ดังนั้นความสัมพันธ์ของจวนจิ้งไห่โหวกับราชสำนักนับวันจึงยิ่งตึงเครียดขึ้น ส่วนตระกูลหลี่ในฐานะที่เป็นแม่ทัพที่ถูกราชสำนักส่งไปดำรงตำแหน่งยังฝูเจี้ยน ความสัมพันธ์ของทั้งสองตระกูลก็นับวันยิ่งตึงเครียดขึ้นเช่นกัน
ถือว่าตระกูลหลี่ก็ประสบภัยอย่างคาดไม่ถึงเช่นกัน
หลี่เชียนกังวลกับจ้าวเซี่ยวเล็กน้อย
จ้าวเซี่ยวเป็นลูกชายที่เกิดจากภรรยาเอกเพียงคนเดียวของจิ้งไห่โหว
ด้วยความสัมพันธ์ของจิ้งไห่โหวกับราชสำนัก จ้าวเซี่ยวไม่มีทางที่จะพานางในติดตามเข้าวังมาเพียงไม่กี่คน
ด้วยการวางแผนอย่างรอบคอบและคิดการณ์ไกลมากของจ้าวเซี่ยว หากภูเขาวั่นโซ่วเกิดความเปลี่ยนแปลง และเขาพบว่าสามารถแสวงหาผลประโยชน์ได้ ก็ไม่รู้ว่าจะเข้ามาก่อกวนด้วยหรือไม่?
แล้วยังอ๋องเหลียว
เฉาไทเฮาจัดให้เขากับจ้าวเซี่ยวพักด้วยกัน เพื่อป้องกันสองคนนี้หรือจะเตือนให้จิ้งไห่โหวดูอ๋องเหลียวเป็นตัวอย่าง ให้ดูสถานการณ์ให้ชัดเจน?
หลี่เชียนยิ้มเล็กน้อย ทันใดนั้นก็อยากเจอจ้าวเซี่ยวขึ้นมา…แล้วก็อ๋องเหลียวที่เขาไม่เคยพบกัน ทว่ากลับมีชื่อเสียงดีว่า ‘รู้จักใช้คน’ ด้วย
—
เจียงเซี่ยนเข้าไปพักในตำหนักชิ่งซั่นสมใจแล้ว
หมิ่นสี่ไม่กล้าไปไหนทั้งนั้น จึงยืนคอยอยู่ใต้ชายคาของตำหนักหลักที่อยู่ตรงกลางของตำหนักชิ่งซั่นอย่างประจบประแจง จนกระทั่งมีคนพาเสี่ยวโต้วจึเดินเข้ามาอย่างรีบร้อน
เขาแอบเบ้ปาก แล้วยิ้มพลางเดินเข้าไปเรียก “ขันทีตู้” อย่างสนิทสนม อบอุ่น และยังคงความเคารพนอบน้อม
เสี่ยวโต้วจึเดิมชื่อตู้เซิ่ง
อีกฝ่ายเหงื่อตกเต็มหน้าผาก และไม่ชายตามองเขาแม้แต่น้อย พลางเดินเข้าไปข้างในพร้อมกับเอ่ยเสียงดังว่า “ขันทีหลิว ทำไมจู่ๆ ท่านหญิงถึงมาอยู่ที่ตำหนักชิ่งซั่นได้? ฝ่าบาทยังรอไปเสวยพระกระยาหารเที่ยงที่ตำหนักอวี้หลานกับท่านหญิงอยู่เลย!”
หลิวเสี่ยวหม่านสั่งให้ขันทีที่พามาจากวังฉือหนิงเปิดสัมภาระที่นำติดตัวมา จัดวางข้าวของเครื่องใช้และภาพวาดตามความเคยชินยามปกติของเจียงเซี่ยนอยู่ที่ตำหนักหลัก เขายังไม่ทันเอ่ยปาก หลิวตงเยว่ที่ยุ่งอยู่กับการสั่งพวกนางในให้จุดเตา ชงชา และจัดของว่างอยู่ในห้องชาของตำหนักข้างได้ยินเสียงก็เดินออกมา และยิ้มพลางทักทายเสี่ยวโต้วจึ “น้องตู้มาแล้ว! ท่านหญิงติดตามฝ่าบาทออกจากวังมาตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่าง และเรือก็โคลงเคลงเป็นอย่างมาก ตั้งแต่ขึ้นเรือจนถึงตอนนี้ท่านหญิงดื่มน้ำไปเพียงสองอึกเอง แถมตอนที่อยู่ที่ท่าเรือก็ถูกรังแกอีก จึงสีหน้าไม่ค่อยดีมาตลอด เพิ่งจะเข้านอนเมื่อครู่…”
ความนัยที่แฝงอยู่ในนั้นคือ ให้เขาเบาเสียงลงหน่อยและอย่าตะโกนเสียงดัง
เสี่ยวโต้วจึหน้าแดง
หลิวเสี่ยวหม่านเดินออกมาจากตำหนักหลัก
สีหน้าของเขาอ่อนโยนปนรักและเมตตา พลางยิ้มและอธิบายว่า “ท่านหญิงเหนื่อยแล้ว นางไม่สบายเล็กน้อย และเพิ่งจะเข้านอนไป เกรงว่าคงจะรับประทานอาหารเที่ยงไม่ได้แล้ว” เขาเอ่ยพลางปล่อยแขนเสื้อที่พับขึ้นมาลง “ไม่อย่างนั้นข้าไปตำหนักเหรินโซ่วกับเจ้าดีหรือไม่? ฝ่าบาทจะได้ไม่ทรงกังวลด้วย”
เสี่ยวโต้วจึไม่กล้าถามมาก
เรื่องดียากที่จะทำให้คนรับรู้ได้ ทว่าเรื่องร้ายกลับแพร่ออกไปเป็นวงกว้างอย่างรวดเร็ว
ในวังนี้ไม่รู้ว่ามีคนตั้งเท่าไรอยากดูเรื่องสนุกของฮ่องเต้กับท่านหญิง
เรื่องที่ท่านหญิงโกรธผู้ช่วยขันทีที่ดูแลภูเขาวั่นโซ่วจนโยนลงไปในทะเลสาบก่อนหน้านี้นั้น ไม่เพียงแต่ฮ่องเต้ที่รู้แล้ว ซูเพ่ยเหวินรองเสนาบดีกรมพิธีการกับไช่ติ้งจงจิ้นอันโหวต่างก็รู้แล้วเช่นกัน
เดิมทีฮ่องเต้ก็เป็นห่วงว่าท่านหญิงถูกรังแกแล้วจะอารมณ์ไม่ดี ตอนที่ให้เขามาเชิญท่านหญิงไปรับประทานอาหารเที่ยงก็ลังเลอยู่นานมาก ทว่าตอนหลังก็คิดว่าไม่ว่าอย่างไรก็ต้องถามสารทุกข์สุกดิบสักหน่อย ถึงส่งเขามา ตอนที่จะออกจากตำหนักยังกำชับเขา “หากท่านหญิงอารมณ์ไม่ดี ก็ให้คนทำของอร่อยยกไปให้นางคนเดียวที่ตำหนักชิ่งซั่น ส่วนสถานที่พักผ่อนชั่วคราวสำหรับสตรีบรรดาศักดิ์ ข้าว่าก็จัดไว้ที่ตำหนักอี๋อวิ๋นแล้วกัน…ตรงนั้นใหญ่กว่าตำหนักชิ่งซั่นด้วย เพียงแต่อยู่ไกลหน่อย…”
ซูเพ่ยเหวินไม่เห็นด้วย จึงเอ่ยว่า “แต่ที่นั่นก็อยู่ใกล้กับตำหนักอวี้หลานเช่นกัน หากมีคนไปผิดที่ก็แย่แล้ว”
ถัดจากตำหนักอวี้หลานก็เป็นสถานที่ที่จ้าวอี้พัก ตรงนี้ต้องจัดกำลังทหารคุ้มกันอย่างแน่นหนา ถึงเวลานั้นจึงไม่ค่อยสะดวกนัก
ไช่ติ้งจงก้มหน้าลงและแสร้งทำเป็นเหมือนไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น
ฟังคำพูดของฮ่องเต้ก็รู้ว่าฮ่องเต้อยากปกป้องท่านหญิงเจียหนาน เขาไม่อยากพาตนเองไปขวางทางปืน
ทว่าจ้าวอี้ได้ยินแล้วกลับอารมณ์ดีมาก และเอ่ยว่า “เช่นนั้นข้าจะมีองครักษ์ไปทำไม?”
สามารถเป็นถึงรองเสนานดีกรมพิธีการได้ก็ไม่ใช่คนโง่ ความต้องการของจ้าวอี้ชัดเจนขนาดนี้แล้ว แน่นอนว่าซูเพ่ยเหวินก็ต้องคล้อยตาม
เจียงเซี่ยนจึงพักที่ตำหนักชิ่งซั่นเช่นนี้
เสี่ยวโต้วจึก็รู้เรื่องราวก่อนหน้านี้ทั้งหมด พอได้ยินหลิวเสี่ยวหม่านบอกว่าจะไปขอโทษฮ่องเต้แทนท่านหญิงเจียหนานด้วยตนเอง เขาก็ส่ายหน้าติดกันหลายครั้ง และเอ่ยว่า “ฝ่าบาทให้ความสำคัญกับท่านหญิงมาตลอด ทรงคิดว่าลำบากมาตลอดทาง กลัวว่าร่างกายของท่านหญิงจะรับไม่ไหว ถึงได้ส่งข้ามาดูสักหน่อย หากท่านหญิงรู้สึกไม่สบาย จะนอนพักก็ถูกแล้ว ยังต้องให้ท่านไปตำหนักเหรินโซ่วที่ไหนกัน! ขันทีหลิว ท่านวางใจได้ ฝ่าบาทไม่ตำหนิท่านหญิงอย่างแน่นอน จะโทษก็โทษที่หมิ่นโจวนั่นมีตาหามีแววไม่ และองครักษ์นั่นยุ่งเรื่องชาวบ้าน” เขาเอ่ยจบก็ถามว่าเขาไปคารวะเจียงเซี่ยนได้หรือไม่
หลิวเสี่ยวหม่านให้นางในเข้าไปแจ้ง
นางในออกมาบอกว่าเจียงเซี่ยนเข้านอนแล้ว
หลิวเสี่ยวหม่านกับเสี่ยวโต้วจึต่างรู้ว่าเจียงเซี่ยนไม่อยากเจอคน
เสี่ยวโต้วจึจึงรีบหาทางลงให้ตนเอง “ในเมื่อท่านหญิงเข้านอนแล้ว เช่นนั้นข้าก็จะกลับไปหาฝ่าบาท อีกสักครู่ค่อยมาคารวะท่านหญิง”
หลิวเสี่ยวหม่านคุยกับเขาสองสามคำอย่างเกรงใจ แล้วส่งเขาออกจากตำหนัก และหันตัวไปที่ห้องนอนของเจียงเซี่ยน
“ท่านหญิง จะรับประทานอาหารแล้วค่อยนอนไหมขอรับ?” หลิวเสี่ยวหม่านเป็นห่วงร่างกายของเจียงเซี่ยนมาก “ตอนบ่ายหมอหลวงเถียนถึงจะมาพร้อมกับของขวัญของไทเฮา แต่หมอหลวงที่ติดตามฝ่าบาทอยู่นั้นเป็นหลานชายแท้ๆ ของหมอหลวงเถียน ท่านอยากเรียกเขามาตรวจชีพจรปกติของท่านไหมขอรับ?”
เจียงเซี่ยนรู้สึกว่าตนเองยังสบายดี นางถึงขั้นคิดไว้แล้วด้วยซ้ำว่าตามจ้าวอี้มาครั้งนี้จะต้องเจอเรื่องวุ่นวายเหล่านั้นอย่างแน่นอน การเมินเฉยและดูถูกของหมิ่นโจวก็ไม่ได้มีความหมายอะไรเช่นกัน
นางส่ายหน้า แล้วเอ่ยว่า “ไม่ต้องแล้ว รอหมอหลวงเถียนมาแล้วค่อยว่ากันดีกว่า” แล้วก็เห็นว่าเวลาล่วงเลยมาใกล้จะถึงยามเว่ย[1]แล้ว ทว่าพระอาทิตย์ที่อยู่บนท้องฟ้ากลับส่องแสงสว่างไสวเหมือนตอนเที่ยง นางก็อดที่จะเอ่ยไม่ได้ว่า “องครักษ์คนนั้นยังคุกเข่าอยู่ที่ท่าเรือวารีเคียงพฤกษาหรือ?”
“ยังคุกเข่าอยู่ขอรับ!” หลิวเสี่ยวหม่านเอ่ย “ท่านว่า ให้เขาลุกขึ้นดีหรือไม่…”
หลี่เชียนเคยตามเฉาเซวียนไปที่วังฉือหนิง หลิวเสี่ยวหม่านกับหลี่เชียนจึงเคยพบกัน
เขาประทับใจหลี่เชียนมากทีเดียว
รู้สึกว่าชายหนุ่มที่ร่าเริงสดใสอย่างเขาพบได้น้อยมากในเมืองหลวง
ดังนั้นถือโอกาสช่วยพูดให้อีกฝ่ายเล็กน้อยไปตามสถานการณ์ เขาก็รู้สึกว่าไม่เป็นไร
เจียงเซี่ยนส่ายหน้า และเอ่ยว่า “เรื่องนี้เจ้าอย่ายุ่งเลย เขาอยากคุกเข่าอยู่ตรงนั้นนานแค่ไหนก็ทำไปแล้วกัน” พอเอ่ยจบ ไม่รู้ทำไมถึงอธิบายกับหลิวเสี่ยวหม่านอย่างแปลกๆ อีกว่า “ฝ่าบาททรงทราบเรื่องของข้าที่ท่าเรือวารีเคียงพฤกษา ทุกคนก็ต้องรู้เรื่องที่หลี่เชียนล่วงเกินข้าและถูกลงโทษให้คุกเข่าสำนึกผิดอยู่ที่ท่าเรือวารีเคียงพฤกษาแล้วเช่นกัน อีกเดี๋ยวก็มีคนไปช่วยเขา…”
ต่อให้ไม่มี เขาก็มีทางทำให้ตนเองรอดพ้นจากอันตรายได้เช่นกัน
เจียงเซี่ยนจึงไม่กังวลนัก
แต่ว่า…แดดแรงเกินไป ผิวอาจจะไหม้ได้
เจียงเซี่ยนเล่นหวีที่อยู่ในมือ พลางสั่งฉิงเค่อ “ข้าจะนอนก่อนสักครู่ ตื่นแล้วค่อยกินข้าว ให้พวกเขาต้มข้าวต้มมังสวิรัติให้ข้าหน่อย”
ฉิงเค่อยิ้มพลางขานรับ
หลิวเสี่ยวหม่านไม่อาจอยู่ต่อไปได้อีก จึงค้อมตัวคาระและไปที่ตำหนักหลัก
ไป่เจี๋ยไปเอาน้ำ ฉิงเค่อก็คอยช่วยเจียงเซี่ยนล้างเครื่องสำอาง
ซ่งเสียนอี๋ช่วยงานอยู่ข้างๆ เห็นเจียงเซี่ยนหน้าตาอ่อนโยน ก็อดที่จะพึมพำไม่ได้ว่า “ท่านหญิง ได้ยินว่าผู้ช่วยขันทีที่ดูแลภูเขาวั่นโซ่วคนนั้น จัดงานเลี้ยงได้เยี่ยมมาก และเป็นคนที่ไทเฮาทรงเลือกมาด้วยพระองค์เอง ท่านโยนคนลงไปในทะเลสาบ ฝ่าบาทก็ไม่ว่าอะไรทั้งนั้น หลังจากนี้จะเชิญท่านไปคุยหรือไม่…”
นางรับใช้จ้าวอี้มาตั้งแต่เด็ก จึงย่อมรู้ว่าจ้าวอี้กลัวคนที่อยู่ข้างกายเฉาไทเฮาแค่ไหน
เวลานี้เจียงเซี่ยนกับคนของเฉาไทเฮาเกิดความขัดแย้งกัน ฮ่องเต้ให้นางไกล่เกลี่ยเพื่อยุติความขัดแย้ง ทว่านางกลับยังคงไม่ยอมเลิกราเช่นเดิม ถึงแม้ทั้งสองคนจะเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน หากเฉาไทเฮาตำหนิมา จะไม่สร้างปัญหาให้ฮ่องเต้งั้นหรือ?
ฮ่องเต้จะต้องไม่พอใจมากอย่างแน่นอน
———————————-
[1] เวลา 13:00-14:59
Related