ทั้งคืนไม่ว่าจะเป็นอ๋องเหลียวที่พักอยู่ฝั่งตะวันออกหรือรอบตำหนักหยวนหล่างก็เงียบเชียบและไม่มีอะไรผิดปกติทั้งนั้น
ตอนที่จ้าวเซี่ยวตื่นเช้ามาได้ยินข่าวนี้ก็นิ่งไปนานมาก
เมื่อวานเขาเข้าใจผิดงั้นหรือ?
จ้าวเซี่ยวพิงหัวเตียงพลางคิด แล้วก็สั่งให้สี่หมิงผู้ติดตามประจำตัวเขานำสาส์นคารวะไปตำหนักเหรินโซ่ว
เขาตัดสินใจไปคารวะฮ่องเต้ก่อนแล้วค่อยไปอวยพรวันเกิดเฉาไทเฮาที่วัดต้าเป้าเอินเหยียนโซ่วเป็นเพื่อนฮ่องเต้
แต่สี่หมิงกลับมากลับบอกว่า ฮ่องเต้เสด็จไปวัดต้าเป้าเอินเหยียนโซ่วแล้ว
จ้าวเซี่ยวตกใจ
ขบวนเสด็จของฮ่องเต้ยิ่งใหญ่ ภูเขาวั่นโซ่วเล็กขนาดนี้ และเขาก็เป็นคนตกใจตื่นง่าย ทำไมถึงไม่ได้ยินเสียงแม้แต่นิดเดียว?
ถึงอย่างไรเขาก็รู้สึกว่าเกิดเรื่องอะไรบางอย่างที่เขาไม่รู้ขึ้น
—
เจียงเซี่ยนนอนหลับอย่างสะลึมสะลือ ตอนที่ตื่นมาฟ้าเริ่มสว่างแล้ว ทว่านางกลับมึนงงเหมือนไม่รู้ว่าตนเองอยู่ที่ไหน ไป่เจี๋ยเรียกนางหลายครั้ง ถึงได้สติกลับมา และมองนางในที่ยุ่งอยู่ในตำหนัก พลางเอ่ยว่า “มีคนมาหาข้าหรือไม่?”
ไป่เจี๋ยนึกถึงองครักษ์หลี่ที่ยิ้มสดใสและหน้าตาหล่อเหลาคนนั้น แล้วก็อดที่จะเม้มปากยิ้มไม่ได้ และเอ่ยว่า “ไม่มีเจ้าค่ะ!” และเอ่ยอีกว่า “ท่านหญิง นี่ก็ยังเช้าไม่ใช่หรือเจ้าคะ? ต่อให้มีคนมาก็ต้องรอให้รับประทานอาหารเช้าและเสร็จธุระตอนเช้าก่อนถึงจะมาได้กระมัง?”
เจียงเซี่ยนไม่เข้าใจเลยว่าไป่เจี๋ยกำลังพูดเรื่องอะไรอยู่ จึงปรายตามองไป่เจี๋ยครั้งหนึ่ง
ไป่เจี๋ยไม่กลัวแม้แต่นิดเดียว นางยังคงยิ้มตาหยีเช่นเดิม และช่วยแต่งตัวให้เจียงเซี่ยนอย่างแผ่วเบา
ฉิงเค่อมีไหวพริบมากกว่านางมาก ตอนที่รับใช้เจียงเซี่ยนขณะรับประทานอาหารเช้าก็ยิ้มพลางเอ่ยกับเจียงเซี่ยนว่า “ท่านหญิง ได้ยินว่าฝ่าบาทเสด็จไปวัดต้าเป้าเอินเหยียนโซ่วตั้งแต่เช้าแล้ว พวกเราอยู่ใกล้ตำหนักเหรินโซ่วขนาดนี้ก็ไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย ก็หลับลึกไปหน่อยแล้วเช่นกัน ท่านจะให้ข้าไปถามว่าฝ่าบาทเสด็จไปตอนไหนหรือไม่เจ้าคะ? ฝ่าบาทไปถึงแล้ว อย่างไรท่านก็ต้องปรากฏตัวกระมัง?”
เจียงเซี่ยนคิดเรื่องวัดต้าเป้าเอินเหยียนโซ่วอยู่ในใจตลอด อยากให้ใครสักคนไปถาม ก็กลัวว่าทางนั้นกำลังคุมเชิงกันอยู่ และนางไปแล้วจะทำให้ท่านลุงลำบาก
นางคิดแล้วคิดอีก วันนี้ก็เป็นวันอวยพรวันเกิดให้เฉาไทเฮา กรมพิธีการกับสำนักหอดูดาวหลวงดูฤกษ์แล้ว กำหนดให้เริ่มอวยพรวันเกิดตอนยามอู่ ไม่ว่าเรื่องราวเป็นอย่างไร ยามอู่ก็รู้ผลแล้ว เวลานี้ก็ไม่จำเป็นต้องรีบร้อนเช่นกัน
เจียงเซี่ยนเริ่มแต่งตัวอย่างเชื่องช้า นางสวมชุดพิธีการและเครื่องประดับเต็มยศตามระดับตำแหน่ง
ทว่าตอนที่นางเพิ่งเริ่มหวีผม จู่ๆ ฉิงเค่อก็เดินเข้ามาอย่างรวดเร็วด้วยสีหน้าเต็มไปด้วยความดีใจ “ท่านหญิง คุณชายใหญ่มาแล้วเจ้าค่ะ!”
คนที่คนรับใช้ข้างกายนางจะเรียกว่า ‘คุณชายใหญ่’ ได้ มีเพียงเจียงลวี่พี่ชายของนางคนเดียวเท่านั้น
เจียงเซี่ยนดีใจจนออกนอกหน้า และรีบลุกขึ้นยืน “รีบเชิญเขาเข้ามา รีบเชิญเขาเข้ามา!”
ผมยาวที่เกล้าแล้วครึ่งหนึ่งเกี่ยวมงกุฎหงส์[1]ที่วางอยู่ข้างๆ
นางอดที่จะร้อง “โอ๊ย” ไม่ได้
เหล่านางในตกใจจนพากันหน้าซีดเผือดทุกคน
เจียงเซี่ยนกำลังจะโบกมือบอกว่า ‘ไม่เป็นไร’ เสียงหัวเราะอย่างสดใสของเจียงลวี่ก็ดังมาจากห้องข้างนอกแล้ว “เจ้าสะดุดอะไรอีกหรือเปล่า? ไม่ต้องรีบ ไม่ต้องรีบ ข้ายังอยู่ที่ตำหนักเจ้าได้อีกสองถ้วยชา[2]…”
บอกให้นางไม่รีบ แต่กลับอยู่ได้แค่สองถ้วยชา ท่านพี่หยอกนางเล่นอีกแล้ว
ทว่าถึงจะเป็นการหยอกล้อแบบนี้ พวกเขาพี่น้องก็ไม่ได้ทำมาสองสามปีแล้วเช่นกัน
เจียงเซี่ยนนึกถึงครั้งสุดท้ายที่ตนเองเจอเจียงลวี่ยังคงอยู่ที่สนามล่าสัตว์อุทยานหลวงตะวันตก เจียงลวี่พาจ้าวสี่ไปล่าสัตว์ด้วยเหมือนบิดา…แล้วนางก็กลั้นน้ำตาไม่อยู่จนร่วงลงมาอย่างต่อเนื่อง
นางโง่เอง แถมยังพาคนในครอบครัวที่เชื่อใจนางให้โง่ไปด้วย…นางติดค้างคนในตระกูลมากมาย…
นางในที่รับใช้ข้างกายเจียงเซี่ยนต่างลนลาน และปลอบใจนางอย่างทำอะไรไม่ถูก
“ท่านหญิง มันดึงหนังศีรษะอยู่หรือเปล่าเจ้าคะ?”
“ท่านหญิง จะให้เรียกหมอหลวงไหมเจ้าคะ?”
“ท่านหญิง รีบหยุดร้องไห้เถอะเจ้าค่ะ ระวังเดี๋ยวจะตาบวมนะเจ้าคะ?”
เจียงลวี่ที่ได้ยินเสียงก็ร้อนใจจนเดินวนไปวนมาอยู่ข้างนอก และเอ่ยหลายครั้งว่า “เป่าหนิง เป็นอะไรไป? ชนตรงไหนหรือเปล่า? เจ้าออกมาให้ข้าดูหน่อย…”
ตระกูลเจียงไม่มีทายาทมากนัก เขาเห็นลูกพี่ลูกน้องที่มีศักดิ์เป็นน้องสาวคนนี้เป็นเหมือนน้องสาวแท้ๆ ของตนเอง เลี้ยงมากับมือตั้งแต่เด็ก และยอมให้นางทุกเรื่องจนโต
เจียงเซี่ยนกลัวเจียงลวี่เป็นห่วง จึงรับผ้าร้อนที่นางในยื่นมาให้มาเช็ดหางตา พลางตอบปนหัวเราะไปว่า “ไม่เป็นไร” “แค่ผมเกี่ยวเอง”
“นี่ก็จำเป็นต้องร้องไห้ด้วยหรือ?” เจียงลวี่รู้สึกว่าเขาไม่มีทางเข้าใจเรื่องของเด็กสาวได้เลย ทว่าในใจกลับถอนหายใจยาวเหยียด
เจียงเซี่ยนคิดว่าในเมื่อเจียงลวี่ออกหน้าแล้ว งั้นเรื่องที่วัดต้าเป้าเอินเหยียนโซ่วก็จบลงชั่วคราวแล้วใช่หรือไม่? อย่างน้อยฟังจากน้ำเสียงของเจียงลวี่ก็ไม่ได้แย่มากนัก
เพียงแต่ไม่รู้ว่าหลี่เชียนเป็นอย่างไรบ้าง?
ได้รับความไว้วางใจจากเฉาไทเฮาหรือไม่?
ท่านลุงจัดการได้หรือไม่?
นางอยากจะรู้ตอนจบของเรื่องราวให้ได้เสียเดี๋ยวนี้ นางไม่ได้แต่งหน้า แล้วก็ขี้เกียจที่จะหวีผมเช่นกัน จึงเกล้ามวยตรงท้ายทอยแบบที่สวมมงกุฎได้อย่างลวกๆ สวมเสื้อคลุมตัวยาวที่มักจะใส่ในวันธรรมดาและออกมาจากตำหนัก
เจียงลวี่สวมเครื่องแบบขุนนางฝ่ายบู๊ระดับสี่ รูปร่างผอมเพรียว กำลังเอามือไพล่หลังพลางมองเครื่องเรือนในตำหนัก ท่าทางที่เป็นตัวของตัวเองและเป็นธรรมชาตินั้นเหมือนคนรุ่นหลังที่มีอนาคตไกล ทำให้คนมองแล้วคล้ายจะละสายตาไม่ได้
“พี่ใหญ่!” เจียงเซี่ยนตะโกนเรียกเจียงลวี่ เสียงพูดยังไม่ทันจางหาย ใบหน้าก็เต็มไปด้วยรอยยิ้มแล้ว
เจียงลวี่หันตัวมาตั้งแต่ตอนที่เจียงเซี่ยนออกมาจากตำหนักแล้ว ทว่าพอเห็นเจียงเซี่ยนกลับขมวดคิ้วเล็กน้อย และเอ่ยว่า “ทำไมถึงใส่เสื้อผ้าบางขนาดนี้? ระวังจะเป็นหวัด! อย่าคิดว่าไทฮองไทเฮาไม่อยู่ข้างกายก็ก่อเรื่องได้ ไปเอาเสื้อคลุมมาให้ท่านหญิงของพวกเจ้า!” แต่ประโยคหลังนั้นเอ่ยกับฉิงเค่อ
ฉิงเค่อยิ้มพลางขานรับ “เจ้าค่ะ”
เจียงลวี่จ้องนางครั้งหนึ่ง แล้วถามเจียงเซี่ยน “เจ้าเปลี่ยนนางในหรือ?”
เจียงเซี่ยนยิ้มตลอด และเอ่ยว่า “ท่านพี่ไม่ได้เข้าวังมานานแค่ไหนแล้ว? เสด็จยายตัดสินใจปล่อยพวกติงเซียงออกจากวังไปแล้ว” แล้วนางก็เรียกทั้งฉิงเค่อและไป่เจี๋ยมาแนะนำกับเจียงลวี่
เรื่องนี้เจียงลวี่แตกต่างจากเจียงเจิ้นหยวน
ทุกคนในวังต่างรับใช้ฮ่องเต้ จะตีสุนัขต้องดูเจ้าของ ถึงจะเป็นขันทีกับนางในเล็กๆ ก็ไม่อาจเมินเฉยได้เช่นกัน ดังนั้นทุกครั้งที่เจียงเซี่ยนกลับจวนเจิ้นกั๋วกง เจียงเจิ้นหยวนก็จะตกรางวัลให้อย่างไม่แลดูหรูหราและไม่แลดูยากจนเช่นกัน เวลาเจอพวกขันทีอาวุโสก็จะเป็นฝ่ายทักทายก่อนด้วย
แต่เจียงลวี่กลับไม่ค่อยให้ความสำคัญกับเรื่องพวกนี้ ไป่เจี๋ยกับฉิงเค่อคารวะเขา เขาก็นั่งรับอยู่ตรงนั้นอย่างไม่สนใจไยดี และล้วงเศษเงินสองสามก้อนจากในแขนเสื้อมาตกรางวัลให้ทั้งสองคน
เจียงเซี่ยนเห็นก็อดหัวเราะไม่ได้ จึงเอ่ยว่า “ท่านพกเงินติดตัวด้วยหรือ?”
“แม้จะเป็นวีรบุรุษผู้กล้า ไม่มีเงินก็หมดหนทางเช่นกัน[3] เจ้ารู้หรือไม่?” เจียงลวี่เอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ “ตอนนี้หากข้าไม่ล้วงตั๋วเงินร้อยกว่าตำลึงในอกออกมา เวลาเดินบนถนนก็ไม่ค่อยสบายใจนัก”
เจียงเซี่ยนอดที่จะยิ้มอีกไม่ได้
ตอนเจียงลวี่อายุสิบสอง ถูกลุงของนางโยนกลับไป ‘ฝึกฝน’ ที่เฟิ่งหยางบ้านเกิด ว่ากันว่าตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เจียงซื่อจื่อออกไปข้างนอกก็ต้องมีเงินอยู่ในมือ
ไป่เจี๋ยกับฉิงเค่อยกชาและของว่างเข้ามา
เจียงเซี่ยนก็ไล่คนรับใช้ข้างกายออกไปหมด และถามเจียงลวี่เสียงเบา “เรื่องราวเป็นอย่างไรบ้าง?”
“ก็ดี!” เจียงลวี่คิดมาตลอดว่าควรจะเลี้ยงเด็กคนนี้ให้เป็นเหมือนลูกสาวจวนอื่นๆ ทั้งวันก็ปักผ้า จัดการหญ้า ให้อาหารปลา ก่อนแต่งงานได้รับความรักจากพ่อและพี่ชายของตนเอง หลังแต่งงานได้รับความรักจากสามีของตนเองก็พอแล้ว เรื่องอื่นก็ไม่จำเป็นต้องคิดและเข้าไปยุ่งมากเกินไปเช่นกัน หากไม่ถูกบิดาของตนเองส่งมาแจ้งข่าว เขาก็คิดว่าไม่จำเป็นต้องให้เจียงเซี่ยนรู้ด้วยซ้ำ ทว่าถึงจะเป็นเช่นนี้ เขาก็ไม่คิดจะบอกเจียงเซี่ยนอย่างละเอียดอยู่ดี “เรื่องราวได้ข้อสรุปแล้ว เดี๋ยวจะประกาศออกมาตอนยามอู่ที่อวยพรวันเกิด เจ้าไม่ต้องกังวล ไปอวยพรวันเกิดเฉาไทเฮาอย่างสบายใจก็พอแล้ว…”
————————————–
[1] มงกุฎหงส์ เครื่องประดับศีรษะที่แสดงฐานันดรศักดิ์ของสตรีในวังหลังและหญิงสามัญชนที่ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์
[2] เวลาสองถ้วยชา = 20-30 นาที
[3] แม้จะเป็นวีรบุรุษผู้กล้า ไม่มีเงินก็หมดหนทางเช่นกัน หมายถึง ความลำบากอันน้อยนิดกลับทำให้เรื่องราวอันใหญ่โตไม่อาจดำเนินต่อไปจนสำเร็จได้
Related