว้ผ่านวันเฉลิมพระชนมพรรษาของไทเฮาไปแล้ว เจ้าก็เริ่มทำงานเย็บปักถักร้อยตามช่างเย็บปักได้เลย พ่อแม่เจ้าจะได้ไม่รู้ว่าแม้แต่ผ้าเช็ดหน้าเจ้าก็ปักไม่สวยด้วยซ้ำ ควรโทษข้าที่ไม่ได้สั่งสอนเจ้าให้ดี”
ไทฮองไท่เฟยต้องกำลังคุยเรื่องแต่งงานของทั้งสองคนอยู่อย่างแน่นอน ไม่อย่างนั้นก็คงจะไม่คิดที่จะให้ไป๋ซู่เรียนรู้งานเย็บปักถักร้อยแล้ว
ตำแหน่งท่านหญิงของไป๋ซู่เป็นเพียงคำเรียกเท่านั้น ไม่เหมือนกับเจียงเซี่ยนที่ได้รับเงินเดือนของชินอ๋อง มีเงินเดือนห้าหมื่นต้านเข้าบัญชีทุกปีจริงๆ แถมยังมีที่ดินเป็นของตนเอง เจียงเซี่ยนไม่เรียนก็ได้ แต่ไป๋ซู่กลับไม่เรียนไม่ได้
ทั้งสองคนต่างรู้ใจกัน พอได้ยินจึงรู้สึกหดหู่เล็กน้อย
ไป๋ซู่กำลังคิดว่าสุดท้ายแล้วตนเองจะได้แต่งงานกับเฉาเซวียนหรือไม่ ทว่าเจียงเซี่ยนกลับกำลังคิดว่าไม่แต่งงานกับจ้าวอี้ แล้วสุดท้ายตนเองจะแต่งงานกับใครดี?
พวกนางกินข้าวและอยู่คุยเป็นเพื่อนผู้อาวุโสทั้งสองครู่หนึ่ง ก็เห็นได้ชัดว่าไทฮองไท่เฟยยังมีเรื่องคุยกับไทฮองไทเฮาอีก จึงให้พวกนางไปพักผ่อนเร็วหน่อยอย่างอ้อมๆ
ทั้งสองคนก็ไม่โอ้เอ้เช่นกัน พวกนางคุยกันตลอดทางที่กลับตำหนัก
เจียงเซี่ยนล้างหน้าล้างตาเสร็จแล้ว กำลังนั่งทาเครื่องประทินผิวอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง หลิวเสี่ยวหม่านขอเข้าพบ
นางจึงทำตัวให้สดชื่นขึ้น และไปห้องหนังสือที่อยู่ข้างๆ
หลิวเสี่ยวหม่านทำงานรอบคอบมาก ไม่รู้ว่าหาแผนที่จากไหนมาปูบนโต๊ะ เขาดึงโคมของโคมวังหลวงทรงแตงบนโต๊ะออก และดึงไส้ตะเกียงมา แล้วถึงชี้แผนที่นั้น พลางเอ่ยว่า “ท่านดูนี่ขอรับ นี่คือทะเลสาบคุนหมิง นี่คือภูเขาวั่นโซ่ว พวกเราไปต้องนั่งเรือ จากตรงนี้ถึงขึ้นฝั่งตรงนี้ ส่วนอาคารหลายหลังริมฝั่งก็คือตำหนักเหรินโซ่ว ตำหนักอวี้หลาน และตำหนักอี๋อวิ๋น…”
เจียงเซี่ยนได้ยินก็ว้าวุ่นใจเล็กน้อย
เดิมทีตรงนี้เป็นเพียงภูเขาลูกเล็กที่ทิวทัศน์สวยงามตรงชานเมือง ตอนที่ฮองไทเฮาตวนเหรินมารดาของฮ่องเต้อู่จงยังมีชีวิตอยู่นั้นโปรดปรานของขวัญวันเกิด ตอนฮองไทเฮาตวนเหรินอายุหกสิบปี ฮ่องเต้อู่จงจึงสร้างวัดให้มารดาที่นี่ ภายหลังมีการก่อสร้างเพิ่มเติมหลายครั้ง จึงทำให้ไม่ได้มีเพียงวัด อุโบสถ และศาลาริมน้ำ ทว่ายังมีเวที เรือหิน และนาข้าวอย่างเช่นตอนนี้ และกลายเป็นสถานที่พักร้อนของราชวงศ์
หลังจากเฉาไทเฮาสำเร็จราชการแทน ยังตั้งใจลอกทางน้ำจากอุทยานหลวงตะวันตกถึงภูเขาวั่นโซ่วโดยเฉพาะด้วย การเดินทางไปมาจึงสะดวกมากขึ้น
บางทีอาจจะเพราะที่นี่บันทึกความสำเร็จของจ้าวอี้เอาไว้ หลังจากจ้าวอี้ว่าราชการด้วยตนเอง จึงไม่ชอบอยู่วังเฉียนชิงกับวังคุนหนิงที่ทุกที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายของเฉาไทเฮา และชอบอยู่ที่นี่มากกว่า
เจียงเซี่ยนรู้สึกว่าเรื่องนี้ตนเองกับจ้าวอี้เหมือนกันมากทีเดียว
บางทีอาจจะเพราะนางวางยาฆ่าจ้าวอี้กับคนสกุลฟางที่นี่ นางจึงไม่ชอบภูเขาวั่นโซ่วเป็นอย่างมาก และกลับชอบอยู่ในวังฉือหนิงที่อยู่จนชินมาตั้งแต่เด็กและเต็มไปด้วยกลิ่นอายความรักและความเมตตาของไทฮองไทเฮา
หลังจากนางว่าราชการหลังม่าน ก็ไม่เคยไปที่ภูเขาวั่นโซ่วอีกเลย
คนที่นี่ต่างชอบจับตามองคนเบื้องบน
ความโปรดปรานของผู้คนเบื้องบนมักจะทำให้คนเบื้องล่างคุยโวโอ้อวด
ภูเขาวั่นโซ่วก็ค่อยๆ ขาดการบูรณะ จนกลายเป็นเสื่อมโทรมเช่นกัน
ดังนั้นเจียงเซี่ยนจึงไม่คุ้นเคยกับภูเขาวั่นโซ่วนัก
ต่อให้นางไม่ชอบแค่ไหน ก็ทำได้เพียงอดทนฟังเช่นกัน
“…ด้านหลังวัดต้าเป้าเอินเหยียนโซ่วเป็นตำหนักอวี้หวากับตำหนักอวิ๋นจิ่น ถัดไปอีกทางด้านหลังเป็นตำหนักไผอวิ๋นกับตำหนักเต๋อฮุย ระหว่างสองตำหนักเป็นตำหนักจื่อเซียวกับตำหนักฟางฮุย…” หลิวเสี่ยวหม่านเอ่ยเสียงเบาไปเรื่อย “ไทเฮาจะประทับที่ตำหนักเต๋อฮุย…ตำหนักหยวนหล่างอยู่ตรงนี้ แต่ตำหนักเที่ยวหย่วนอยู่ตรงนี้…อ๋องเหลียวกับซื่อจื่อจิ้งไห่โหวอยู่ที่ตำหนักหยวนหล่าง แต่คนหนึ่งอยู่ฝั่งตะวันออก อีกคนอยู่ฝั่งตะวันตก ตรงกลางยังมีศาลากั้นอยู่หลังหนึ่ง บนแผนที่ดูเหมือนใกล้มาก ความจริงแล้วต้องเดินเกือบครึ่งชั่วยาม…ตำหนักเที่ยวหย่วนอยู่ตรงนี้ ที่แสดงกายกรรมก็อยู่ข้างๆ นี้ หากท่านหญิงจะไปให้ได้ ข้าจะไปรับพระราชเสาวนีย์จากไทฮองไทเฮา ให้หลิวตงเยว่ไปเป็นเพื่อนท่าน แล้วก็จัดหาตำแหน่งที่ดีหน่อยที่ตำหนักเที่ยวหย่วนให้ท่านตั้งแต่เนิ่นๆ…เวทีใหญ่อยู่ตรงนี้ ข้างตำหนักเต๋อเหอ ใกล้ประตูวังทางทิศตะวันออก…”
เจียงเซี่ยนไม่เอ่ยสิ่งใด
กรมพิธีการมักจะน่าเบื่อเช่นนี้เสมอ
ถึงแม้ชาติก่อนนางจะไม่ได้ไปร่วมวันเกิดของเฉาไทเฮา แต่ใครถูกจัดไว้ตรงไหนก็เหมือนกับที่นางเดาไม่มีผิด
จ้าวอี้กับเหล่าขุนนางใหญ่น่าจะพักอยู่แถวประตูวังทางทิศตะวันออก ทั้งสามารถเข้าออกได้ตามต้องการและยังดูการแสดงงิ้วได้ด้วย
จ้าวอี้อ๋องเหลียวกับจิ้งไห่โหวที่เฉาไทเฮาหวาดระแวง พักอยู่ที่ตำหนักหยวนหล่างซึ่งอยู่ไกลจากวัดต้าเป้าเอินเหยียนโซ่ว และน่าจะถูกคนเฝ้าไว้
แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน ตอนที่เกิดเหตุร้ายขึ้นที่ภูเขาวั่นโซ่ว ทั้งสองคนก็จะเอาตัวรอดด้วยการแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน เพราะไม่รู้สถานการณ์
ส่วนเฉาไทเฮานั้นเข้าไปพักที่ตำหนักเต๋อฮุยแล้ว บรรดาสตรีที่เป็นญาติทางฝ่ายไทเฮาก็จะถูกจัดให้อยู่ที่ตำหนักจื่อเซียวและตำหนักฟางฮุย ทว่าสตรีบรรดาศักดิ์ที่มาอวยพรวันเกิดนางนั้นจะถูกจัดให้อยู่ที่ตำหนักอวี้หวาและตำหนักอวิ๋นจิ่น
เพียงแต่เป็นเช่นนี้ ไม่รู้ว่าจะทำให้สตรีบรรดาศักดิ์เหล่านั้นตกใจหรือไม่
เจียงเซี่ยนเปลี่ยนความคิด ทำให้ตกใจก็ไม่เป็นไร
คนที่มาร่วมงานวันเกิดของเฉาไทเฮา มีคนไหนไม่ใช่ฮูหยินขั้นพิเศษหรือฮูหยินของขุนนางขั้นที่หนึ่งบ้าง ถึงฮูหยินพวกนี้จะอยากพูดจาซี้ซั้ว ขุนนางใหญ่เหล่านั้นก็ไม่กล้าวิพากษ์วิจารณ์เช่นกัน จึงกลับเป็นเรื่องดีเสียอีก
เวลานี้นางต้องเป็นห่วงตนเองว่าถึงเวลานั้นจะพักที่ไหนดี?
ถึงจะบอกว่ากลับวันนั้นเลย ทว่านางคิดว่าเวลาลงมือตามแผนการที่ดีที่สุดก็คือเที่ยงคืน ดังนั้นพวกท่านลุงก็น่าจะลงมือตอนเที่ยงคืน นางอยากไปก็เพื่อป้องกันจ้าวอี้เสี่ยงอันตรายตอนที่เข้าตาจน และจะกำจัดเฉาไทเฮาในที่เกิดเหตุโดยไม่สนใจชื่อเสียง แล้วนางจะไม่ค้างคืนที่นั่นได้อย่างไร?
เจียงเซี่ยนส่งหลิวเสี่ยวหม่านออกไปแล้วก็มัวแต่คิดเรื่องในใจ จนแทบไม่ได้นอนทั้งคืน
วันรุ่งขึ้นจึงตื่นสาย
ไทฮองไทเฮากลัวว่านางจะไม่สบายตรงไหน จึงต้องเชิญหมอหลวงเถียนมาตรวจให้ได้
เจียงเซี่ยนถือโอกาสเอ่ยว่า “หม่อมฉันแค่อยากไปดูกายกรรมที่ภูเขาวั่นโซ่ว…”
ไทฮองไทเฮาตอบอย่างเต็มปากเต็มคำ “นี่มันอะไรกัน? คุ้มกับที่เจ้านอนไม่หลับ…” แต่พอพูดออกไป ไทฮองไทเฮาก็กลับคำแล้วเปลี่ยนคำพูดทันทีว่า “วันนั้นคนเยอะขนาดนั้นเบียดอยู่ด้วยกัน มีอะไรน่าดู หากเจ้าอยากดูจริงๆ ไว้วันเกิดของไทเฮาจบแล้วก็ให้คณะกายกรรมพวกนั้นอยู่แสดงต่ออีกสองวันก็ได้แล้วไม่ใช่หรือ”
เจียงเซี่ยนจึงจำเป็นต้องหลอกผู้อาวุโส “นั่นจะมีความหมายอะไรเพคะ! ดูกายกรรมก็เพราะอยากได้บรรยากาศคึกคักไม่ใช่หรือ? เรียกเข้ามาในวัง นอกจากเสด็จยายกับไทฮองไท่เฟย หม่อมฉัน และจ่างจู ยังมีใครดูอีก? แม้แต่เสียงปรบมือก็เบาบาง เกรงว่าพวกคนที่แสดงกายกรรมจะคิดว่าตนเองแสดงไม่ดีน่ะสิเพคะ!”
ไทฮองไทเฮาไม่อนุญาต
เจียงเซี่ยนก็เซ้าซี้นางตลอด
ทว่าครั้งนี้ไทฮองไทเฮาที่ปกติรักเจียงเซี่ยนดั่งแก้วตาดวงใจกลับไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อนุญาต
ยังดีที่ฮูหยินเจิ้นกั๋วกงสกุลฝางทำให้นางหลุดพ้นจากสถานการณ์ที่ยากลำบาก
มีนางในเข้ามารายงานว่าฮูหยินเจิ้นกั๋วกงส่งสาส์นมาว่าพรุ่งนี้อยากเข้าวังมาเยี่ยมเจียงเซี่ยน
————————–